เสียงเรียกครั้งสุดท้าย...

    “ กิฟท์ ตอนนี้พี่อยู่พัทยา อีก 2-3 วันพี่ว่าจะลงไปกรุงเทพฯ แล้ว หนูกิฟท์อยากได้อะไรไหมค่ะ พี่จะได้เอาไปฝาก”
    “ไม่หรอกพี่ตี๋ กิฟท์อยากไปจตุจักรมากกว่า พี่ตี๋มาเป็นคนถือของให้กิฟท์แล้วกัน ได้หรือเปล่าล่ะ”
    “ได้สิจ๊ะ องค์หญิงของพี่ แล้วแต่จะบัญชามาเลย ทหารเสือคนนี้ยินดีน้อมรับทุกคำสั่งขอรับ”
    “แหม หนูกิฟท์ ไม่ใช่ยัยแอนนะพี่ ผิดคนแล้วล่ะ หนูแค่แม่สื่อนะที่สำคัญไหนบอกว่าให้เค้าเป็นน้องสาวไง”
    “จ๊ะๆๆ ไม่ต้องต่อว่าขนาดนั้นก็ได้ แอน เขาคงไม่เอาพี่แล้ว ส่วนเรา ไอ้บอล เพื่อนพี่ก็จอง พี่นะรักเราเหมือนน้องสาวแท้ๆ นั่นแหละ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ คุยนานๆ เปลืองค่าโทรศัพท์ เดี๋ยวก็กลับไปแล้วค่อยคุยละกัน”
    “ เจ้าค่ะพี่ชาย แล้วจะรอนะ หนูเพิ่งจะสอบเสร็จด้วย อย่าให้รอนานนะ เดี๋ยวไปกับคนอื่นเน้อ”
    “ โอเค เจ้าหญิง เดี๋ยวเสาร์นี้เจอกันแน่นอน”
    ฉันกับพี่ตี๋รู้จักกันเพราะความบังเอิญ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าเรา 2 คนรู้จักกันเพราะฉันโทรไปหาพี่คิมพี่สาวของพี่ตี๋ แต่มักจะโดนพี่ตี๋อำเล่นบ่อยๆ จากนั้นฉันกับพี่ตี๋ก็เลยติดต่อกันเรื่อยมา ด้วยความที่ฉันเป็นลูกคนโตไม่มีพี่อย่างคนอื่นเค้า ส่วนพี่ตี๋เองก็เป็นน้องชายคนเล็กไม่มีน้องเหมือนกัน จึงทำให้ความสัมพันธ์ของเราทั้ง 2 คน เป็นไปอย่างพี่น้องโดยที่พี่คิมเองก็เคยไม่รู้ จากการที่ได้คุยด้วยกันบ่อยครั้งเราจึงเริ่มสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น และพี่ตี๋ก็มาตกหลุมรักเพื่อนสาวของฉัน และเพื่อนสนิทของพี่ตี๋ก็มาแอบชอบฉันเหมือนกัน ฉันเลยต้องกลายเป็นคิวปิดสาวตัวช่วยพิเศษของพีตี๋ และพี่ตี๋เองก็กลายเป็นทหารอารักขาของฉัน เพื่อไม่ให้เพื่อนของเขามายุ่งกับฉันได้ จนมาถึงวันหนึ่งที่พี่ตี๋ต้องไปอยู่ต่างจังหวัดสักพักนึง
    “น้องกิฟท์ครับ พี่ไหว้ล่ะพี่ไม่อยู่เดือนนึงอย่าให้ใครมาจีบแอนนะ เราช่วยพูดถึงพี่ให้เขาฟังบ่อยๆ ล่ะ จะให้พี่ทำอะไรให้เดี๋ยวพี่จะจัดให้องค์หญิงเลยนะ”
    “ไอ้เรื่องกันคนนะ หนูกิฟท์ถนัดอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ว่าแต่ทำไมพี่ตี๋ถึงไปอยู่ที่พัทยาล่ะ”
    “ก็แม่พี่นะสิ บอกว่าพี่นะมีเคราะห์ช่วงนี้พี่เบญจเพสพอดี ถ้าอยู่กรุงเทพฯ จะมีอันตรายถึงชีวิตให้อยู่ต่างจังหวัดสักเดือนจะดี เห็นว่าซินแสทักมา พี่นะไม่อยากจะเชื่อแต่ถ้าทำให้แกสบายใจได้ก็ทำ กิฟท์ว่าไหมล่ะ”
    “ก็ดีเหมือนกันพี่ แต่นานจังตั้ง 1 เดือน แต่ถ้าจะช่วยให้พี่อายุยืนขึ้นได้จริง ก็ไม่ว่ากันค่ะ แล้วเรื่องพี่บอลล่ะหนูกิฟท์ไม่อยากคุยกับเขาเลยค่ะ ทำไงดี”
    “ไม่ต้องห่วงมันไม่มายุ่งกับเราแล้วล่ะ พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว สบายใจได้องค์หญิงของพี่”
    และนั่นคือเหตุผลที่พี่ตี๋ต้องไปพัทยานานแรมเดือน ฉันได้แต่รอว่าเมื่อไหร่พี่ตี๋จะกลับมาพาฉันไปจตุจักรตามที่สัญญา ฉันรู้ว่าพี่ตี๋เป็นผู้ชายที่ยึดมั่นสัญญามาคนหนึ่งเขาไม่เคยผิดคำสัญญากับใคร พี่ชายของฉันคนนี้ไม่ใช่ว่าไม่น่ารักแต่ก็ไม่หล่อเหลาเหมือนนายแบบ พี่ตี๋มีรูปร่างที่สูงตัวโต กล้ามใหญ่ ผิวขาว เวลาที่ได้เดินด้วยฉันจะรู้สึกปลอดภัยเป็นที่สุด
    จนกระทั่งคืนหนึ่งขณะที่กำลังนอนหลับฝันหวานว่า พรุ่งนี้ก็จะถึงวันนัดแล้วจะได้เจอพี่ตี๋เสียที ก็ต้องตกใจตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ข้างหัวเตียงดังขึ้นมา
    “สวัสดีค่ะ นั่นใครพูดค่ะ แล้วจะพูดกับใครด้วย” ฉันกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ด้วยเสียงงัวเงีย
    “กิฟท์ นี่พี่ตี๋เอง พี่ขอโทษนะ พรุ่งนี้พี่คงไปเที่ยวกับเราไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ไปขอให้องค์หญิงของพี่ ดูแลตัวเองให้ดีๆ ล่ะ พี่ชายคงไม่ได้ดูแลเราอีกแล้ว” ฉันตกใจกับคำพูดที่ได้ยินเป็นอย่างมาก เพราะเสียงตามสายช่างเยือกเย็นเหลือเกิน ไม่ใช่เสียงของคนที่ร่าเริงอย่างพี่ตี๋เลย
    ”เดี๋ยวพี่ตี๋ พี่จะไปไหนเหรอ เรื่องพรุ่งนี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ วันหลังก็ได้นี่อย่ามาอำกิฟท์อีกล่ะไม่สนุกเลยนะ”
    “พี่ต้องไปแล้วนะ ลาก่อน“
    จากนั้นสายโทรศัพท์ก็ตัดไป ส่วนตัวฉันไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้ เพราะคิดว่าพี่ตี่คงต้องอำเล่นแน่ๆ ฉันโดนพี่ตี๋ชอบอำฉันเป็นประจำอยู่แล้ว พี่ตี๋มักจะบอกว่าเวลาที่อำฉันสนุกดีเพราะฉันไม่เคยจับได้ซักครั้งว่ากำลังโดนอำอยู่ หลังจากนั้นฉันก็ไม่ทราบข่าวของพี่ตี๋อีกเลยก็ฉันเองก็กำลังเพลิดเพลินกับการได้รู้จักเพื่อนใหม่ในโรงเรียนกวดวิชา จึงไม่ได้ใส่ใจกับพี่ชายคนนี้มากนัก
    เวลาผ่านไปจนกระทั่งเปิดเทอมในเย็นวันนั้นเอง ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่บอลเพื่อนพี่ตี๋ที่แอบชอบฉันอยู่
    “กิฟท์ นี่พี่บอลนะจำได้ไหม “ น้ำเสียงของปลายสายรีบเร่งผิดปกติ
    “พี่บอลเพื่อนพี่ตี๋ใช่หรือเปล่า มีอะไรหรือพี่ ถ้าชวนไปดูหนัง หนูไม่ว่างนะ” ฉันรีบชิงตัดบทก่อนเพราะไม่ชอบพี่บอลเท่าไหร่  
    “ไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องไอ้ตี๋นะ กิฟท์รู้หรือยังว่าไอ้ตี๋มันตายแล้วนะ”
    “บ้าเหรอพี่บอล อำอะไรกันเล่นแรงนะเนี่ย พี่ตี๋ตายเมื่อไหร่อย่ามามั่ว หนูไม่เชื่อพี่หรอก”
    “เดี๋ยวกิฟท์ ฟังพี่ก่อน ไอ้ตี๋มันตายมาจนจะเผาพรุ่งนี้แล้ว พี่เองสงสัยว่าไม่เห็นกิฟท์มาวันสวดเลย คิดว่ากิฟท์คงไม่รู้แน่ๆ พี่เลยโทรมาบอก ถ้ากิฟท์ไม่เชื่อไปวัดพรุ่งนี้ก็ได้ พี่ไม่ได้อำนะ”
    “ไม่จริงหรอก ก็เมื่ออาทิตย์ก่อนพี่ตี๋ยังโทรหากิฟท์อยู่เลย พี่บอลเอาอะไรมาพูด”
    “มันโทรมาหากิฟท์วันที่เท่าไหร่”
    “วันที่ 19 ตอนดึกๆ สักตี 4 เกือบตี 5 ได้มั้ง โทรมาก็ไม่เห็นบอกอะไรนี่น่า”
    “กิฟท์ ฟังพี่ แล้วตั้งสติดีๆนะ ไอ้ตี๋นะมันตายคืนนั้นแหละ ตอนตี 5 รถคว่ำแล้วมาตายที่โรงพยาบาลทั้งหมดนี่คือเรื่องจริง กิฟท์ ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า พรุ่งนี้พี่ไปรับนะ”
    ฉันพูดอะไรไม่ออก มันงงไปหมด แล้วคืนนั้นใครกันที่โทรมาหาฉัน ถ้าเป็นจริงทำไมฉันไม่ทันเอะใจกับคำพูดเหล่านั้น ฉันไม่เชื่อหรอกมันเป็นไปไม่ได้เรื่องที่พี่บอลพูดต้องไม่ใช่เรื่องจริง พรุ่งนี้ฉันก็จะไปพิสูจน์ให้แน่ใจ
    “ท่าทางไอ้ตี๋มันคงห่วงกิฟท์มากจริงๆ ขนาดจะตายยังกลัวว่ากิฟท์จะคอย ยังอุตส่าห์…” เสียงพี่บอลพูดกับครอบครัวพี่ตี๋ ฉันเองได้แต่นั่งจ้องโลงศพตรงหน้าหมดคำพูดทุกถ้อยคำ มีแต่ความว่างเปล่าของจิตใจในตอนนั้น
    “แม่บอกมันแล้วว่าให้อยู่ที่นั่นแค่เดือนเดียวเองลูก อีกแค่ 2 วันก็ครบเดือนแล้วทำไมล่ะ ทำไมถึงรีบกลับมา” เสียงแม่พี่ตี๋พร่ำเพ้อถึงลูกชายคนเล็ก
    ฉันรู้คำตอบนั้น ฉันรู้ดีที่สุด และยังคงจำเสียงเรียกครั้งสุดท้ายในค่ำคืนนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่มีวันลืม…..

    จากคุณ : ของขวัญ - [ 19 ต.ค. 46 02:04:13 A:203.149.7.157 X: ]