วันเสาร์ กับวันเฉา ๆ ของผม

    วันนี้เป็นวันเสาร์
    รู้สึกเฉา ๆ อย่างไรชอบกล
    ยิ่งเมื่อคิดถึงเรื่องราวบางเรื่องขึ้นมา
    ยิ่งเฉาหนักขึ้นจนต้องลุกขึ้นมาขีดเขียนเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เพื่อน ๆ ฟัง
    แต่ฟังแล้วห้ามเฉาตาม
    ความเฉาเป็นสิ่งไม่ดี
    เพราะเปลืองเหล้าและโซดา
    …………

    เมื่อเช้านี้เองเธอโทร.มาบอกว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะรอคำตอบจากผม
    ถ้าเลยวันนี้ไปแล้ว..ก็สายเกินไปสำหรับเรา
    แล้วเธอก็วางหู..ปล่อยให้ผมถือหูค้างไว้อย่างนั้น
    เหตุที่ต้องถือหูค้าง เพราะผมนึกไม่ออกว่าเธอรอคำตอบอะไรจากผม??
    คำตอบอะไร? เธอถามผมว่าอะไร?  แล้วถามผมไว้เมื่อไหร่?
    ไรหว่า??
    ………

    ยัยคนนี้เป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก
    เราเรียนชั้นประถมมาด้วยกัน เมื่อต่างคนต่างเรียนต่อมัธยม เราก็ไม่ได้เจอกันนัก
    มีแต่ติดต่อกันบ้าง ไม่ทางจดหมายก็ทางโทรศัพท์
    เมื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย กิจกรรมของสังคมของแต่ละคนยิ่งทำให้เราต้องไกลห่างกันยิ่งขึ้น
    แล้วนี่อะไร?
    อยู่มาวันนี้ วันที่เราต่างก็มีงานทำกันมาไม่นานหลังเรียนจบ เธอกลับมาบอกผมว่าเธอจะไม่รอคำตอบจากผมแล้ว
    เอ๋ง…คำตอบอะไรฟะ?
    ………

    ยัยมุกเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตางั้น ๆ คนหนึ่ง
    ไม่มีอะไรโดดเด่น เรียนก็ไม่เก่ง สวยก็ไม่สวย
    ติดจะขี้โรคซะด้วยซ้ำ
    จำได้ว่าตอนเป็นเด็กเธอไว้ผมม้า
    เห็นฟันหลอลึกเข้าไปจนถึงลิ้น
    ผมเองที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ(ที่เป็นผู้ชาย)ยังอดเรียกเธอไม่ได้
    “ยัยม้าฟันหลอ”
    ………..

    ขณะที่ผมใช้สมองครุ่นคิด นิสัยที่แก้ไม่หายก็คือผมต้องทำอะไรอย่างหนึ่งไปด้วย
    ไม่แคะฟัน ก็แยงหู ไม่ก็หวีผม หรือไม่ก็ต้องเข้าห้องน้ำ
    ผมทำทุกอย่างที่ว่ามาตั้งแต่เช้า นับแต่เธอโทร.มา
    แต่ผมก็ยังคิดไม่ออก
    ……..

    ระหว่างเรียนมัธยม เธอเคยเขียนจดหมายมาคุยกับผมหลายฉบับอยู่เหมือนกัน
    แรก ๆ ผมก็เขียนตอบเธอดี แต่หลัง ๆ ก็เลือน ๆ ไปเหมือนกันว่าตอบบ้างหรือเปล่า
    เธอเคยเขียนมาเล่าว่า เธอมีปัญหากับผู้ชายคนหนึ่ง
    เธอไปทำอีท่าไหนเข้าก็ไม่รู้ อยู่ ๆ เจ้าหมอนั่นก็มาดักรอรับกลับบ้านที่หน้าโรงเรียน และรับจากบ้านมาโรงเรียนทุกวัน
    เธอบอกว่าเธอรำคาญ ทั้งเพื่อนล้อ แม่ดุ  และที่สำคัญ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยกับเจ้าหมอนั่น
    เธอถามว่าเธอควรทำอย่างไรดี
    ผมคิดอยู่นาน ประมาณวินาทีหนึ่งได้ก็หาทางออกให้เธอได้
    “ชกแง่งเรย..”
    ………

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรจากนั้นผมไม่รู้ หรือรู้แล้วผมลืมก็เป็นได้
    คราวตอนเธอเอ็นท์ฯ เข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอโทรศัพท์มาขอบคุณผม
    ด้วยถ้อยคำประมาณว่า
    “ไปหาอะไรกินกันเหอะ..”
    ……….

    เรานั่งกินไอ้ติมกันแถว ๆ บางซื่อ
    ร้านไอ้ติมเป็นบ้านที่ทำเป็นร้าน ที่นั่งทานอยู่ใต้ต้นไม้ร่มเย็นดีพิลึก
    เธอบอกเธอขอเลี้ยงมื้อนี้ ผมมองหน้าเธออย่างแปลกใจ
    ที่แปลกใจไม่ใช่เรื่องขอเลี้ยง แต่แปลกใจว่าทำไมเธอมีทีท่าแปลก ๆ
    ยัยม้าฟันหลอคนที่อยู่ตรงหน้า ทำไมทำหน้าตาแปลก ๆ ไป??
    หน้ายาว ๆ ที่เคยเป็น กลับโค้งมนเป็นรูปไข่
    ตาหยี ๆ ขนตาสั้น ๆ กลับกลมโตใสแจ๋ว
    ปากที่เดี๋ยวเบะ ๆ เมื่อตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นกลับคุยฉอด ๆ จนผมมองอย่างเพลิดเพลิน
    ลูกเป็ดขี้เหร่กำลังจะกลายเป็นหงษ์เสียนี่ล่ะมังหนอ???
    ……..

    แล้วผมก็จำไม่ได้ว่าผมได้คุยอะไรไว้กับเธอเรื่องอะไร
    คงแค่แสดงความยินดี และยืนยันว่าผมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยกับการเอ็นท์ได้หรือไม่ได้ของเธอเลย
    ไม่เห็นต้องขอบคุณ
    อ้อ..นึกออกแล้ว เธอบอกผมว่า
    “ก็เธอทำให้ฉันอารมณ์ดีทุกครั้ง ที่ฉันได้คุยหรือได้คิดถึงเธอนี่นา..”
    ซึ่งผมก็ตอบเธอไปด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นร้าน
    “นี่เธอเห็นฉันเป็นตัวตลกไปแล้วเรอะ?”
    …….

    มาตอนนี้ผมลองนึกทบทวนดูด้วยการเปลี่ยนไม้พันสำลีอันที่สิบมาแยงหูเล่นไปพร้อมกันด้วย
    ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผมไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าเพื่อนที่ติดจะห่าม ๆ ซะด้วยซ้ำ
    ผมนั้นแทบจะไม่ได้คิดเลยว่าเธอเป็นผู้หญิง ยกเว้นตอนที่กำลังคิดถึงนิทานเรื่องลูกเป็ดขี้เหร่นั่น
    ส่วนเธอก็ไม่น่าจะคิดว่าผมเป็นผู้ชาย ก็เห็นเธอไม่เคยระวังตัวอะไรเลยเมื่ออยู่กับผม
    บางทีก็คว้าแขนวิ่งข้ามถนน
    บางทีก็กอดคอเดินคุยกัน
    บางทีก็กำหมัดซัดต้นแขนผมโดยไม่มีสาเหตุนอกจากคำตอบที่ว่าหมันเขี้ยว
    บางครั้งถึงกับท้าวสะเอวด่าผมเสียด้วยซ้ำ
    มีแต่เพื่อนสนิทเท่านั้นที่จะทำอย่างนั้นได้
    คนที่เป็นแฟนกันเขาไม่ทำอย่างนั้นกันหรอก
    ฉะนั้นผมจึงสรุปได้ว่า เธอกับผมไม่ใช่แฟนกันแน่นอน
    ……..

    แล้วผมก็เดินไปที่ตู้เย็น
    เปิดมันออก มองเข้าไปเพื่อหาอะไรใส่ท้อง
    อะฮ้า..มีแต่น้ำเปล่าเต็มตู้
    ที่ช่องฟรีส(เขียนถูกป่าวเนี่ย?)มีแต่น้ำแข็งที่เกาะแน่น
    ด้านหนึ่งของมันมีกล่องไอศครีมวางอยู่
    เกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็ม เนื้อไอ้ติมในนั้นคงฟ่ามไม่เหมือนเนื้อเดิม
    แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน
    ผมแกะมันออกมาจากการติดแน่นจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับตู้เย็น
    ในใจก็พยายามนึกว่าผมเอามันมาแช่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
    สามสี่วันที่ผ่านมา? หรือสามสี่เดือนที่ผ่านมา???
    เอ๊ะ..หรือสามสี่ปีที่ผ่านมา???
    ………

    กว่าจะแกะมันออกมาจากตู้เย็นได้เล่นเอาเหงื่อตก
    เมื่อเปิดออกดูเนื้อไอศครีมสีม่วงนั้นยังคงแข็งอยู่
    แต่เป็นการแข็งเหมือนน้ำแข็งใสมากกว่าเหมือนไอ้ติม
    ผมจำได้ว่ายัยมุกชอบกินไอ้ติมสีม่วง
    เธอบอกมันเปรี้ยวดี
    เวลาเธอตักไอ้ติมใส่ปาก เธอจะทำหน้าเหยเกหนังตาสั่นระริกด้วยความเปรี้ยว
    เมื่อผมลองดูบ้าง ผมแทบบ้วนทิ้ง
    เพราะผมเป็นคนไม่ชอบรสเปรี้ยว
    “แปลกนะ เราสองคนนี่ชอบอะไรไม่เหมือนกันสักอย่าง..”
    “ใช่..” ผมเห็นด้วย
    “แต่เราก็คบกันมาได้ ตั้งแต่เด็กมาจนกระทั่งตอนนี้..”
    “ใช่”
    “เธอว่าเพราะอะไร?”
    “ใช่..เอ้ย..ไม่รู้เหมือนกัน”
    “แต่ฉันรู้นะ..”
    ผมมองตาเธอเป็นการถาม ขณะตักไอ้ติมรสช๊อกโกแล๊ตเข้าปาก
    “เพราะเราเป็นเนื้อคู่กันไง”
    จังหวะนั้นผมกำลังเสียวฟันที่ผุอยู่พอดี มันมักจะโดนอะไรเย็น ๆ ไม่ได้
    ผมเลยลืมนึกไปว่าความหมายของคำว่าเนื้อคู่นั้นมันกินลึกไปถึงไหนต่อไหน
    “อูย..” ผมอุทานออกมา
    เธอถอนใจเหมือนกับจะระอาอะไรผมบางอย่าง
    ระอาอะไร??
    ……….

    “ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อเรียนในมหาลัยแล้ว ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน?”
    “คงสนุกดี..” ผมตอบ
    “เธอคงจะเจอเพื่อนใหม่มากมาย มีผู้หญิงสวย ๆ มาให้เลือกคบมากมาย..”
    “ก็คงเหมือนเธอ..”
    “ใช่..ฉันเองก็คงจะเจอใคร ๆ อีกเยอะ..ฉันจึงไม่รู้ว่าเรื่องของเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน..”
    “ก็คงเปลี่ยนไป..”
    “แต่ฉันไม่อยากเปลี่ยน..” เธอพูดออกมาอย่างหนักแน่น หากเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน
    “ถ้ามันเปลี่ยนแล้วทำให้ชีวิตเราดีขึ้น..ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร..”
    “ก็ฉันไม่อยากเปลี่ยน..”
    ผมมองหน้าเธอด้วยความแปลกใจ เธอกำลังมองผมอยู่ตาแป๋ว
    “ฉันขอสัญญาได้ไหม?..” ในที่สุดเธอก็พูดออกมา
    “ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนแปลง?”
    ผมนิ่งคิด..แมลงวันตัวนี้ตัวเล็กนิดเดียว มันจึงบินไม่ค่อยเร็วนัก
    “หรือถ้าจะเปลี่ยนแปลง..”
    ผมค่อย ๆ หยิบสมุดบาง ๆ ขึ้นมา ม้วนเป็นอาวุธ
    “เธอจะต้องบอกฉันก่อน..”
    แล้วก็ซัดเพี้ยะลงไปจนมันแบนแต๊ดแต๋ติดโต๊ะ
    “เย้..”
    “ตาบ้า..” เธอกรี๊ดลั่น
    ……………..

    ไอศครีมกล่องนั้นทำให้ผมมีอะไรรองท้อง
    มันมีสีม่วง แต่ไม่เปรี้ยว
    มันเป็นรสองุ่น ที่หวานเจี๊ยบติดลิ้น
    มันเป็นของที่ยัยมุกซื้อให้มา
    นานแล้วล่ะ..นานเป็นเดือนเชียว
    ……

    วันนั้นเราไปทานสุกี้เอ็มเคด้วยกัน
    เป็นวันเกิดของผม แต่เป็นการเลี้ยงของเธอ
    ก็ผมนอนอยู่ที่บ้านดี ๆ เธอก็โทร.มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์
    แล้วเธอก็ลากให้ผมออกมาทานข้าวกับเธอซะดี ๆ
    ผมบอกเธอว่าผมบ่อจี๊ ก็มันยังปลายเดือนอยู่นี่นา
    เธอบอกว่าไม่เป็นไร เธอพอมี และเธอขอเลี้ยงเอง
    ผมนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็จะคิดทำไมในเมื่อได้กินฟรี
    ก็เลยมานั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ โดยมีหม้อสุกี้ส่งควันคลุ้งกั้นอยู่ตรงหน้า
    “เธออายุเท่าไหร่แล้วนะ ปีนี้?”
    “สิบหก” ผมตอบโดยเร็วกว่าที่คิด
    เธอหัวเราะ..
    “จำได้ว่าเธอแก่กว่าฉันไม่กี่เดือน ฉะนั้นเธอก็ต้องมีอายุเท่าฉัน คือยี่สิบสองพอดิบพอดี..”
    “แล้วไง?”
    “เราสองคนเรียนจบแล้ว และก็มีงานทำแล้ว..”
    “ถ..ถ…ถูกต้องแร้วคร้าบบบบบบบบบ..” ผมพยายามเลียนแบบพิธีกรแฟนพันธุ์แท้
    เธอหัวเราะ
    “เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว..”
    ผมพยักหน้า พยายามเดาว่าเธอกำลังจะบอกอะไรกับผม แต่บังเอิญพนักงานเสิร์ฟมาเสิร์ฟของที่สั่งพอดี
    ลูกชิ้นเอ็มเคเป็นอาหารที่ผมชอบที่สุด ผมก็เลยลืมไปว่าเธอกำลังจะบอกอะไรผมอยู่หรือเปล่า
    เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกับจะรอให้ผมพูดอะไร แต่ผมมัวสนใจอยู่กับการลวกลูกชิ้น
    เธอถอนใจ แล้วพูดขึ้นว่า
    “มีผู้ชายมาตามจีบฉันอยู่สองสามคน..”
    ผมหูผึ่ง  เป็นเรื่องใหม่จริง ๆ สำหรับเรา หลังจากปัญหาเรื่องผู้ชายเมื่อตอนเธออยู่มัธยมนั่นแล้ว
    “โอ้..จริงรึ?” ผมอุทาน
    “จริงสิ..”
    “แล้วไง..”
    “เขาก็เป็นคนดี แต่ฉันยังไม่ชอบเขา..”
    “อ้าว..ไมเหรอ?”
    เธอมองหน้าผมนิ่ง
    “เธอไม่รู้จริงๆ ?” เธอถาม
    ผมส่ายหน้า
    “เฮ้อ..”
    เธอถอนใจอีกครั้ง
    …………..

    เมื่ออาหารที่สั่งมาถูกจัดการเรียบวุธ ขณะที่ผมตักซุปในหม้อซดอยู่นั้น เธอก็พูดขึ้นว่า
    “ไม่แน่นะ ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น ฉันอาจจะรับรักเขาก็ได้..”
    “ใคร?” ผมยังซดน้ำซุปต่อ
    “เธอสนใจด้วยเหรอ?”
    “อ้าว..แหล่วกัน”
    “เขาเป็นคนดี และฉันก็รู้ว่าเขารักฉันจริง ๆ”
    “ยินดีด้วย..”
    “เขาเคยขอฉันแต่งงานด้วยนะ”
    “จ๊าก..หมอนี่หน้ามืดจริง ๆ แฮะ..”
    เธอเอื้อมมือทำท่าจะตบผม เราหัวเราะให้แก่กัน
    น่าแปลกว่าเสียงหัวเราะของเธอแปร่งไป
    น่าแปลกว่าเสียงหัวเราะของผมก็แปร่งไป
    น่าแปลกจริง ๆ
    …………

    ก่อนกลับกันวันหนึ่งเราพากันเดินในซุปเปอร์
    เธอซื้อไอ้ติมกล่องนี้ให้ผม
    เธอบอกว่า ไอ้ติมสีม่วงนี้รสองุ่น ไม่ใช่รสมะนาว
    มันหวาน ไม่ใช่เปรี้ยว
    ฉะนั้นอย่ามองว่าอะไรที่เคยว่าเปรี้ยว จะหวานไม่ได้
    ไม่เชื่อไปลองกินดู
    จากวันนั้นถึงวันนี้
    เดือนกว่า ๆ แล้วล่ะครับ ที่ผมเพิ่งจะมี่โอกาสได้กินไอ้ติมกล่องนี้
    มันหวานจริง ๆ
    ……

    ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยมีใครบอกว่ารูปหล่อ
    ฐานะก็ปานกลาง ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายอะไรมากมาย
    ปกติเป็นคนสุภาพ นิ่ง ๆ ซะส่วนใหญ่ หากไม่อยู่กับเพื่อนฝูงที่สนิทสนมจริง ๆ
    ผมจะไม่ค่อยพูดค่อยคุยกะใครเขา
    ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมาก็เคยพึงพอใจสาวใกล้ตัว แต่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะผมไม่ได้ทำอะไรให้มันเกิดขึ้น
    ก็มีบ้างนะ ที่มีสาวหน้าตาดีมาชอบ แต่ผมก็เฉย ๆ
    เคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่า เอ็งเป็นอะไรไปฟะ?
    ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันแฮะ
    ……….

    ผมยอมรับว่าในชีวิตของผมมียัยมุกหน้าม้าฟันหลอนั้นมาตลอด
    เราคุ้นเคยกันเสียยิ่งกว่าพี่น้อง ยิ่งกว่าเพื่อนคนไหนของผม
    สิ่งนี้กระมังที่ทำให้ผมมองข้ามความรู้สึกบางอย่างไปโดยไม่ตั้งใจ
    ความรู้สึกบางอย่างที่ผมยังไม่เข้าใจแม้จนกระทั่งบัดนี้
    กับคำสุดท้ายของเธอที่ว่า “ถ้าเลยวันนี้ไปแล้ว..ก็สายเกินไป” นั้น
    ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจยิ่งขึ้น
    ….

    ผมแต่งตัวออกจากบ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น
    สถานที่ที่ไปก็คือสถานที่ที่ผมกับยัยมุก เคยมาทานสุกี้ด้วยกันนั่นเอง
    สายตามองเวลาที่ข้อมือ ยังไม่หมดวันนี้ วันที่เธอบอกว่าเป็นวันสุดท้าย
    ผมอยากจะเดินเล่น ดูอะไรไปเรื่อย เพื่อจะขบคิดให้ได้ว่า เธอต้องการคำตอบอะไรจากผม
    แล้วผมก็เจอคำตอบเข้าจนได้
    …….

    ในร้านแบล๊คแคนยอน ผมเห็นเธอกับใครคนหนึ่งนั่งอยู่
    เขาเป็นหนุ่มรูปหล่อ ยิ้มสวย แต่งตัวดี กำลังคุยกับเธออย่างไม่หยุดปาก
    อะไรไม่รู้ทำให้ผมเดินตรงเข้าไป
    อะไรไม่รู้ทำให้ผมทรุดนั่งลงข้าง ๆ เธอ
    เขาและเธอนิ่งงันด้วยความตกใจ
    ผมแอบเห็นแววตาของเธอเต้นระริกเหมือนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง
    อะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
    …….

    โปรดรออ่านตอนต่อไป เอาไว้เข้าใจเมื่อไหร่จะมาเล่าต่อครับผม
    ขอบคุณครับ

    จากคุณ : ปุ๋งปิ๊ง - [ 18 ต.ค. 46 13:28:07 A:202.5.92.50 X: ]