Green plus blue.

    เมื่อสรรพเสียงในอากาศ กลับคืนสู่สภาพปกติ  ผมแว่วเสียงเม็ดฝนหยดสุดท้าย กระทบผืนโลก
    ในห้วงเวลานี้กลิ่นหอมลมเย็นจะพัดโชย ผ่านมา     ผมกระเถิบตัวเลื่อนออกจากชายคา อาคารไม้หลังเก่า
     ย่ำเท้าออกเดินไปบนพื้นอิฐตัวหนอน    ตัวหนอนเรียงตัวร้อยเรียงคล้ายเป็นเส้นนำทางพาผมไปสู่ปลายทาง
    แต่เมื่อ มองตามไปข้างหน้า ย่อมพบว่า มันอาจไม่ใช่จุดหมายของผม
    จุดหมายของการเดินทอดน่องของผมนี้ อยู่ที่โบสถ์หลังใหญ่สีฟ้า  ผมตัดใจอำลาเหล่าตัวหนอน และเส้นทางของมันไป
     เดินฉีกแยกตัวมาด้านซ้าย เดินไม่ถึง 20 ก้าว ผมก็พบกับ ประตูรั้ว เหล็กและล้อเลื่อน เกลื่อนสนิม  
    - ผมเคลื่อนดันมันออก - ในสัมผัสนั้น พกพาเอากลิ่นสนิมติดมือผมมา ..
    โบสถ์หลังใหญ่สีฟ้ามีโทนสีที่แปลกตาไป อาจกล่าวได้ว่า ครึ้มอย่างผิดวิสัย สีฟ้าที่เคยสว่างสดใส ในเวลานี้กลับดูหม่นหมอง คล้ายคนอมทุกข์  
    น้ำฝนที่คั่งค้างบนหลังคา ไหลย้อยรวมกัน ทยอยหยดเป็นติ่งห้อยเล็กๆ และร่วงหล่น ประปรายตามร่องหลังคา
    -  ผมมองดูยังโบสถ์ มันกำลังสั่นเทิ้มด้วยความหนาว เจ็บปวดจนน้ำตาไหลร่วง
    .. ในตอนนั้นเอง  . . เสียงฝีเท้าย่ำเบาๆ แว่วมาจากทางด้านหลัง ในเสียงนั้น มีเสียงรองเท้ากระทบพื้นอิฐ และแผ่นน้ำเจิ่งนองถูกกระทบแตกกระจาย เสียงคลุกเคล้าจนได้ที่ ก่อเป็น เสียงประหลาดพิกล
    .. ผมมิได้หันกลับไปมอง เพียงเดินตรงไปข้างหน้า .. เสียงผสมเหล่านั้น .. ย่ำจังหวะเนิบนาบแว่วเสียงตามผมมาด้านหลังหน้าประตูมีพุ่มโทรศัพท์
    - ที่เรียกขานกันว่า พุ่มโทรศัพท์ นั้นด้วยสภาพของสถานที่นั้น ท่ามกลางพุ่มไม้ดกใบนั้น มีโทรศัพท์สาธารณะแซมอยู่เครื่องหนึ่ง หนึ่งเดียวกลางพุ่ม
    - สีเขียวอ่อนของโทรศัพท์ใช้การ์ดนั้น แทรกตัวอยู่
    อย่างเป็นมิตรในพุ่มไม้สีเขียวเข้ม .. ความปรองดองในสีสัน ถูกทำลายเมื่อ ผมแทรกตัวเข้าใช้บริการโทรศัพท์
    - สีแดงแสดแผดเผาจากเสื้อยืดคอกลมของผม ทำลายความเป็นพันธมิตรนั้นเสียสิ้น ผมเป็นมือที่สามที่แยกส่วนรวมนั้นออกจากกัน
     ถึงกระนั้นผมยังคงยกหูโทรศัพท์ เสียบยัดเยียดการ์ดเข้าไป   นิ้วมือกดตัวเลขเชื่องช้า ประหนึ่งคนหัดพิมพ์ดีด
    เสียงสัญญาณดังยาวนาน .. ยังคงไม่มีคนรับสาย  ผมหันหน้ามองไปยังทิศทางที่เดินเข้ามา
    ที่ลานกว้างหน้าโบสถ์นั้น มีร่มคันนึงถูกกางอยู่
    ร่มมีสีเขียวได้เหมาะควรแก่ช่วงเวลาจริงๆ จะว่าอย่างไรดี  เป็นสีที่คั่นอยู่ตรงกลางระหว่าง สีเขียวเข้มของพุ่มไม้ กับ สีเขียวอ่อนของโทรศัพท์  
    จะดีแค่ไหนกันหนอ หากร่มนั้น แทรกแซมอยู่ในพุ่มโทรศัพท์นี้ผู้ที่ถือร่มกลับมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย  เธอแนบโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับหู มือซ้ายคล้ายยึดคันร่มเอาไว้ ไม่ให้หลุดลอยไป ท่ามกลามลมระเรื่อยเอื่อยเฉื่อย ขาก้าวเล็กๆเคลื่อนที่เชื่องช้าคล้ายต่อความเร็วให้กับหอยทาก เท้ากระทบพื้นก่อเสียงพิกล เสียงที่ตามหลังมานั้นเอง
    ในสมัยที่โทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายนั้น  ทำให้ยากสำหรับผมที่จะคาดเดาราคาเครื่องโทรศัพท์ที่เธอใช้อยู่  ในส่วนที่เดาได้ไม่ยากนั้นก็คือ เธอคงเป็นคนมีฐานะ .. และจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ผมคงบอกได้เลาๆถึงรสนิยม
    หญิงสาวที่มีสีหน้าเศร้าศร้อย แต่งตัวดี เดินถือร่ม เข้ามาทำไมในโบสถ์ที่กำลังรื้อถอนกันนะ บางทีเธออาจจะเดินมาตามเส้นทางของอะไรบางอย่าง  อาจจะเป็นแนวเสาไฟ แนวต้นไม้ อะไรบางอย่างที่ยิ้มเชิญชวนเธออย่างอ่อนหวานมาทางนี้ เธออาจจะไม่รู้จักที่จะปฎิเสธ ในขณะที่ผมปฎิเสธการเชิญชวนของเหล่าตัวหนอนตรงมายังจุดหมายของผม  เธอเองอาจจะไม่มีแม้กระทั่งจุดหมายก็เป็นได้ .. ในแง่สุดท้ายของความคิด ประตูรั้วที่ผมเปิดทิ้งเอาไว้ อาจจะเชิญชวนเธอเข้ามา . .. ยิ้มยั่ว อย่างชั่วร้าย
    ... แค่ประตูรั้ว ธรรมดาๆ .. ผมยิ้ม ..
    เมื่อเท้าเธอยังไม่หยุดก้าว ส่งเสียงประหลาดเนิบนาบต่อเนื่อง  เธอจึงเดินเข้ามาใกล้ผมเข้าทุกที ทุกที .. ทีละนิดช้าๆ แต่เป็นจริงที่สุดในตรรกทั้งมวล  
    ในระยะที่ผมพอจะพินิจถึงเค้าหน้าเธอได้ชัด  จึงพบว่า เธอไม่ใช่คนที่สวยเพริศแพร้วอย่างที่คิดเอาไว้ แต่สีหน้าเศร้าศร้อยนี้กลับเหมาะเจาะ ส่งเสริมให้เธอดูดีอย่างประหลาด  
    ให้ความรู้สึกถึง เสน่ห์บางอย่าง  เสน่ห์ของความเงียบเหงา  คล้ายๆจะได้กลิ่นความเหงาจางๆลอยพัดมาสู่ผม ..
    เพ่งพิจในสักระยะ เธอเหลือบสายตามองทางผมโดยบังเอิญ เราสบตากันชั่วครู่ . . ผมเบี่ยงสายตาหลบมายังตู้โทรศัพท์ เสียงสัญญาณสั้นๆซ้ำๆ บอกถึงการปฎิเสธที่จะรับสาย จาก ปลายทาง แม้กระนั้นผมยังคง ถือหูโทรศัพท์เอาไว้
    ผมสอดสายตาแอบมอง เจ้าของร่มสีเขียวที่ในขณะนี้ หยุดยืนนิ่ง ผมเพียรพิจ พิจารณาเธอ ..

    ผมไม่รู้ว่า เธอคุยกับใคร......
    เสียงที่กระซิบผ่านโทรศัพท์ บอกอะไรกับเธออย่างนั้นหรือ  สุ้มเสียงนั้นชักพาเธอให้มีความรู้สึกอย่างไร
    ผมไม่อาจแน่ใจนักว่าเธอเศร้า ในบางครั้งที่คนเรามีความสุข ก็อาจจะแสดงสีหน้าแบบนี้ได้เช่นกัน เธออาจยังไม่รู้ ฝนหยุดตกได้สักพักนึงแล้ว
    .. แม้ว่าฟ้าจะยังไม่โปร่ง แต่กลิ่นไอแดดเริ่มกระจายไปตามสายลม ทำให้ความเศร้าเหงาที่สายฝนพาพัดมาให้เรา ค่อยๆซึมออกจากตัวของเรา   แทรกซึมลงสู่พื้นดินผ่านชั้นหินมากมาย  แล้วมันจะแทรกตัวลงในน้ำบาดาล  ผ่านการกรองครั้งแล้วครั้งเล่า ไหลออกสู่ทะเล   ความเหงานั้นเจือจางในพื้นน้ำทะเล  ในยามที่คลื่นลมสงบนิ่ง  เมื่อแดดแผดเผา ไอน้ำลอยจากทะเล ลอยขึ้นบนฟ้า ก็หอบเอาความเหงาไปด้วย        ความเหงาจึงแผ่กระจายไปทั่วแผ่นฟ้า   ในเวลาที่เหมาะสม มันจะกลั่นตัวเกาะติดกลับมายัง ผืนโลก พร้อมกับสายฝน      กระทบกระทั่งทุกๆสิ่งที่ขัดขวางเส้นทางร่วงหล่น   ยามที่สายฝนกระทบเรา  ความเหงา เคลือบเกาะติด และ แทรกซึม ทีละน้อยๆ ... ความเหงานั้นเป็นเช่นไรกันแน่มิอาจใครล่วงรู้ได้ชัด แต่คงมีวัฐจักรของมัน ..

    ผมยังคงไม่รู้ว่าเธอคุยอยู่กับใคร

    ไม่รู้ว่าใครคนนั้น จะยืนอยู่บนผืนแผ่นดินที่เปียกชุ่มแบบนี้หรือเปล่า บางทีเค้าอาจจะยืนอยู่กลางสายฝน และเธออาจจะกางร่มให้กับเค้า
    .... อาจเป็นเช่นนั้น เมื่อเธอลดโทรศัพท์ลง สัญญาณตัดหาย เส้นเชื่อมบางๆ ระหว่างเธอกับเขาก็ขาดลง  เธอลดร่มลงเกือบทันที..ส่วนตัวผมยังถือหูโทรศัพท์ ฟังเสียงสัญญาณซ้ำๆ
    ผมวางหูโทรศัพท์ เหม่อมองเธออย่างไม่รู้ตัว  เธอยืนนิ่งหันหน้ามองมาทางผม   เมื่อมองอีกครั้งใบหน้าของเธอทำให้ผมประหลาดใจ   คนเรามีใบหน้าหลายรูปแบบ  เค้าแบบแห่งความเศร้าหายไป เมื่อความสงบเข้าแทนที่ องคพายพ บนหน้ายังคงรูปเหมือนเดิม เพียงความรู้สึกที่แฝงมานั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
     ผมเดินเข้าไปหาเธอ ..  ร่มในมือ สะบัดเบาๆ    เธอเหม่อมอง ร่มแห้งสนิท ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อไม่กระทบถูกฝนมาช่วงเวลาหนึ่ง   .... อากาศคล้ายจะอุ่นขึ้นมาบ้าง
    ความเหงาถูกกัดเซาะออกจากตัวเธอ ใบหน้ากลับมีเค้าความอบอุ่นเจือจางแฝงมาบ้าง "ฝนหยุดตกแล้วนะครับ"  ผมอาจจะบอกเธอแบบนั้น
    เมื่อเหม่อมองไปบนท้องฟ้า  ความเหงายังคงซ่อนตัว อยู่กระจัดกระจายบนแผ่นฟ้า  อาจยังมีหยาดน้ำเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่บนกลีบเมฆ ....
    ฉับพลันนั้น ...... ฝนเม็ดสุดท้าย ตกลงระริ่ว กระทบปลายจมูกผม ทำเอาผมสะดุ้ง อุทานออกมา   ..  แว่วเสียงหัวเราะเสียงใส เมื่อผมมองกลับมาที่เธอ ..... ผมพบ รอยยิ้ม เปื้อนอยู่บนหน้าเธอ ว่ากันว่า รอยยิ้มจะนำพาซึ่งความรู้สึกอันอบอุ่น ให้กับผู้ที่ได้รับ  แต่สำหรับรอยยิ้มที่ผมได้รับ ในวันนี้ กลับก่อร่างสร้างความเย็นฉ่ำของสายน้ำพัดเข้าสู่ทรวงอกของผม อย่างรวดเร็ว ... เมื่อน้ำป่าไหลหลาก ลำคลอง และ ตลิ่งย่อมได้รับความเสียหาย เช่นเดียวกัน ผมคล้ายจะถูกกัดกร่อนด้วยกระแสความเย็นนี้เช่นกัน - ความรู้สึกอ่อนยวบอย่างว่าง่าย
    เบื้องหลังของเราสอง โบสถ์หลังใหญ่สั่นเทิ้ม หยาดน้ำตาหยดลงมาไม่หยุดยั้ง  เราเริ่มคุยกันด้วยประโยคง่ายๆ ทำให้ผมคิดถึงตอนที่เริ่มเรียนพูดภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ  ประโยคที่แสนสามัญพร่างพรูไม่หยุดยั้ง  เวลาคล้ายจะไปผ่านไปด้วยความเร็ว คำพูดที่แสนจะตะกุกตะกัก ขยักขย่อนไหลตามกันมาจากปากของผม ไปพร้อมๆกับเวลาที่ไหลเลื่อน
    จนกระทั่งเมื่อความเงียบแทรกตัวเข้ามาในวงสนทนา ปากผมหนักขึ้นมาเสียเฉยๆ คำพูดขาดตอน ผมสูญเสียถ้อยคำคล้ายหล่นหายไปในเหวลึกไร้ก้น  ความเงียบพยายามโยกคลอนผมให้รู้สึก ประหม่าและตื่นเต้น
    ..... ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเงียบสงบตลอดกาล เธอเอ่ยขึ้นทำลายความนิ่งงันนั้นพังทลาย
    "โทรหาเรา ตอนที่ฝนตกได้มั้ย"
    ผมตอบรับ โดยการไม่แสดงสีหน้าใดๆตอบรับ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจได้ดี  ความสงสัยในถ้อยคำของเธอ หลบหายเข้าไปอยู่หลัง ปอดของผมที่จวนเจียนจะแหกอยู่รอมร่อ ... เธอกำลังจะบอกเบอร์โทรศัพท์ให้กับผม ผมควานหาเศษกระดาษทั่วทั้งตัว สุดท้ายได้แบงค์สิบ หยิบขึ้นมา แต่เธอปฎิเสธที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไปบนแบงค์สิบนั้น สุดท้ายเธอจึงบันทึกเบอร์โทรศัพท์หอพักของผมไปแทน
    "เราจะโทรไป ตอนที่ฝนตก"
    จากนั้น เธอเอ่ยลา และ เดินจากไป จังหวะการเดินยังเปลี่ยนไป เสียงประหลาดเนิบนาบ หายไป  ที่ได้ยินก็เพียงแค่เสียงฝีเท้าของคนๆนึง  
    ผมรอคอยให้เธอก้าวผ่านพ้นประตูรั้วนั้นไป  พลางสะกดความรู้สึกที่คล้ายขัดเขินให้ต่ำลง ..
    สูดไอแดดไม่ยั้ง แล้วผมก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง อาการตื่นเต้นค่อยซาหายไป เมื่อผมก้าวเท้าผ่านประตูรั้ว ผมหันกลับไปมองที่โบสถ์อีกครั้ง..
    หยาดน้ำตายังโรยริน ผมเพียงหวังว่า เมื่อแสงแดดจัดจ้ำ ส่องพาดผ่านอีกครั้ง น้ำตาเจิ่งนองจะแห้งหายไป สีของโบสถ์จะกลับมาสดใสอีกครั้ง .. ผมหวังแค่นั้น.......

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 46 18:34:05

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 46 18:28:55

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 46 18:21:55

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 46 18:16:34

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 46 18:15:45

    จากคุณ : tooflash - [ 1 พ.ย. 46 18:15:13 ]