นี่คืออาณาจักรมิดแลนด์ อาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนที่มีพื้นที่ครอบคลุมจากหุบเขาจรดผืนทะเล
=========
มันก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว....
ไม่มีใครถาม ไม่มีผู้สงสัย ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ
ก็เหมือนกับที่อื่นๆ อาณาจักรถูกแบ่งเป็นสองชนชั้น ชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นผู้ถูกปกครอง
จักรพรรดิ ขุนนาง และ ไพร่
พระราชวังโอ่อ่าโอฬาร และ กระท่อมเล็กคับแคบ
ระบบแบบนี้ดำเนินมาเป็นร้อยปี จึงไม่มีความสงสัย เหตุใดตนจึงเกิดมามั่งมี เหตุใดตนจึงเกิดมายากจน
คำตอบที่อธิบายได้คือ "ระบบกรรม" เพราะ "ชาติที่แล้ว" ท่านทำกรรมไว้ "ชาตินี้" ท่านจึงต้องมารับกรรมเพราะ "ชาติที่แล้ว" ท่านทำบุญเอาไว้ "ชาตินี้" ท่านจึงได้เสวยผลบุญ
เมื่อมีคำถามอื่นใดอีก เช่นใครเป็นผู้ตัดสิน ว่าบาป หรือบุญ นั้นมีเท่าใด ต่อคำตอบของเรื่องนี้เห็นจะอยู่ที่ นั่นเป็นเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน พระเจ้าเป็นผู้ดลบันดาล
แล้วพระเจ้าอยู่แห่งหนใด ไม่รู้สิ เราไม่รู้หรอกพระเจ้าอยู่ที่ใด พระองค์อยู่ทุกหนทุกแห่ง
องค์จักรพรรดิผู้ทรงอำนาจสิทธิ์ขาดทั่วทั้งขอบขัณฑสีมา คงจะเป็นคำอธิบายได้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพราะพระองค์ได้รับการนับถือว่าเป็นทายาทแห่งพระผู้เป็นเจ้า
=========
จักรพรรดิแม้จะทรงอำนาจในทางวิญญาณสูงสุด แต่อำนาจในทางโลกนั้นดูจะมีความยุ่งยากลำบากในการจัดการดุลย์อำนาจ
เนื่องเพราะพระองค์มีราชสิทธิ์ในทางวิญญาณสูงสุด เรื่องนี้จึงกลายเป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาอำนาจที่อยู่รายล้อมพระองค์ ผู้นำตระกูลขุนนางทุกตระกูลต่างต้องการอำนาจนี้
อำนาจและโภคทรัพย์ของขุนนางมีไม่ใช่น้อย บางตระกูลถึงกับมีมากกว่าจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็นั่นแหละ ความต้องการของคนเราก็มีไม่สิ้นสุดเพราะนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อได้ในทางโลกแล้วก็ยังมีความปรารถนาในทางวิญญาณอยู่อีก
สถานะจักรพรรดิ เป็นสถานะที่ได้รับยกย่องเป็นพิเศษ เมื่อจักรพรรดิเสด็จสวรรคต ในฐานะทายาทแห่งพระเจ้า พระองค์จะได้เดินทางสู่ดินแดนพระเจ้าและอยู่ร่วมกับพระเจ้าไปชั่วนิรันดร์ ต่างกับคนธรรมดาที่ยังต้องเสี่ยงกับการเกิดมาชาติหน้า ไม่รู้ว่าบุญหรือบาปของตนอย่างใดจะมากกว่ากัน ไม่รู้ว่าจะได้เกิดมาดีขึ้น หรือแย่ลงกว่ากัน
แม้เป็นเพียงความเชื่อ แต่ขุนนางทุกคนต่างก็ต้องการฐานะที่ไม่ธรรมดานี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะมีขุนนางเข้ายึดอำนาจ และแย่งชิงราชบัลลังก์อยู่เสมอ และแน่นอนว่าหากขุนนางผู้ใดต้องการปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาผู้นั้นก็ต้องมีความมั่นใจในอำนาจของตนเอง และสายสัมพันธ์ต่อขุนนางคนอื่นๆ เพราะหากพลาดขึ้นมา ก็ต้องถูกประนามว่าเป็นกบฏ และถูกประหารทั้งตระกูล
แต่ก็นั่นแหละ แม้ว่าจะมีโทษรุนแรงเพียงใด แต่สถานะพิเศษของจักรพรรดิทำให้ขุนนางยังคงกล้าที่จะเสี่ยงทำการปราบดาภิเษกอยู่เสมอ และน่าแปลกที่ดุลย์อำนาจที่ขุนนางผู้ซึ่งปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดินั้นในช่วงแรกแม้ว่าจะมีอิทธิพลมาก แต่อำนาจของจักรพรรดิก็มักจะเสื่อมลงตามกาลเวลา และต้องถูกปราบดาภิเษกอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ซึ่งหากไม่ใช่ช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์ ก็เป็นช่วงต้นรัชสมัยทายาทของพระองค์เอง
กล่าวได้ว่าจักรพรรดิก็คือเหล่าขุนนางที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันปราบดาภิเษกขึ้นมานั่นแหละ ขึ้นอยู่กับช่วงใดจะมีขุนนางผู้ใดสามารถสั่งสมกำลังได้มากกว่ากัน หากมีขุนนางปราบดาภิเษกไม่สำเร็จถูกประหารล้างไปทั้งตระกูล ก็มักจะมีขุนนางชั้นผู้น้อยสั่งสมกำลังขึ้นมาจนกระทั่งกลายเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่แทนที่ขึ้นมาจนได้ และกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่จะมาวัดบารมีกับจักรพรรดิและเหล่าขุนนางคนอื่นต่อไป
องค์จักรพรรดิเองก็จำเป็นต้องพึ่งพาเหล่าขุนนางในการจัดการบริหารบ้านเมือง และการทำสงคราม ทั้งยังต้องคอยระมัดระวังมิให้ขุนนางกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมีอำนาจมากเกินไป การดุลย์อำนาจของพระองค์จึงเป็นเรื่องน่าปวดหัวอยู่ไม่น้อย
[ยังมีต่อ]
แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 46 17:02:37
จากคุณ :
bucky_m
- [
25 ต.ค. 46 16:34:01
]