เรื่องเล่าริมถนนของคนชอบเขียน (ภาคพิศดาร) ตอน พยาบาทจอมขมังเวทย์ ปะทะ บาบาน่าโบ๊ทมหาประลัย

    ผีคอยาวเรื่องเล่าริมถนนของคนชอบเขียน (ภาคพิศดาร)
    ตอน พยาบาทจอมขมังเวทย์ ปะทะ บาบาน่าโบ๊ทมหาประลัยผีคอยาว.....หมาหอน






                    ณ ปลายฝนต้นหนาว เป็นฤดูที่ดวงดาวเริ่มแข่งแสงทอประกายกันได้สวยที่สุด เพราะเมฆฝนได้จางจากไปแล้วเกือบทั้งสิ้น

    คนโสดเจ้าของร้านบุ๊คคอฟฟี่ เหม่อมองดาวดวงหนึ่งจากริมหน้าต่าง ใครจะรู้ว่าเธอกำลังมองหาดาวโจร หรือดาวหมีใหญ่ หรือหมีเล็กอะไรสักอย่างก็เป็นได้  แต่ที่แน่ๆ คืนนี้เธอเหม่ออยู่เพียงคนเดียว

    ภาพฉากทะเลฝันพันดาว ผ่านเข้ามาในสมอง นึกอิจฉาคนที่ได้หลับอุ่นสบายอยู่ใต้ทะเลดาว  แสงจากฟ้าย่อมอบอุ่นกระจ่างกว่าแสงเทียมบนดินมากมายนัก  

    โทรศัพท์รูปหมาเหงายังนอนเงียบอยู่ข้างๆ ก็อย่างที่เคย ไม่มีใครให้เสวนาด้วยหลังจากร้านปิด จนล่วงไปถึงเวลาร้านเปิดอีกครั้งนั่นแล้ว  บรรดาสาวเสริฟทั้งหลายจึงมาสร้างสีสันให้แก่ชีวิตสาวใกล้แก่อีกครั้ง

    พยาบาลสาวผู้มีวิชาการดองหน้าสูตรลับเฉพาะจนทำให้ตนดูอ่อนกว่าวัยใสสุดๆ ค่อยๆ เอื้อมมือสะกิดเจ้าหมาเหงาเบาๆ ในใจยังหวาดหวั่นว่าคนที่ไม่เคยเจอกัน อาจไม่ยินดีต้อนรับเท่าใด

    “สวัสดีค่ะ ไร่ทะเลดาวค่ะ  ค่ะนัท-เปียร์รุสค่ะ”  ปลายสายส่งเสียงหวานแวว จนคนโทรแทบจะวางโทรศัพท์ลงเสียเดี๋ยวนั้น

    “นัทเหรอ  พี่หมู-สริงค์นะจ๊ะ…..เป็นไงบ้างงานดอกไม้ เป็นภาพที่น้องยีเอามาให้ดูตอนที่ไปเที่ยวครั้งที่แล้ว แล้วพี่อยากไปบ้างจังเลย…ตอนนี้กำลังเหงาๆ น่ะนัท”  คนโทรแทบจะกลืนก้อนสะอื้นเอาไว้ไม่ได้  ทำไมหนออารมณ์เหงาจึงช่างทำร้ายอารมณ์กันได้ถึงเพียงนี้

    “งั้นก็มาเลยสิพี่หมู ช่วงนี้ว่างๆ เหมือนกัน  ไม่ต้องตัดดอกไม้ทุกวัน มีเวลาพาเที่ยวเพียบ…มานะพี่หมู …ทางนี้นัทก็เหงาเหมือนกัน…วันๆ ได้คุยอยู่แต่:-)กไม้”  เสียงแว่วหวานเจือความแหบพร่าได้ในทันทีเหมือนกัน  จนพยาบาลสาวจับได้ว่าความเหงานั้นไม่เคยปรานีใครเลยสักคนเดียว ไม่ว่าคนนั้นจะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ชวนเพลินสักเท่าใดก็ตาม

    “ถ้านัทชวนจริง พี่ก็ไปจริงๆ นะนัท….งั้นไว้มะรืนนี้เจอกันนะ..ไม่แน่ใจว่าจะมีใครไปบ้าง  พรุ่งนี้เช้าพี่จะลองถามน้องๆ ดู…จริงๆ ก็ไม่อยากปิดร้าน เผื่อบรรดาลูกหน้าทั้งหลายจะมาชำระบ้างจะได้ไม่มาเก้อ….พี่ไม่ได้หน้าโลหิตนะนัท..แต่อย่างว่าทำธุรกิจมัวแต่หยวนๆ กันมันก็เจ๊งกันเท่านั้นเอง…..ขอบใจมากนะ ไว้พี่จะโทรไปยืนยันอีกครั้งนะคะ…ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ”

    เจ้าหมาเหงาไม่ได้มีอาการกระตือรือร้นอะไรเพิ่มขึ้นเลยสักน้อยเมื่อเจ้าของวางสาย  ตรงข้ามกับคนโทร ที่ตื่นเต้นจนต้องเหลียวซ้ายหันขวา อยากจะตะโกนบอกใครสักคนว่า….

    “ฝากทวงตังค์ลูกค้าให้พี่ด้วยนะน้องๆ….พี่จะไปหอลิเด่”

    “ขา…พี่หมูว่าอะไรยีนะคะ…ยีขอโทษค่ะ…ยีไม่ได้ตั้งใจแอบฟังว่าพี่แอบโทรเรียกเด็กหนุ่มๆ ร้านจารย์จีมาช่วยเขี่ยหลังด้วยน้ำแข็งหลอด…ยีขอโทษค่ะ…ยีขอโทษจริงๆ นะคะ”

    สาวน้อยสีสดผู้มั่นคงในบุคลิกใสซื่อ คงไม่รู้ว่าตนพูดอะไรออกมา  พอกับคนที่นั่งอยู่ก่อนที่คงหูอื้อตาลายจนไม่ได้ฟังว่าน้องสาวขึ้นมาพูดอะไร หลังจากที่จู่ๆ ก็เปิดประตูห้องเข้ามา

    “ไปเที่ยวสวนเจ้านัทกันไหมยี…ไปนอนดูทะเลดาวกันสักคืน”

    “สวนพี่นัทเหรอคะ…ไปค่ะไป….เอ๊ะ…ค้างคืนเหรอคะ  งั้นยีคงไปไม่ได้หรอกค่ะ หม่าม้าคงไม่ยอมให้ยีไปค้างอ้างแรมที่ไหน”

    “งั้นเฝ้าร้านให้พี่ด้วยนะจ๊ะ”  เจ้าของร้านไม่ได้เซ้าซี้อะไรเลยสักนิด  จนคนถูกชวนอดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจริงจังจะชวนอะไร

    “หนูยีจะลองถามหม่าม้าดูนะคะ”  ถึงไม่ตั้งใจชวนก็จะเป็นไร?

    “ถ้าลำบากก็ไม่ต้องนะยี…อยู่ร้านให้พี่นี่แหละ…นะคะ” เจ๊หมูยังย้ำว่าไม่ได้ตั้งใจจะชักชวนอยู่นั่นเอง  

    @@@@@@@@@@@@@@@@@

    “สวัสดีค่ะพี่หมู” สาวไฮ-โซ นามจ๊ะ-นางสาวซาว์ดเอฟเฟก(โอเลี้ยงแก่ๆ)  เอ่ยทักอย่างแจ่มใส

    “นี่น้องผึ้งระรวย(รวยระรินกลิ่นชา)-กะพี่พลีสพลั่ก(ปีเตอร์ ปลั๊ก)ค่ะ….ที่จ๊ะบอกว่าจะขอไปทริปนี้ด้วยคนน่ะค่ะ”  สาวเสียงแปดหลอดยังแนะนำเพื่อนร่วมทางซึ่งไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลยในชีวิต

    “ค่ะสวัสดีค่ะ…พี่พลีส…เอ่อ…เราไม่เคยติดหนี้ติดสินกันใช่ไหมคะที่ร้านน่ะคะ….แต่คุ้นๆ กะน้องระรวยนะคะว่าน่าจะติดค่าชาอูล่งอยู่หลายหมื่น”  พี่หมูยิ้มรับการทักทาย มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ทวงตังค์ เพี่ยงแค่ถามถึงเฉยๆ….จริงๆนะ

    “อ้อ..ผมเคลียร์ให้เรียบร้อยแล้วครับทั้งของ จ๊ะ กับของผึ้ง ทั้งหมดก็ แปดหมื่นสี่ ฝากไว้ที่เจนตาแล้วครับผม”  ผู้มาในชุดยีนส์จิ้งเหลนไฟ เสื้อเข้ารูปรัดรึงเอาส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อฟิตเปรี๊ยะแสดงมาดสมชายชัด  บอกเจ้าของร้านด้วยเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังจนคงฟังแอบคิดในใจ….คราวนี้อาจได้สละโสด…เหอ..เหอ..เหอ

    “ก็เพื่อความสบายใจในการไปค้างอ้างแรมกันน่ะค่ะคุณพลีส”

    คนพูดก้มหน้าก้มตาหลบต่างหูเงินสองข้างที่หนุ่มมาดแมนใส่อยู่  รู้สึกว่าหน้าดองยาของตนเองแดงซ่านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    “พี่หมู…พี่หมู…พี่หมูค้า!!!!!!!!!!!!”  เสียงเล็กแหลมตะโกนมาจนทุกคนต้องหันมอง  สาวน้อยในชุดเอี้ยมสีแดงแปร๊ด วิ่งกระเสือกกระสนเข้ามาราวกับถูกใครไล่ล่า

    “ไปกันหรือยังคะ..ไปกันเถอะค่ะ…หม่าม้าหนูยีนั่งรถไฟฟ้าขบวนต่อไปตามมาแล้วหละค่ะ…ไปค่ะไปกันเร้ว”  น้องยีกระหืดกระหอบ

    “ต้องรอหมิง(น๋อนหนังสือ)อีกคน พี่โทรไปตามแล้วบอกว่ากำลังเบ่งอยู่…คงอีกสักพักเพราะเค้าอยู่แค่ตรงนี้เอง…แต่ว่าไหนบอกกว่าคุณแม่ไม่ให้ไปค้างที่ไหนไงจ๊ะ”  เจ๊หมูถามอย่างอารมณ์ดี เพราะกระสอบแห่งความรักกำลังครอบคลุมเธออยู่ทั้งตัว

    “ก็ไม่ให้ค้างน่ะสิคะพี่..หนูยีเลยออกมาก่อน..หนูยีไม่ได้บอกเลยนะคะว่าจะไปค้าง..แค่…แค่ถามว่า..บทสวดขอพรพระเจ้าก่อนนอนเวลาที่ต้องไปนอนที่อื่นเค้าจะขอพระอะไร..แค่นี้เองค่ะ…หม่าม้าก็ไม่อนุญาตให้หนูยีมา…จนต้องรีบกระโดดขึ้นรถไฟฟ้าทั้งๆ ที่ไม่ยังฉุดแขนไว้อยู่เลยค่ะ”  หนูยีเล่าอย่างตื่นเต้นเต็มที่

    “แล้วแม่หนูยีรู้เหรอว่าหนูยีลงสถานีไหน….”  สาวระรวยถามบ้าง

    “หม่าม้าต้องรู้แน่คะ…เพราะหนูยีลงที่สุดทางทุกครั้ง..แล้วค่อยนั่งกลับไป…หนูยีอ่านป้ายสถานีไม่ค่อยทัน..กะฟังเสียงของพี่ชายคนขับไม่ชัดน่ะค่ะ…”  คนตอบยังใสซื่อเอ๋อซะขนาด

    “แล้วจะเบียดกันไปยังไงล่ะคะเนี่ยพี่หมู…โตโยต้าแอนทิกของพี่พลีสก็…อะนะคะ..” สาวจ๊ะปรายตามองทางรถรุ่นล้าสุดๆ

    ทุกคนมองตามอย่างเข้าใน  แต่แล้วก็ปรากฏฮอนด้าซิตี้โฟร์วิลสีแดงเถือกเลี้ยวเข้ามาปาดหน้าจนเจ้าของแอนทิกต้องกระโดดหลบ

    “ว้าย!!!…”  

    ทุกคนมองหาต้นเสียงกันเลิ่กลั่ก  เพราะต่างแน่ใจว่ามาดแมนของคุณพลีสต้องไม่เปล่งเสียงเช่นนั้นออกมาเป็นแน่

    “ไปไหนกันจ๊ะสาว สาว  สาว  สาว  สาว…บ๊ะ…ทำไมมารวมกลุ่มกันเฉพาะสาวๆ หละครับเนี่ย”  ลุงสรอง(song982) โผล่หัวเล็กๆ ออกมาถามอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่หน้าตาระบุเพศซอมบี้ชัด

    “เอ่อ…”  ต่างคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก  ไม่กล้าตอบอะไร

    “ไปสิ…เดี๋ยวผมไปส่ง…”  คนเสนอตัวอย่างไม่ใส่ใจอาการโทรมสุดๆ ของตนเอง

    “พี่หมูคร้าบบบบ….น๋อนมาแล้วคร้าบ…”  หนอนขี้ควายตะโกนมาแต่ไกล  แต่ทันทีที่เห็นซิตี้โฟร์วิลก็ชะงักค้าง

    “พี่หมูอย่าบอกนะคะ..เอ้ย..ครับ..ว่าลุงสรองจะไปเขาใหญ่กับเราด้วย”  เจ้าหนอนคงยังสยองกับพฤติกรรมประหลาดๆ ของลุงสรองในตอนที่ผ่านๆ มา

    “พวกชั้นทุกคนยังไม่ได้บอกอะไรเลยสักคำ…แต่นายน่ะบอกเค้าไปแล้ว…” สาวซาว์ดเอฟเฟกหันมาทำตาเขียวใส่หนอนเซอะ

    “ไปด้วยครับ…ขึ้นมาเลย…เดี๋ยวผมไปส่ง….เดี๋ยวไปนอนที่นั่นก็ได้…นี่ยังไม่ได้นอนมาแค่สามสี่คืน…ไปครับ..ขึ้นรถขึ้นรถ”  เจ้าของซิตี้สีแดงเถือกรีบลงมากุลีกุจอ นำกระเป๋าสาวๆ ยัดๆ ลงในกระโปรงท้าย

    “สาวๆ ขึ้นรถเลยครับผม  น้องยี กะ พี่หมู ไปกะผม…”

    ลุงสรองคงเลือกเองเสร็จสรรพว่าจะให้ใครไปกับใคร..แน่นอนว่าผู้ชายอีกสองคนในกลุ่มต้องไปรถอีกคันหนึ่ง  แล้วก็นึกถึงคู่อริเก่าได้จึงหันมาถาม หัวหน้าทริป

    “แล้วยายพยาบาทจอมขมังเวทไม่ได้ไปด้วยหรือครับพี่”

    “อ้อ…พี่จุดธูปเรียกแล้วจ๊ะ..สักพักแกได้กลิ่นธูปแล้วก็คงจะตามไปเจอกันที่ไร่ทะเลดาวเลย…สรองไม่ต้องเป็นห่วง”

    @@@@@@@@@@@@@

    “ไหนๆ ยีก็มาแล้ว  พี่ว่ารำปอปผีฟ้าแก้บนเสียเลยเป็นไงจ๊ะ”  พยาบาลหน้าเด็กดองเอ่ยขึ้น หลังจากลงซื้อลาบก้อยส้มตำซกเล้กประดามีเพื่อเป็นมื้อกลางวันในไร่ทะเลดาวเรียบร้อย

    “เจ๊ๆ ลืมลาบเลือด กะก้อยดีควายอะ….ขาที่มาตามกลิ่นธูปเค้าชอบนะ”  นายสรองสะกิดยิก เจ้าตัวยืนเล็มผักปลอดสารของแม่ค้าส้มตำ “ร้านสามพี่น้อง” หมดไปแล้วครึ่งถาด

    “อ้อ..ใช่…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว…พี่ขา…เอาอย่างที่น้องมันสั่งอีกสองถุงนะคะ..เนื้อไม่เน้น..เน้นไส้อ่อนนะคะ…”  เธอสั่งทันที

    “แต่หนูยียังมะได้ซ้อมอีกเลยนะคะพี่หมู”  สาวเอี้ยมแดงออกอาการไม่มั่นใจใจความสามารถ

    “ไม่เป็นไรหรอกหนูยี…ไอ้ที่รำน่ะก็ตามที่เราบนไว้ไง…ยายพยาบาทจอมขมังเวทแกคงสนแต่ลาบเลือดกะก้อยดีควายนั่นแหละ..หลับหูหลับตารำๆ  แป๊บๆ ก็รำเสร็จแล้วหละ”

    “แต่..แต่หนูยียังไม่ได้บอกหม่าม้าเลยนะคะ…”

    แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันหยุดพูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้นเมื่อจบประโยคของหนูยี….เฮ้อ……”

    @@@@@@@@@@@@

    “ค่ะ…พี่พลีสเหรอคะ..ถึงไหนแล้วคะ….รถเสีย….ค่ะ…ค่ะ”

    เมื่อรู้ว่าใครโทรเข้ามาเจ้าของร้านบุคคอฟฟี่ก็เสียงอ่อนเสียงหวานได้ทันที

    “ค่ะ…งั้นน้องหมูไม่รอนะคะ….ค่ะ…ใช่ค่ะ..ไม่เปลืองค่ะ..แล้วเจอกันนะคะ”  

    เธอวางสายเสร็จก็หันมาเลียริมฝีปากให้คนในรถดู ส่งสัญญาณว่าให้รีบบึ่งเข้าไปในบ้านเพราะตัวหารอาหารจะลดลงไปสี่คน
    ซึ่งลุงสรองก็รู้ทัน กระทืบคันเร่งเร็วกว่า160 กม/ชม ขึ้นเขาลงห้วยกระแทกกระทั้นถึงที่หมายได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    สาวนัท-เปียร์รุส เจ้าของไร่ทะเลดาว จัดปี่กลองฆ้องระฆังออกมาประโคมต้อนรับการมาของชาวกรุง  จนทุกคนแหยงๆ ที่จะก้าวลงจากรถ  ความตั้งจะที่บอกเจ้าของว่า…มา..มา..มา..รีบกินกันก่อนเถอะ..แล้วค่อยไปดูรถอีกคันว่าเสียอยู่ตรงไหน…ก็เป็นอันว่าต้องล้มเลิก…เพราะขบวนเกียรติยศและเจ้าของไร่พากันแห่หายไปตามรถแอนทิกอีกคันหนึ่งทันที

    แทนที่เจ้าของร้านสาวจะเป็นห่วง  เธอกลับออกคำสั่งทันที

    “หนูยีไปเอาจานมาเลยนะคะ….เดี๋ยวพวกเราชิมก่อนเผื่อมันไม่สะอาดเราจะได้บอกเค้าว่าอย่ากิน….หนูยีรู้ไหมว่าเราต้องหัดเป็นคนเสียสละ…รู้ไหมคะ”

    “ค่ะ…อุ๊ย…สวัสดีค่ะ..คุณแม่พี่นัท…นี่พี่หมูค่ะ….เจ้าของร้าน…ส่วนนี่จำได้ไหมคะ…พี่สรองที่เรียบร้อยๆ ที่มาครั้งที่แล้วน่ะค่ะ”

    หนูยีแนะนำตัวคนมาใหม่แล้วก็เลี่ยงไปในครัวทันที

    บ้านหลังนี้เกือบจะเป็นทรงทิวดร์อ เพราะมีหลังคาสูงแหลมขึ้นไปขณะที่ชายคาลงมาต่ำมากถึงกลับคลุมชั้นสองไว้เป็นห้องใต้หลังคาได้ทั้งหมด  แม้จะยังตบแต่งไม่สมบูรณ์แต่ด้วยไม้ดอกไม้ใบรายรอบ มีแปลงดอกหน้าวัวอยู่ข้างบ้าน มีโครงดอกเบญจมาศญี่ปุ่น เรียงเป็นแถวแนวอยู่ด้านหน้า  ทั้งหมดสวยรับกันเหมือนภาพวาดบ้านน้อยในป่าใหญ่ อย่างที่หลายคนเคยฝันไว้ว่าจะได้ไปสัมผัส

    อาหารมื้อนี้พี่หมูไม่ได้แกล้งลืมชวนคุณแม่ให้ร่วมวงรับประทานด้วย แต่หนูยียังทันเห็นรอยยิ้มจากริมฝีปากแดงเพราะพิษพริกส้มตำปลาร้านั้นได้ ว่าเธอดีใจเพียงไรที่ได้ฟาดเรียบคนเดียว เพราะคุณแม่ขอตัวไปดูแลแปลงดอกไม้  โดยใช้มือข้างหนึ่งของเจ๊หมูคอยตีมือ พวกที่ตักถี่ๆ เกินหน้าเกินตาตัวเองเป็นระยะๆ

    เสร็จจากมื้ออาหารหนูยีต้องซ้อมรำปอบผีฟ้าเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะลงสนามจริงตอนโพล้เพล้  หนูยีรำได้สวยซื่ออย่างที่เธอเห็นอยู่ประจำ…จนเจ๊หมูพอใจ…..

    “เอ๊ะ…ทำไมสาวเต่างอยถึงไม่มาสักทีนะเนี่ย”  เธอรำพึงเบาๆ กับตัวเอง…..นายสรองจึงออกความคิดบ้าง

    “งั้นเจ๊ลองจุดธูปเลยดีไหมครับ เอาลาบ-ก้อยใส่จาน แล้วก็ให้หนูยีรำเสียพร้อมกัน…แกคงโผล่มาแน่นอน….”  

    “เราจะไม่รอพวกพี่พลีสเหรอสรอง”  พี่หมูไม่แน่ใจ

    “อย่ารอเลยครับ….เรื่องงมงายอย่างนี้ หนุ่มในดวงใจของพี่เค้าคงจะเห็นเป็นเรื่องตลกผมว่า…เรารีบๆ แก้บนให้เสร็จๆ ไปก่อนที่คณะนั้นเค้าจะมาดีกว่านะครับ”  นายสรองเอาเรื่องหลุมรักของเจ้าของร้านเข้าล่อจนเจ้าตัวยอมตั้งประรำพิธี

    @@@@@@@@@@@

    “ผีฟ้าเอย….”  เสียงเอื้อนอ้อยสร้อยของคนบนบานเริ่มดังขึ้น ขณะที่หนูยีทำท่าเหมือนโดนน้ำร้อนลวก รำกะย้อกกะแย้กอยู่รอบๆ จานลาบเลือด-ก้อยดีควาย และเหล้าขาวสามขวด

    ครู่เดียว ควันตลบอบอวลก็บังเกิดขึ้นท่ามกลางแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์  กลุ่มควันนั้นคลุ้งขึ้นเป็นแนวมาจากหลังเนินเขา จนทุกคนขนลุกเกรียว  มีเสียงครืนๆ ดังมาจากทางนั้นด้วย

    ช้า…..นาน….กว่าร่างทั้งหมดจะปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันสีส้มอมแดง  

    คุณพลีส น้องระรวย น้องซาว์ดเอฟเฟก นายหนอนขี้ควาย และสาวเปียร์รุส  ช่วยกันเข็นเจ้าโตโยต้าแอนทิกขึ้นเนินมาพร้อมฝุ่นตลบ…..

    ทุกคนที่ต่างเกร็งกันไปเป็นแถบจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงได้ ทั้งทางฝ่ายเจ๊หมูซึ่งเริ่มเรอเป็นระยะๆ ด้วยฤทธิ์ข้าวเหนียวสามปั้น ทั้งทางฝ่ายที่เข็นรถขึ้นมาซึ่งบ่นหิวๆ ไปตามๆ กัน  

    เมื่อคนที่มาทั้งหมดเห็นจานอาหารอันวางอยู่กลางลานเสื่อ ที่มีหนูยีเต้นกระย่องกระแย่งอยู่นั้นทุกคนก็ ถลาเข้าหาจานทั้งสองจานนั้นทันที่

    “ต๊าย…..ยังไม่เสร็จพิธีนะคะ….”  หนูยีหวีดร้องสุดเสียงแล้วฟุบลงไปทันที

    แต่อนิจจาก็ยังไม่มีใครเห็นใจสงสารหนูยีเลยสักคนเมื่อลาบเลือดเข้าบังตา  จนร่างของหนูยีต้องค่อยขยับขึ้นมานั่งเองอีกครั้ง

    “หยุด!!!”  เสียงสั่งสั้น…ไม่ใช่เสียงหนูยีแน่นอน

    “ลบหลู่..ลบหลู่มาก”  เสียงเดิมยังเข้มขลัง  จนทุกคนชะงักหันไปมองตามต้นเสียง ซึ่งเป็นหนูยีกำลังนั่งท่าขัดสมาธิหลังตรงสองมือวางพาดไว้ที่เข่าทั้งสองข้าง

    “ลาบเลือดข้าใครอย่าแตะ…หมอบ…ข้าบอกให้หมอบลง”

    ทุกคนทำตาม ด้วยไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น สายตาจดอยู่กับพื้นเสื่อ  ได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบจิ๊บจั๊บ กับเสียงอั้กๆๆๆของการดื่มอะไรสักอย่าง  จนเจ๊สริงค์รู้สึกตัวว่ามีใครสักคนมาสะกิดที่หัวไหล่ จึงหันไปมอง

    “อ้าว…โอเล่มาได้ไงเนี่ย….แหมวิธีของนายสรองนี่ได้ผลดีจริงนะ”  สาวหมูดีใจเต็มที่เมื่อสาวโอจอมขมังเวทย์เพื่อซี้มาถึงพร้อมด้วยตัวเป็นๆ  แต่ฝ่ายสะกิดกลับไม่ตอบอะไร แววตาเหม่อลอยอย่างประหลาด

    “โอ…โอ…เป็นอะไร….”  เจ๊หมูเอะจะใจเขย่าแขนแรงๆ

    “อ๊อกๆๆ”  ร่างของน้องยีส่งเสียงออกมา คล้ายสำลักอาหารแล้วก็หงายหลังผึ่งลงไปทันที ทันใดกับที่ร่างของสาวโอเล่ก็มีอาการสั่นน้อยๆ แล้วค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองแรงเขย่าของเพื่อนสนิท

    “พอ…พอ…อย่าเขย่า..เดี๋ยวกระดูกหลุดกันพอดี…มาแล้ว..มาแล้ว…เมื่อกี้ต้องส่งกายทิพย์มาก่อน…ไม่ได้เห็นแก่กินนะคะ..แต่ไม่อยากเสียสิทธิ์ที่ดิฉันควรจะได้รับ….แหม….หวานไปหน่อยนะหมู…ความหน้าคราวหลังลาบเลือดน่ะไม่ต้องใส่น้ำตาล”  ผู้มาใหม่พูดพร้อมเลียริมฝีปากดังแผล็บ

    “เออ…มาก็ดีแล้วจะได้นอนดูทะเลดาวด้วยกันคืนนี้…” แล้วก็ชม้ายชายตาไปทางพี่พลีสสุดล่ำที่เริ่มกรีดนิ้วคีบไส้อ่อนขึ้นมาดูดดื่มกับเลือดที่เล็ดอยู่ข้างใน “พี่พลีส…ปีเตอร์ที่…ที่เราบอกไปตอนจุดธูปไงล่ะ…ส่วนที่ปากเขรอะเลือดแต่ยังพูดไม่หยุดนั่นชื่อจ๊ะ-โอเลี้ยงแก่ๆ กับคนที่ฟังโดยไม่หยุดปากเคี้ยวก็คือน้องผึ้งระรวย”

    หัวหน้าทริปแนะนำสาวจากเต่างอยอีกครั้ง  ทุกคนยิ้มรับกันด้วยดี ด้วยอาการที่มีเลือดกลบปากด้วยกันทุกคน  เว้นแต่หนูยีที่ยังแน่นิ่งไปด้วยฤทธิ์เหล้าขาวที่หมดไปถึงสองในสามขวด

    “เจ๊ๆ ทำไงดีล่ะสงสัยหนูยีจะเมาพับไปแล้ว”  นายสรองขอความเห็นโดยไม่กล้าสบตาอีกคนที่ทำให้เข้าโรงพยาบาลเมื่อเรื่องเล่าตอนที่แล้วๆ มา

    “ก็พาไปนอนไม่ต้องปลุกให้ฟื้นหรอก….นี่พี่เป็นห่วงนะ..ไม่ได้กลัวว่ามื้อค่ำที่เป็นหมูจุ่มจะมีตัวหารลดลงไปอีก”  เจ๊หมูยืนยันเพราะเธอแอบไปซื้อมาเรียบร้อยแล้วตอนที่ตัดสลับฉากนี่แหละ

    “งั้นเราไปกันเลยนะครับ…คืนนี้พี่พลีสจะร้องทะเลดาวให้ทุกคนได้ฟังกันด้วย”  เสียงทุ้มนุ่มชักชวนทุกคน….ที่เริ่มเช็ดคราบเลือดออกจากปาก

    “งั้นไปกันก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวนัทกับแม่จะจัดของตามไป”

    “ครับ/ค่ะ”  ไม่มีสักคนที่จะออกปากอยู่ช่วยจัดของ เพราะดาวตกหางยาวดวงแรกเริ่มพาดสายจากขอบฟ้าทิศเหนือแล้ว

    @@@@@@@@@@


    ฟ้ากว้างของคืนแรม ช่วยให้ดาวทุกดวงแข่งแสงกันได้อย่างสวยที่สุด  ฟ้าทั้งผืนเหมือนม่านกำมะหยีสีดำที่โรยด้วยเกร็ดเพชรพราวไปทั้งผืน   ใครเลยจะเคยคิดว่าคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนจะได้มานอนชมดาว ร้องเพลงคลอเสียงเพลงไพเราะของหนุ่มรูปงาม   แน่นอนบรรยากาศเช่นนี้ทำให้สาวบางคนแอบขยับค่าตัวของตนขึ้นไปอีก  จากเจ็ดแสน เป็นเก้าแสน เป็นล้านสอง  ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครคิดจะเฉียดกรายเข้ามาใกล้

    “ฉันเจอคนที่ใช่แล้วหละโอเล่” เจ๊หมูรำพึงรำพันขณะที่หัวของทุกคนชนกันเป็นรูปดาวแห่งมิตรภาพดวงใหญ่บนพื้นหญ้านุ่ม หงายหน้าชี้ชวนกันชมหมู่ดาวและทางช้างเผือก

    “ใครเหรอหมู”  สาวเต่างอย กระซิบถาม

    “ก็….ก็…”  หากมีไฟส่องสว่างกว่านี้คงเห็นหน้าแดงซ่านของเพื่อนรักได้ชัดเจน

    “อย่านะเธ้อ…ชั้นจอง….”

    “พี่ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ”  พี่พลีสพักช่วงการเล่นเพลงสารพัด เอ่ยขออนุญาตทุกคนอย่างเกรงอกเกรงใจเป็นที่สุด ไม่มีใครสักคนสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ยืนมองตรงมาจากต้นไม้ใหญ่ด้านหลังนั่นสักคนเดียว  แล้วพี่พลีสก็ลุกตรงไปทางนั้น โดยไม่กลับมาอีกเลยจนกระทั้งพวกเราเก็บของกลับไปนอนที่บ้านของสาวนัท

    @@@@@@@@@@

    “ไม่ค่ะไม่….ไม่ยอมนะคะ….ตอนตกลงกันบอกสี่รอบ นี่อะไรคะรอบเดียวเท่านั้นเองหรือ…ไม่ได้ค่ะ….เหมาเลยดีกว่า ชั่วโมงละเท่าไหร่บอกมาดีกว่านะคะ”  สาวเต่างอยออกอาการโวยวายเพื่อเพิ่งขึ้นไปขย่มบาบานาโบ๊ทได้เพียงรอบเดียวกับการพลัดตกลงน้ำไปสองครั้ง ซึ่งไม่คุ้มเลยจริงๆ เมื่อเทียบกับเม็ดเกลือในสายเลือดของเธอ

    การต่อรองเป็นไปอย่างเผ็ดร้อนจนหลายคนเข้ามามุง  บางคนคงหวังจะได้ลองต่อรองอย่างกลุ่มนี้บ้างกระมัง  แต่ก็คงยากมากหากไม่มีใครเค็มเท่าสาวเมืองสกลคนนี้

    กำไรเป็นของกลุ่มบ้านมิตรภาพ  เพราะจะได้เล่นโดยเฉลี่ยเป็นสิบรอบอย่างคุ้มค่าสุดๆ เมื่อเทียบกับราคาต่อหัวทั้งยังสามารถผลัดกันเล่นได้ด้วย

    รอบแรกๆ แต่ละคนยังเพลิดเพลินกับภาพทิวทัศน์ของเขื่อนลำมูลบนที่มีชายหาดยาวเหมือนทะเลสาบที่มีนักท่องเทียวจากภาคอิสานมาพักผ่อนหย่อนใจกันคึกคัก…ไม่มีใครสะกิดใจเลยสักคนว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป

    การหักวงตีโค้งกลับมาในรอบนี้ ทั้งสี่คนที่ขย่มกันอยู่อย่างเมามันโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำได้ครบ…แต่ครบแค่สี่…คือนายสรอง น้องระรวย น้องจ๊ะ และนายน๋อน….อีกคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

    ทุกคนพยายามมองหาจนอีกอึดใจหนึ่ง  ที่ใต้บาบาน่าโบ๊ทนี่นั่นเองหัวของใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาในลักษณะแหยงหน้าจูบอยู่กับเรือยางนั้น  แล้วก็มีท่าตะเกียกตะกายกะแด้กๆ อย่างหาคนช่วยเหลือ  ทุกคนจึงได้รู้ว่าสาวเต่างอยของบ้านมิตรภาพว่ายน้ำไม่เป็น   ความลับเรื่องการสอบเป็นนางฟ้าปีกอ่อนของการบินไทยที่ไม่ผ่านจึงเปิดเผยขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง

    ในครั้งต่อๆ มา แม้เธอจะว่ายน้ำไม่เป็น และมั่นใจว่าจะได้เป็นภาระให้คนอื่นคอยเป็นห่วงแน่นอน เธอจึงไม่มีการลงเปลี่ยนกับใครโดยเด็ดขาด  ไม่ว่าคลื่นจะซัดสาดให้เธอตกลงไปคนเดียวเมื่อนั่งรั้งท้าย หรือจะโดนนายสรองขโยกขย่มจนทั้งลำกระดอนสูงขึ้นเหนือผิวน้ำจนทุกคนที่ชายหาดมองมาเป็นตาเดียวกัน

    ในรอบสุดท้าย แรงเหวียงแรงเป็นพิเศษ ทุกคนหวังว่าสาวเต่างอยยายพยาบาทจอมขมังเวทย์จะยังคงยึดมันอยู่ใต้ลำเรือแต่กลับไม่ใช่  เธอไปโผล่ไกลจากกลุ่มหลายเมตร แล้วก็ลอยนิ่งกับเสื้อชูชีพอยู่อย่างนั้น  ใครเรียกก็ไม่ทักไม่ขานและไม่ขยับใดๆ ทั้งสิ้น

    “เจ๊ๆๆ…มาขึ้นสิคะ..ทำเวลาหน่อยสิคะ”  สาวระรวยร้องเรียกขณะที่คืนอื่นๆ กำลังตะเกียกตะกายขึ้นเรือยางรูปกล้วยหอมอีกครั้ง…แต่คนถูกเรียกก็ยังคงลอยอึ้ดทึ่ดอยู่อย่างนั้น มีปากพะงาบๆ พร้อมเสียงเบาๆ

    “ช่วยด้วยๆ….ไม่มีแรงว่าย….ช่วยด้….ว….ย”  นายสรองจับความได้แค่นี้ก็กระโจนลงน้ำดังตูมแล้วก็ลากเรือยางเข้าไปใกล้  จนคนไม่เจียมสังขารสามารถไต่ขึ้นมาประคองตัวได้อีกครั้งหนึ่ง

    การล่มเรือครั้งสุดท้ายจึงผ่านไปอย่างทุลักทุเลเพราะต้องช่วยกันลุ้นว่าคราวนี้เจ๊โอเล่เธอจะไปโผล่ที่ใด…เพราะเธอตะโกนบอกคนขับสกูทเตอร์ข้างหน้าแจ้วๆ ว่า “หล่อๆนะคะ…ขอหล่อๆ นะคะ” อยู่เพียงแค่นั้น

    @@@@@@@@@

    การร่ำลาเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างทุกคนกลั้นฝืนความรู้สึกไว้เต็มที่  เวลาของการเยี่ยมเยื่อนจบลงแล้ว แต่ทุกคนมั่นใจว่าความสุขความทรงจำไม่มีวันสิ้นสุด  ตอนจบของเรื่องเล่าภาคพิเศษตอนนี้อาจจะสั้นห้วนไปสักนิด…เพราะอยากจะให้มันจบลงอย่างมีความสุข……..เพราะคนเขียนก็ต้องกล้ำกลืนความรู้สึกสุดสุขไว้เต็มที่ ไม่ยอมให้มันไหลออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อท้นขึ้นมา…แน่นอน….การพบย่อมมีการจากลา…แต่มิตรภาพไม่ได้มีการสูญหายไปไหน….เราทุกคนจะกลับไปพบกันที่บ้านอีกหลัง….บ้านที่ในหัวใจของทุกคนเฝ้าคิดถึงความรู้สึกดีๆ ที่มีแบ่งปันให้กันอย่างไม่รู้หมดสิ้น..ตราบนานเท่านาน

    จบดีกว่า...เนอะ....







    แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 46 18:37:25

    แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 46 18:17:40

    แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 46 16:31:26

    จากคุณ : SONG982 - [ 25 ต.ค. 46 16:12:32 ]