***เรื่องสั้นศึกหกภพ "สาวงามกับปีศาจ" ***

    ในความทรงจำของเมขลานั้น ท่านพ่อเป็นผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งใจดีมากๆ

    ทุกๆวันหลังจากท่านพ่อกลับมาจากการทำงานจะมาเล่นกับเมขลาเสมอๆ ท่านมักลูบหัวนางอย่างแผ่วเบาและอุ้มนางพาเที่ยววัง เมขลาไม่รู้ว่างานที่พ่อทำคืออะไรแต่คิดว่ามันคงเป็นงานใหญ่ที่สำคัญ เพราะเวลาที่เมขลาไม่อยู่ ท่านพ่อมักมีสีหน้าเคร่งเครียด และแอบไปนั่งวิตกคนเดียวเสมอ

    ช่วงหนึ่งที่ท่านพ่อเคร่งเครียดเป็นพิเศษ บอกว่า มีกลุ่มคนชั่วร้ายกำลังเข้ามาทำลายกฎระเบียบที่ท่าน ตั้งขึ้น ท่านพ่อไม่กลับวังหลายสัปดาห์ เมขลารู้สึกเป็นห่วงมาก แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะยังเป็นเด็ก

    วันที่ท่านพ่อกลับมา เมขลาดีจะไปเล่นด้วยดังเคย แต่ท่านพ่อเดินตึงตังเลยนางไปยังห้องสวดมนต์ เมขลาแอบดูจากประตูห้องเห็นท่านพ่อนั่งอยู่ต่อหน้าเทวรูปพระนารายณ์ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เอามือสองข้างกำแน่นแล้วทุบหน้าอกตนเอง ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง และแรงขึ้นๆจนน่ากลัว ท่านพ่อร้องโหยหวนไม่เป็นภาษาคน เมขลาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรู้แต่เพียงว่าภาพนั้นน่ากลัวมาก

    ต่อมาไม่นานพระอินทร์ก็เรียกท่านพ่อไปพบ เมื่อท่านพ่อมาถึงวังอีกครั้งสิ่งแรกที่ทำคือถอดสร้อยสังวาลของตนยัดใส่มือนางอัปสรข้างๆ บอกให้ดูแลเมขลา
    จากนั้นวังของเมขลาก็ตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย บรรดาแม่ๆทั้งปวงเก็บข้าวของเท่าที่พอติดตัวได้ ส่วนท่านพ่อยังคงยุ่งกับการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติแก่คนอื่น พร่ำบอกให้ช่วยดูแลเมขลา

    เมขลาไม่เข้าใจว่าท่านพ่อทำอย่างนั้นทำไม ท่านพ่อก็ดูแลนางอยู่แล้วนี่

    วันต่อมาก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาหาท่านพ่อ พาท่านพ่อไปยังลานซึ่งมีเทวดารายล้อมอยู่มากมาย

    พวกนั้นจับท่านพ่อคุกเข่าลง ชูมีดขึ้นตัดผมของท่านพ่อออกทีละปอยจนสั้น จึงเอาเครื่องนุ่งห่มหนังเสือมาคลุมให้ เมขลาเห็นคนที่คุมงานนั้นอยู่ด้วยหน้าตาดุร้ายคิดว่าคงเป็นพระอินทร์

    เวลานั้นทุกคนยุ่งจนไม่มีเวลามาดูเมขลา เมขลาจึงเดินเตาะแตะเข้าไปกลางงานพิธี ฝูงเทวดาเห็นนางบางคนก็ยิ้มเอ็นดู บางคนก็ทำหน้าสลดสังเวชใจ
    เมื่อท่านพ่อหันมาเห็นเมขลาก็มีแววตาเศร้าสร้อยและกอดนางเอาไว้แน่นจนเมขลาอึดอัด แต่ไม่กล้าส่งเสียงใดๆออกมา

    ท่านพ่อเอ่ยกับพระอินทร์ว่า “ลูกสาวข้าอายุเพียงห้าปี ข้าจะพานางไปอยู่ที่นาควารินด้วยได้หรือไม่?”

    พระอินทร์ตอบว่า “ไม่ได้ เมขลาเป็นนางฟ้า สมควรอยู่บนดาวดึงส์เท่านั้น ท่านออกบวชละเรื่องทางโลกแล้วจะพานางไปลำบากทำไม”
    ท่านพ่อฟังดังนั้นก็หน้าซีดและปล่อยมือจากเมขลา เดินไปหาชายร่างสูงโปร่งใส่เสื้อสีขาวคนหนึ่ง

    ชายคนนั้นตัวผอมสูง ร่างกายเหยียดตรงไม่มีความคดโค้งดังคนทั่วไป เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวตลอด และบนศีรษะมีชฎารูปงูมีหงอนแปลกๆ

    ที่เมขลาให้ความสนใจเป็นพิเศษคือดวงแก้วใสซึ่งติดอยู่บนชฎานั้น มันเปล่งประกายแวววาวเปล่งปลั่งแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความคลุมเครือของม่านหมอก

    งดงามอย่างลึกลับ เจิดจ้าน่าพิศวง ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ ชวนให้เคลิบเคลิ้มติดตรึง

    ชายชุดขาวยื่นมือขึ้นจับบ่าพระวรุณเป็นเชิงปลอบ  เมขลาพึ่งสังเกตว่าเขามีดวงตายาวเรียว จมูกตรง แก้มตอบ ดูไปยังคล้ายงูอยู่บ้าง

    พระอินทร์กล่าวขึ้น “พระยาอนันต์ได้ข่าวว่าท่านพึ่งรับพระราชทานยอดแก้วเกาสตุภะแห่งพระนารายณ์เป็นเจ้ามา คาดว่าคือแก้วที่ใช้ประดับชฎาของท่านใช่หรือไม่?”
    ชายชุดขาวได้ยินดังนั้นก็มีท่าสั่นไหว จึงค่อยๆผงกศีรษะ

    พระอินทร์ถามต่อว่า “ของวิเศษชนิดนี้ล้ำค่ายิ่งยวด จะเรียกเป็นของคู่บ้านคู่เมืองดิรัจฉานภูมิก็ว่าได้ หากรักษาไว้ที่นาควารินอาจไม่ปลอดภัย ถ้าอย่างไรท่านถอดฝากไว้กับข้าเถิด ข้าจะรักษาให้อย่างดี”

    ชายชุดขาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า แต่เมื่อพระอินทร์ถามซ้ำจึงยอมควักลูกแก้วนั้นออกมาถวาย

    จากนั้นชายชุดขาวจึงพาท่านพ่อในเครื่องแต่งกายหนังเสือจากไป
    ท่านพ่อเหลียวหลังมองเมขลาตลอด แววตาเปี่ยมล้นด้วยความเป็นห่วงจนนางรู้สึกได้

    พระอินทร์เหลียวมามองเมขลาซึ่งตัวสูงแค่เข่า พนักงานข้างๆกล่าวว่า “นางแน่งน้อยหน้าตาน่ารักนี้ ท่านจะเลี้ยงไว้เป็นบาทบริจาริกาหรือไม่?”

    พระอินทร์จ้องนางครู่หนึ่งกล่าวว่า “เด็กไป”

    “แล้วท่านจะทำอย่างไรกับนางและลูกแก้วนี้ดี” พนักงานถาม

    “เอาไปเก็บ” พระอินทร์ตอบ จบการตัดสินใจนั้นฝูงเทพก็แยกย้ายกลับไปอยู่ตามที่ของตน

    เมขลาและดวงแก้วที่สวยงามแต่ชื่อเรียกยาก ถูกเอาไปเก็บยังวิมานเล็กๆแห่งหนึ่ง มีนางอัปสรคอยดูแลอยู่สิบกว่านาง ที่นี่กลายเป็นบ้านใหม่ของเมขลา และนางอัปสรเหล่านั้นกลายเป็นบรรดาแม่ๆใหม่ของนาง

    เมขลาเติบโตเป็นหญิงสาวสะพรั่ง โดยธรรมดานางฟ้าหลังจากอายุสิบหกร่างกายนางก็ไม่โตขึ้นอีก

    ความซุกซน ไร้เดียงสาของนางทำให้อัปสรทั้งปวงรู้สึกรักใคร่ บอกว่าเมขลามีสิ่งที่เทวดาทั้งหลายหลงลืมไปนานแล้ว เหล่าแม่อัปสรบอกว่านางเป็นหญิงที่สวยที่สุดบนสวรรค์แล้วและพยายามปกป้องนางไม่ให้ใครมาเห็นเพราะกลัวจะนำไปบอกพระอินทร์
    นางจึงใช้ชีวิตผ่านไปโดยการเล่นสนุกตามประสา ไม่รู้วันปี ไม่รู้เวลา ทุกๆสิ่งเหล่าแม่อัปสรจะเป็นผู้จัดการให้โดยเมขลาไม่เคยติดต่อกับเทวสมาคมเลย

    เพื่อนที่แท้จริงคนเดียวของเมขลาคือดวงแก้ววิเศษ (ชื่อใหม่ที่นางตั้งให้หลังจากลืมชื่อเดิมไปแล้ว) ทุกวันนางจะไปคุยกับดวงแก้ว ซึ่งแม้ไม่มีใครเชื่อแต่ดวงแก้วนั้นโต้ตอบนางได้
    การโต้ตอบของดวงแก้ววิเศษไม่ใช่เป็นคำพูด แต่มาทางสัมผัสบางอย่าง ดวงแก้วสอนเรื่องต่างๆแก่เมขลา สอนนางให้ฉลาดเฉลียว รู้จักโลกภายนอก เมขลาเพลิดเพลินกับการพูดคุยทุกครั้ง

    ครั้งหนึ่งดวงแก้ววิเศษบอกว่าจะให้พรเมขลาข้อหนึ่ง แต่เมขลายิ้มและปฏิเสธ
    เมื่อดวงแก้วรบเร้าจะให้พรนางให้ได้ เมขลาจึงว่าขออยู่กับดวงแก้วตลอดไปก็พอ

    นับจากนั้นดวงแก้วก็ไม่โต้ตอบเมขลาอีกเลย

    เมขลารู้สึกเศร้าเสียใจด้วยสำคัญว่าตนเองพูดผิด แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นกับนางมากมายจนไม่มีเวลามานั่งคิดมาก

    เริ่มจากนายทวิช พี่ชายซึ่งไม่ค่อยได้เจอกันของนาง อยู่ๆก็ลงไปสมคบกับพวกมนุษย์และอสูรก่อการกบฏขึ้น เหล่าอัปสรในวิมานต่างตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย นางเหล่านั้นเรียกเมขลามากอดไว้ตัวสั่นร้องไห้ บอกว่าจะมีคนมาเอาตัวเมขลาไป

    คนที่มาคนแรกนั้นหน้าเข้ม ไว้หนวดเคราดกแต่ตัดเล็มเรียบร้อย เมขลาจำได้ว่าคือลุงอยู่เพื่อนสนิทของท่านพ่อนั่นเอง เขาเดินตรงไปฉุดเมขลาออกมาจากเหล่านางอัปสรด้วยท่าทางเร่งรีบ
    “ไปกับลุงเร็ว มิฉะนั้นแม้แต่ลุงก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”

    แต่ก่อนที่ลุงอยู่จะพาเมขลาออกจากวิมาน ก็มีชายร่างใหญ่ ถือขวานเดินมาเห็นจึงกล่าวว่า “พระอาทิตย์ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

    ลุงอยู่ขมวดคิ้วจึงย้อนถาม “ท่านล่ะ?”

    “พระอินทร์เทวราชมีคำสั่งให้ตัดหัวตัวประกันไปให้เหล่ากบฏดู!!” ชายร่างใหญ่กล่าว

    “นี่เป็นลูกของนายเพิ่มเพื่อนข้า” ลุงอยู่กล่าว “เห็นแก่หน้าข้าเว้นชีวิตนางสักครั้งเถิด แล้วข้าจะส่งเสริมท่านต่อไปแน่”

    ชายร่างใหญ่มองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเหยียดหยาม “เสียแรงท่านเป็นเสนาผู้ใหญ่กลับสนับสนุนให้คนอื่นทุจริตผิดราชการ ข้าเองถึงมีตำแหน่งต่ำต้อยแต่เป็นคนตรง คำสั่งซึ่งรับมาจากนายเหนือหัวนั้นต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็จะชิงถวาย!” เขากล่าวอย่างทรนงองอาจพลางยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ

    “แต่นางเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว หาได้รู้เรื่องบ้านเมืองไม่ ควรหรือต้องตายอย่างไร้ความผิด” ลุงอยู่เกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอ่อนลง

    “ทหารชาญชัยยึดถือคำสั่งเจ้านายเป็นเด็ดขาด ท่านอย่าพักพูดพล่ามเลย”

    เมขลาเห็นเส้นเลือดผุดขึ้นที่ขมับของลุง “ขอถามอีกครั้ง จะฆ่านางจริงๆ?”

    “ใช่ แล้วทำไม!?” ชายร่างใหญ่ร้อง

    ลุงอยู่แค่นยิ้ม “ไม่มีใดดอก... ฟังเช่นนี้ข้าจะได้จัดการเอ็งอย่างสบายใจขึ้น”
    เขายื่นมือมาปิดตาเมขลาไว้ จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังปึด เมื่อมองได้อีกทีชายร่างใหญ่ก็นอนคว่ำกับพื้นแน่นิ่ง ที่ลำคอมีรอยสีแดงจางๆอยู่รอยหนึ่ง

    ขณะนั้นมีเสียงแตรสัญญาณดังยาวขึ้นทั่วทั้งสวรรค์ ลุงอยู่ได้ฟังก็เหงื่อไหล จึงกล่าวกับเมขลาว่า “โทษที่ลุงไหวตัวช้า เวลานี้สายเสียแล้ว ลุงและลูกๆต้องไปเป็นแม่ทัพรบกับพี่ของเจ้า คงไม่อาจปกป้องเจ้าได้อีก” เขาหันไปมองนางอัปสรรอบๆ สบตาทีละคน ชี้ไปที่ศพของชายร่างใหญ่และตวาดด้วยเสียงดุ “ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคปัจจุบันสิ้นชีวิต ส่วนเมขลาก็ป่วยสิ้นชีวิตไปนานแล้วเช่นกัน พวกเจ้าเข้าใจไหม!?”

    พวกนางอัปสรมองหน้ากันเหรอหรา จึงก้มลงกราบลุงอยู่ร้องรับคำด้วยเสียงตื่นกลัว
    ลุงอยู่กล่าวสำทับอีกว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างเคยรับสินบนจากพระวรุณ หากข้ากลับจากการรบครั้งนี้เมขลายังปลอดภัย ทรัพย์สมบัติทั้งนั้นก็จะมีเพิ่มอีก แต่หากนางเป็นอันตรายหรือเรื่องนี้แดงออกไปละก็พวกเจ้าจะต้องพบจุดจบอย่างสุนัข!”

    เมื่อขู่จนทุกคนลนลานแล้ว ลุงอยู่จึงหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งยื่นให้เมขลา “เวลาที่เภทภัยมาถึงตัว ให้ใช้มีดนี้เสียบต้นขาคนที่จะมาทำร้ายเจ้า กดและบิดแรงๆจากนั้นหนีอย่างเร็วที่สุดเข้าใจไหม?”

    เมขลาพยักหน้า

    หลังจากลุงอยู่จากไปคราวนั้น พวกนางอัปสรยิ่งควบคุมเมขลาอย่างเข้มงวดมิให้ใครมาพบ หรือให้ออกไปพบใครได้
    เทวาสุรสงครามสิ้นสุดลงแล้ว พลีก็ถูกปราบแล้ว แต่เมขลายังคงออกไปไม่ได้เพราะขณะนี้นางคือคนตายสำหรับสวรรค์ คนตายย่อมไร้ตัวตน

    เมขลานั่งจับเจ่าอยู่ในวิมาน เบื่อๆๆๆๆ

    แต่แล้ววันหนึ่งนางก็ได้ยินข่าวน่าสนใจจากบทสนทนาที่พวกนางอัปสรคุยกัน

    เรื่องเริ่มจากการปรากฏตัวของยักษ์ตนหนึ่งชื่อ ราม อสูรวงศ์


    จากคุณ : เชษฐา - [ 2 พ.ย. 46 23:18:24 ]