*~สุรางค์เเห่งศิลา~* (ตอนที่๒)


    บทนำเเละตอนที่๑

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2499541/W2499541.html

    *****

    ตอนที่๒..

    *****
    กว่าสิบปีล่วงผ่าน..เมื่อกาลเปลี่ยนผัน ..สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนเเปร..

    ณ ช่วงเวลานั้น กัมพุชเทศยังอยู่ใต้เงาเศวตฉัตร เเห่ง
    องค์กษัตริย์ทรงนาม ราเชนทรวรมัน ทรงประทับเหนือรัตนบัลลังก์นาครยโสธระปุระ

    ..มาณวขัตติยะผู้มีน้ำพระทัยหยิ่งผยองห้าวหาญ..ทรงดำริการจักเเสดงพระบารมีให้เสมอรัศมีอันเเรงร้อนเเห่งสุริยา..

    โดยทรงนำพยุหะทัพกัมพูชา เข้าต่อตีรุกรานจัมปาประเทศ..เพื่อประกาศพระเดชให้ปรากฏเกริกไกร..

    จนประโยคหนึ่งในจำหลักศิลาว่าไว้..องค์ราเชนทรวรมันทรงเปรียบดั่งสุริยะเทพ โดยรัศมีของพระองค์ได้เริ่มเเผดเผาศัตรู..คือจามปา

    ด้วยเหตุดังนี้….อิศวระปุระ..จักสงบสุขได้ดังไร..ในเมื่อทั่วทั้งกัมพุชเทศกรุ่นไปด้วยไอสงคราม…

    …..

    เมืองท่าอาริกะ..ทางตอนใต้เเห่งภารตะวรรษ

    เกวียนไม้เทียมโคคันหนึ่งค่อยเคลื่อนฝ่าฝูงชนที่ขวักไขว่อยู่ในตลาดใหญ่  สองข้างทางซึ่งโดยมาก เป็นเพิงมุงตับจากเเขวนสร้อยลูกปัดหลากสี เรียงรายกันไปจนถึงท่าเรือสินค้า

    ..เสียงจอเเจเอะอะสลับเสียงครางครืนของคลื่นกระทบฝั่ง ทำให้พราหมณ์หนุ่มผู้ที่อยู่หลังม่านไหมในเกวียนทราบว่า ได้เดินทางมาจนใกล้จักถึงจุดหมายเเล้ว.

    .ฝ่ามือเรียวสวยจึ่งค่อยๆเเง้มม่านออกทอดมองสำรวจสิ่งที่รายรอบตนอยู่ในขณะนี้  ผู้คนผิวคร้ามคล้ำเเออัดไปมาบนทางเดิน บ้างก็หยุดซื้อหาลูกปัดเม็ดงามจากเเผงไม้ไผ่ริมทางเพื่อนำไปขายต่อยังเเดนไกลโพ้นทะเล ..

    โน่นนั่น.. ท่าเรือใหญ่ซึ่งมีเรือสินค้าจอดอยู่อย่างเเน่นขนัด เหล่ากุลีตัวดำกำลังทยอยแบกหามสินค้าในหีบกำปั่นอันหนาหนักลงมายังตลาดด้านล่าง..ซึ่งมองจากที่ไกลออกไปดูราวกับขบวนของกลุ่มมดที่รีบร้อนขนอาหารกลับเรือนรัง..

    เจ้าของเนตรคม..ทอดตาเเลหา นาวาสักลำเพื่อนำตนคืนสู่นาครอันเป็นบ้านเกิดกัมพุชเทศ..พร้อมด้วยศิตย์ตัวน้อยที่กำลังนอนหลับหนุนตักผู้เป็นคุรุอย่างสบายมาตลอดทาง ..

    “ติสสะ..ตื่นได้เเล้ว..”

    บุรุษหนุ่มในอาภรณ์เเห่งพราหมณะสีขาวพิสุทธิ์ เขย่าตัวกุมารน้อยบนตักของตนเบาๆ เมื่อศิตย์น้อยลืมตาเเล้วจึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงง่วงงุนประสาเด็ก

    “ข้ายังมิหายง่วงเลยท่านคุรุ..ขอนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด”

    “ก็ดี เจ้าจะนอนก็นอนต่อไปเถิด..ข้าจักได้กลับกัมพุชเเต่ผู้เดียวมิต้องมีเจ้าคอยกวนใจ”

    ขาดคำ.. ดรุณน้อยพลันยันกายลุกขึ้น เร่งทำท่าทางกระฉับกระเฉงเเจ่มใสเพื่อหวังเอาใจผู้เป็นอาจารย์ ด้วยเกรงจักทอดทิ้งตนไว้เเต่ลำพัง ถ้าหากยังมัวเอ่ยบ่นชักช้าร่ำไร

    “มิง่วงเเล้วรึ..”

    เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถาม ริมฝีปากเรียวรูปยิ้มขรึมเเกมดุทำให้สีหน้าของลูกศิตย์ค่อยเจื่อนลง ก่อนที่จะยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวซี่เล็กเรียงระเบียบทั่วทั้งปากที่เปรอะไปด้วยคราบขนมหวาน เพื่อเป็นการยอมรับโดยนัย

    เมื่อเกวียนคันน้อยหยุดลง..

    ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์พราหมณ์จึงย่างเท้าลงมาพลางยกหัตถ์เปิดม่านไหมที่กั้นไว้ออก ตามด้วยกุมารน้อยตัวป้อมผิวสีคร้ามคล้ำตัดกับผ้านุ่งสั้นสีชาดสั้งเพียงเข่า เเละรัดรวบผมจุกเกล้ากลางกระหม่อม นัยน์ตากลมใสมองกวาดไปรอบๆตัวอย่างตื่นเต้น

    “ขอบใจ..”

    พราหมณ์หนุ่มกล่าวสั้นๆเเล้วจึ่งวางถุงเงินลงบนฝ่ามือของของนายเกวียนซึ่งค้อมศรีษะอย่างยำเกรงในฐานันดรเเห่งนักบวช ก่อนที่จะกุมบังเหียนกระตุกให้โคเดินเหยาะย่างห่างถอยกลับออกไปตามทางเดิม

    “ท่านคุรุ..นั่นเรือที่จักพาเราสู่บ้านของท่านหรือ..ช่างใหญ่โตยิ่งนัก"

    ผู้ศิตย์น้อยชี้มือไปยังเรื่อสินค้าลำใหญ่ลำหนึ่งที่จอดเทียบท่าลอยลำเคียงข้างเรืออื่นๆที่มีขนาดใหญ่โตไม่ด้อยไปกว่ากัน..ต่างกางใบที่ทำจากผ้าดิบขาวออกเพื่อต้านลมทะเลที่กำลังซัดคลื่นละลอกใหญ่เข้าสู่ฝั่งท่าบนหาดทรายขาวเนียนละเอียด

    “เราจักกลับไปโดยเรือลำโน้นนั่น..”  

    ผู้พูดผินหน้าไปยังนาวาใหญ่ลำหนึ่งที่มีธงเเดงอยู่บนยอดกระโดงคือเรื่อสินค้าที่กำลังจักล่องกลับกัมพุชเทศ

    “รีบไปเถิด..ข้าอยากขึ้นเรือใจเเทบขาดเเล้ว”

    “ใจเย็นก่อนเถิด..อีกกว่าชั่วยามเรือจึ่งจะออก..เเล้วข้ายังจักต้องหาของบางสิ่งกลับไปฝากให้..ผู้ที่รออยู่ที่อิศวระปุระอีกด้วย”

    เเล้วคนที่รอคอยอยู่จักเป็นใครเสียมิได้เล่า…นอกจากราชคุรุผู้บิดา เเละ ราชธิดาชาณวีร์

    วัชระพราหมณ์ลูบเกล้าผมของศิตย์น้อยเบาๆอย่างเอ็นดูยิ่ง พลางจูงข้อมือไปยังเเผงใต้เพิงตับจากที่เเขวนอวดสร้อยลูกปัดเส้นงามอยู่ริมทาง

    ร่างสูงสง่า ค้อมเกล้ามุ่นมวยก้มลงเลือกสายสร้อยลูกปัดหินหลากชนิดที่วางเรียงรายบนเเผงไม้ ชั่วครู่จึ่งหาเส้นที่งามต้องใจได้ เป็นสร้อยข้อมือลูกปัดกลมสีครามอมฟ้าใสคล้ายกับผิวเเผ่นน้ำทะเลร้อยขนเส้นไหมถักอย่างปราณีต

    “สร้อยเช่นนี้ ทั้งร้านมีเพียงเส้นเดียวนะท่าน..”

    พ่อค้าชรา ดึงมวนยาเส้นออกจากปากก่อนที่จะเอ่ยเบาๆกับพราหมณ์หนุ่มที่กำลังทาบเส้นสร้อยลงบนข้อมือเรียว

    “ราคาเท่าใด..เเค่นี้จักพอหรือไม่”

    ผู้พูดพลางควานหยิบเหรียญทองเเผ่นบางออกจากย่ามไหมขาวกว่ายี่สิบเหรียญวางลงกองลงบนเเผ่นไม้หน้าร้าน

    พลันสายตาบังเอิญไปปะกับสิ่งหนึ่งซึ่งคล้ายกับกระบอกเงินอันย่อมยาวกว่าฝ่ามือเล็กน้อย มีรอยเจาะบากเลี่ยมทองเพื่อให้เเยกออกเป็นสองชิ้นได้ ประดับหินสีหลากชนิดบนเส้นทองขดรูปกลีบบัวเป็นลวดลายเถาบุปผา  เมื่อดึงปลอกเงินออกจึ่งเห็นเป็นคมมีดสั้นวับวาวด้านใน

    “มีดสั้น..เพิ่งมีผู้นำมาขายให้ข้าเมื่อครู่..เห็นว่าก็งามดีจึ่งรับไว้..หากท่านต้องการข้าจักลดให้”

    “จักให้ราคาเท่าใด..”

    เสียงทุ้มนุ่มตอบมาอย่างมิลังเล..ทอดสายตาสำรวจบนปลอกเงินอย่างชื่นชม..ในหทัยพลันหวนระลึกถึงวงพักตร์เเย้มสรวลเเห่งเยาวเรศน้อยครั้งสุดท้ายก่อนที่จักจากมาครานั้น..จึ่งปรากฏรอยยิ้มบนดวงหน้านิ่งขรึม

    ตลอดกว่าสิบปีที่ล่วงผ่าน..จากดรุณะพราหมณ์ค่อยๆเติบใหญ่จนเป็นพราหมณ์หนุ่ม.ในดินเเดนภารตะวรรษ

    …บ่อยครั้งนักที่ความคำนึงได้ล่องลอยผ่านห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่..ไปสู่ผู้ที่อยู่ไกลเเสนไกล ณ กัมพูชาประเทศ..นั่นคือบิดาคุรุผู้อารี..เเละชาณวีร์เยาวเรศ..

    …วัชระ…เมื่อเรียนสำเร็จเเล้วก็จงรีบกลับมาที่นี่เถิด..ข้าจักนับวันรอคอยเจ้าคืนเมือง..

    สุรเสียงใสที่เคยคุ้นยังคงก้องอยู่ในส่วนโสต.. เนิ่นนานมาเเล้วมิใช่หรือที่เรามิได้พบกัน..…เเล้วป่านฉะนี้จักทรงเป็นอย่างใดบ้าง

    “กว่าครึ่งของสร้อยเส้นเมื่อครู่”
    เสียงเเหบพร่าของไวศยะชรา..ปลุกวัชระพราหมณ์ออกจากภวังค์

    อีกครั้งที่เหรียญทองบางถูกวางกองลงบนเบื้องหน้าของพ่อค้าชรา..ผู้รับกวาดกองเหรียญมานับอย่างรอบคอบ พลางพ่นควันยากลิ่นฉุนอย่างประหนึ่งกำลังใช้ความคิด

    “ข้าเดาว่า ท่านคงมิได้ซื้อมีดเล่มนั้นไปใช้เองหรอก…”
    “ท่านรู้ได้อย่างไร..” พราหมณ์หนุ่มจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

    “โอ..พราหมณ์..ตรองดูเถิด จักมีบุรุษใดนิยมปลอกมีดที่ประดับลายดอกไม้เล่า..ท่านก็น่าจักรู้อยู่มิใช่ฤา.."

    ลึกลงไปในดวงตาของพ่อค้ามีคล้ายซุกซ่อนความนัยเอาไว้..คล้ายกับล่วงรู้เข้าไปในใจของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

    “ก็จักมีเเต่นารีเท่านั้นเเลที่จักชมชอบเช่นนั้น..เเละผู้ที่ท่านจักมอบให้ก็น่าจักเป็นสตรี”

    ครานี้ผู้ที่ถูกทายถึงกับหัวเราะเบาๆเป็นการยอมรับโดยนัย

    “เอาเถิด…เเต่ข้าอยากจักเตือนท่านสักหน่อย..การให้อาวุธเเก่สตรีนั้นมิควรหรอก.มันเป็นลางมิดี..”

    ชายชรา..นิ่งไป ชั่วครู่พลางพ่นควันกลุ่มฉุนออกมาช้าๆก่อนที่จะกล่าวต่อ

    “ว่าสักวัน..ไม่ท่านก็นางจักต้องสิ้นชีพด้วยอาวุธนั้น..เพราะของมีคมมันมักจักหวนคืนมาทำร้ายผู้เป็นเจ้าของเสมอ”

    ทว่า..ครานั้นพราหมณ์หนุ่ม..มิได้ใส่ใจเชื่อถือในคำเตือนของไวศยะผู้ชรา…ดวงหน้านิ่งขรึมค่อยๆคลี่ยิ้มเย็น เเล้วสายตาคมจึ่งทอดจับลงบนใบหน้าอันเหี่ยวย่นรุงรังไปด้วยหนวดหงอกโพลน

    “ข้ามิเชื่อ”

    …….
    มีต่อ..

     
     

    จากคุณ : อชันฏา - [ 2 พ.ย. 46 12:15:22 ]