+++++วันฝนตก+++++

    ดนตรีแห่งสายฝนยังคงบรรเลงบทเพลงเศร้าเพลงเดิมๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  หยดน้ำเล็กๆตกสู่พื้นดินเบื้องล่าง  หยดแล้ว..........หยดเล่า...........เบื้องหลังม่านหมอกแห่งฝน หลายคนตกอยู่ในวังวนแห่งความคิดถึง   หลายคนเสียน้ำตา  และหลายคนจมตัวเองอยู่กับห้วงความเหงา  ฝนนำมามากมายเหลือเกินซึ่งความรู้สึก  ไม่ว่าเราจะอยากรู้สึกถึงมันหรือไม่ก็ตาม
    ท้องฟ้าเป็นสีดำทะมึน  เหล่าเมฆสีเทาขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นช้าๆ  ปกคลุมแผ่นดินเบื้องล่างให้ตกอยู่ในความมืดมิด   สายฟ้าฟาดเปรี้ยงเป็นทางยาวราวกับโกรธแค้นใครสักคนมาสักหมื่นปี  เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดกึกก้องไปทั่ว  คล้ายกับผืนฟ้าต้องการจะประกาศอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมันให้โลกได้รับรู้  แต่ก็น่าแปลกที่เหตุใดท้องฟ้าต้องหลั่งน้ำตาให้กับความเหี้ยมโหดนี้เสียมากมาย  บางที..........มันอาจจะกำลังโดดเดี่ยวและเสียใจอยู่ก็เป็นได้

    ฉันไม่เคยชอบวันที่ฝนตก เช้าวันไหนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับสายฝน  ฉันจะรู้สึกว่าวันนั้นจะกลายเป็นวันที่เลวร้าย  ฉันคงต้องเจอเรื่องแย่ๆเป็นแน่  แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นเสมอๆ  อย่างน้อยฉันก็เจอรถติดทำให้ไปเรียนสาย  ถนนเฉอะแฉะทำให้รองเท้าของฉันเปียกและสกปรก  จะไปเที่ยวไหนก็คงไม่สนุกถ้าทุกๆที่เปียกไปหมด  ฉันมักจะหงุดหงิดทุกๆครั้งที่ฝนตกแม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันหยุดที่ฉันไม่ได้ออกจากบ้านก็ตาม  เพราะสายฝนทำให้ท้องฟ้ามืดมนและน่ากลัว
      เมื่อฉันโตขึ้นและมีรถขับเป็นของตัวเอง  ฝนไม่ค่อยทำให้ฉันหงุดหงิดเพราะการเดินทางอีก  แต่มันกลับมอบความรู้สึกเจ็บปวดทรมานให้แทน   ฝนเป็นสิ่งที่โหดร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นมาบนโลก  ยากที่จะอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ทั้งๆที่ฝนคือชื่อของฉัน  น่าแปลกไหมที่มีคนเกลียดชื่อของตัวเอง   เมื่อตอนฉันเด็กๆ   คุณพ่อเล่าว่าวันที่ฉันเกิดเป็นวันที่ฝนตกหนัก วันนั้นเป็นวันที่โลกให้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของพ่อ   ตอนนั้น  ฉันยิ้มจนแก้มปริ  รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากเหลือเกินในสายตาของพ่อ   แต่แล้ววันเวลาก็ได้ทำให้ฉันรู้ว่า  ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกทั้งเพล  พ่อกับแม่เลิกกันตอนฉันอายุได้แค่ 11 ขวบ ฉันรับรู้แค่ว่าพ่อมีผู้หญิงใหม่  แล้วพ่อก็จากฉันไป  ฉันไม่เคยได้รับรู้อีกเลยว่าพ่อไปไหน.......
    “ฝน ฝน ฝน!”
    เสียงใสๆของเพื่อนสาวข้างๆ  หยุดความคิดของฉันไว้เพียงแค่นั้น
    “มีอะไรหรอ”
    “นั่งเหม่อเชียว  คิดถึงใครอยู่ยะ”
    “ไม่ได้คิดถึงใครหรอก  คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ  ว่าแต่นี่เรามาถึงไหนกันแล้ว”  ฉันมองฝ่าสายฝนออกไปนอกกระจก   สอดส่ายสายตาหาป้ายบอกทาง  
    “น่าจะเข้าเพชรบุรีแล้วมั้ง  อีกไม่นานคงถึง  ว่าแต่ดีจังนะที่พวกเราได้มาเที่ยวกันอีก”  
    “คงจะดีกว่านี้ถ้าฝนไม่ตก”  น้ำเสียงของฉันเปลี่ยนไป  ออมก็คงสังเกตเห็นได้
    “ไม่ชอบฝนตกหรอ  ฉันว่าก็เย็นดีนะ  ไม่อย่างงั้นตอนบ่ายๆอย่างนี้คงร้อนตายเลย”
    “ไม่ล่ะ  เราเกลียดฝนตก  ยิ่งฝนตกเวลาที่มาทะเลทีไร  ทำให้คิดถึงแล้วก็เสียใจเรื่องแหวนทุกทีเลย”  
    “ยังไม่ลืมเรื่องนั้นอีกหรอ”   คำถามของออม  ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรร้อนๆจี้ที่ขอบตา  ฉันรู้ว่าออมไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมากมายเท่าฉัน  ก็เพราะว่าออมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์  ถ้าออมได้มาเป็นฉันบ้าง  เป็นคนที่มีส่วนในการจากไปของแหวน  ออมคงไม่ถามคำถามเช่นนี้  
    “ไม่มีวันลืมได้”  ฉันย้ำด้วยถ้อยคำที่แน่นหนัก  แต่เบาจนตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน


    “ถึงแล้ว  เย้!  ถึงซะที” ออมกระโดดขึ้นยืนอย่างสดชื่นทันทีที่เรามาถึงที่หมาย
    “นั่งมาซะนานจนเมื่อยไปหมดเลยเนอะ”  ฉันหันไปยิ้มกับเพื่อนสาว  แล้วลุกขึ้นขนกระเป๋าเดินทางลงจากชั้นบนที่นั่ง  แต่ยังไม่ทันจะถือเดินลงจากรถ ก็มีมือหนึ่งมาแย่งของไปจากฉัน
    “เราช่วยถือนะฝน”  ฉันหันไปหาเจ้าของเสียง
    “ธร !  มาได้ไงเนี่ย  กลับมาเมื่อไหร่  แล้วนี่นั่งอยู่ตรงไหนไม่เห็นเห็นเลย”  
    “อ้าว  ใจเย็นๆ  เล่นถามรวดทีเดียวหลายคำถามแบบนี้  จะให้เราตอบคำถามไหนก่อนดีเนี่ย”  ธรยิ้มอย่างอบอุ่นเหมือนเคย  ฉันคิดไปถึงเมื่อครั้งที่เราสนิทกันตอนมัธยมปลาย  เขาเป็นเพื่อนใหม่คนแรกที่ฉันรู้จักและสนิทเมื่อฉันย้ายมาเข้าโรงเรียนนี้ตอนม.4  
    “กลับมาจากอังกฤษเมื่อไหร่”  เราเดินลงจากรถแล้ว  อดหยุดมองทะเลที่ระยิบระยับด้วยแสงสะท้อนจากพระอาทิตย์เบื้องหน้าไม่ได้  และดูเหมือนฉันจะดีใจที่ได้เจอเพื่อนสนิทเก่าจนลืมว่าออมหายไปไหนไม่รู้
    “ก็ประมาณ 2 เดือนแล้วล่ะ พอดีเมื่อสองวันก่อนโทรไปหาไอ้ตุลย์  มันก็เลยบอกเรื่อง trip รวมรุ่น  อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำ  อยากเจอเพื่อนเก่าก็เลยมา  แล้วนี่ฝนได้งานหรือยัง”  
    “ยังเลย  พอดีหลังจากสอบเสร็จก็ยุ่งๆเรื่องงานศพคุณยาย  ยังไม่มีเวลาไปสมัครงานเลย”
    “เราเสียใจด้วยนะ”  
    “นี่  ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดหรอกน่า  เราทำใจได้แล้ว  ว่าแต่ธรเถอะ  นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกซะแล้ว  ไม่เห็นติดต่อมาบ้างเลย”  ฉันแอบน้อยใจเมื่อคิดถึงที่เขาขาดการติดต่อไป
    “ก็ช่วงแรกเราย้ายที่อยู่บ่อยๆ  แบบว่าปรับตัวไม่ได้น่ะนะ เลยไม่ค่อยได้ติดต่อหาเพื่อนที่นี่   เท่าที่จำได้ดูเหมือนเราเคยโทรหาฝนครั้งนึงตอนเข้ายูที่นั่นได้  แต่ฝนก็เปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว”  ทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันถึง 4 ปี  แต่ฉันรู้สึกเหมือนเค้าไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่  ท่าทาง  น้ำเสียง  การพูดก็เหมือนเดิม  ที่เปลี่ยนก็คงเป็นหน้าตาที่ดูโตขึ้นแล้วก็บุคลิกที่มั่นใจมากขึ้นล่ะมั้ง
    “อืมม์ใช่  มือถือเราหายน่ะ  ช่วงนั้นใช้แบบบัตรเติมเงิน ก็เลยต้องเปลี่ยนเบอร์ไปเลย”  
    “เราเปลี่ยนไปไหม”  ฉันตกใจเล็กน้อยที่เขาถามเรื่องที่ฉันกำลังคิดอยู่พอดี
    “ไม่รู้สิ  ก็นิดหน่อยมั้ง  ไม่ได้เจอกันตั้ง 4 ปีนี่หน่า”  ฉันยิ้มอย่างร่าเริง  
    “เมื่อกี้นั่งอยู่ด้านหลังของรถ  เจอเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกันหลายคน  ตกใจเหมือนกัน  เดี๋ยวนี้มันดูหล่อมาดเท่ห์กันขึ้นทั้งนั้นเลย”
    “ธรก็หล่อขึ้นน้า”
    “หลอกให้ดีใจเปล่าเนี่ย”
    “โกหกน่ะ”   ฉันหัวเราะ  แล้วก็นึกถึงออมขึ้นมาได้  “เดี๋ยวเราคงต้องไปหาออมก่อนล่ะ  หายไปไหนก็ไม่รู้”
    “สงสัยขึ้นห้องพักไปแล้วมั้ง  งั้นเราเอาของไปเก็บที่ห้องพักกันดีไหม  เห็นว่าวันนี้จะไปทานข้าวเย็นในเมืองกันด้วยนี่  เดี๋ยวคนอื่นๆจะรอ”
    “เห็นด้วยๆ  ไปกันเถอะ”
    “งั้นเราถือของไปส่งที่ห้องนะ”  
    เราเดินคุยกันมาเรื่อยๆ โรงแรมที่นี่ไม่ใหญ่มากแต่ก็ตกแต่งได้น่ารัก  ฉันแอบชอบบ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้ายข้างตัวตึก  มีแต่ปลาสวยๆและหายาก
    “ขอบคุณนะที่เดินมาส่ง”  ฉันกล่าวกับเขาเมื่อเรามาหยุดที่หน้าห้องพัก
    “อืมม์  ไม่เป็นไร  งั้นเราไปล่ะนะ”
    ฉันกึ่งลากกึ่งยกสัมภาระเข้าไปในห้อง
    “อ้าว  ยัยฝน  ไปไหนมายะ  ปล่อยให้ชั้นเดินมาคนเดียว”  ออมกำลังจัดเก็บของอยู่ตรงตู้เสื้อผ้า
    “โทษทีจ้ะ  พอดีเมื่อกี้เจอธร  ออมจำธรได้ไหม”
    “ธรไหน  ใช่ที่ไปอยู่อังกฤษรึเปล่า”
    “ใช่ๆ  นั่นแหละ  ก็เลยคุยกันเพลินไปหน่อย  เขาดูดีขึ้นเยอะเชียวล่ะ”  ฉันแอบยิ้มกับคำพูดตัวเอง
    “เอาเถอะๆ  ฉันว่าเรารีบลงไปล็อบบี้ดีกว่า  นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว”  ออมคว้ากุญแจดึงฉันออกจากห้องไป

    เย็นนั้นเรากินกันที่ร้านอาหารริมทะเลที่ค่อนข้างมีชื่อ  ฉันรู้จักคนที่ไปด้วยกันแค่ไม่กี่คน คงเป็นเพราะโรงเรียนฉันเป็นโรงเรียนใหญ่  รุ่นนึงๆก็ไม่ต่ำกว่าพันคน  ที่รู้จักส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน  ไม่ก็อยู่ชมรมเดียวกัน  เพื่อนสนิทฉันมีมาแค่คนเดียวคือออม  สองคนอยู่ต่างประเทศ  ส่วนคนอื่นๆไม่ว่าง   ที่จริงในกลุ่มฉันก็สนิทกับออมที่สุดเพราะหลังจากจบม.ปลายแล้วเราก็ Entrance เข้าคณะเดียวกันคือสถาปัตยกรรม  ฉันเรียนเอกมัณฑนศิลป์  ส่วนออมเลือก ด้านออกแบบผลิตภัณฑ์  
    หลังจากอาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไป  เรากลับมาที่พัก  ตั้งวงคุยกันที่ชายหาด    บรรยากาศภายในวงเต็มไปด้วยความครื้นเครง  ทุกคนสนทนากันอย่างออกรส  แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะบรรดาขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายสิบขวดที่กลิ้งอยู่กลางวงซะมากกว่า  ฉันเป็นคนไม่ชอบดื่ม  ไม่ใช่เพราะอยากรักษาภาพพจน์หรือกลัวเมา แต่เป็นเพราะฉันว่ามันไม่อร่อย  ในเมื่อไม่อร่อยก็ไม่รู้จะกินไปให้ได้อะไรขึ้นมา  ฉันก็เลยนั่งคุยแต่กับเพื่อนผู้หญิง  ไม่ได้ไปร่วมวงกับพวกผู้ชาย  แต่ไม่นานวงทั้งสองก็ยุบเป็นวงเดียวกัน  ดูเหมือนพวกผู้ชายจะเมากันแล้ว  แต่ทุกคนก็ยังคงเล่นกีตาร์ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน  ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะขอตัวไปนอน

    จากคุณ : หลอดด้าย - [ 26 ต.ค. 46 23:10:45 A:203.209.11.230 X: ]