เรื่อง.. ของขวัญแห่งชีวิต..ตอนที่1

    เรื่อง.. ของขวัญแห่งชีวิต..ตอนที่1
     
    ... ถ้าไม่มีนัดลูกค้าข้างนอก การนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะทำงานที่บ้านทุกวัน
    เป็นการดำรงชีวิตตามปกติของผมในปัจจุบัน รอบข้าง มีกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า สำหรับต้มน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟ และ บะหมี่สำเร็จรูป มีโทรศัพท์ แฟกส์ โทรศัพท์มือถือ และ อินเตอร์เน็ท เป็นช่องทางสำหรับติดต่อสื่อสารกับลูกค้า กับ ผู้คนต่างๆที่ผมต้องเกี่ยวข้องทั้งใน และ ต่างประเทศ
    ซึ่งเมื่อเห็นภาพตัวเองเช่นนี้ ในวันนี้แล้ว ดูเหมือนว่าในปัจจุบันนี้ชีวิตของผมแทบจะไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากนัก แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะการแข่งขันกันในเชิงธุรกิจที่ผมทำอยู่นั้น ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการใช้สมอง อยู่ที่องค์ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ที่มี เพื่อที่เราจะใช้มันคิดให้จบ และ แปรมันออกมาเป็นการกระทำ
    .......ผมเติบโตมาจากตระกูลชาวนาในจังหวัดทางภาคใต้ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 560 กิโลเมตร เห็นจะได้ พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย เรียนหนังสือโรงเรียนวัด วิ่งเล่นกลางท้องไร่ท้องนา มีวิถีชีวิตเช่นเดียวกับเด็กชนบททั่วไปของประเทศนี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมได้เรียนชั้นประถมปลายที่โรงเรียนประจำอำเภอ ต่อมาก็ได้มีโอกาสเรียนมัธยมในโรงเรียนเอกชนที่นับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี
    ผมจบมัธยมปลายที่นั่นก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดไม่ได้ในครั้งแรก แต่หลังจากที่พยายามสอบเข้า อีกเป็นครั้งที่สองในปีถัดมา ผมก็สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สำเร็จ
    ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ด้วยการเป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชนแห่ง และ ย้ายตัวเอง เปลี่ยนแปลงตำแหน่งและรายได้เพื่อความก้าวหน้าของตัวเองไปหลายแห่ง จากเงินเดือนเริ่มต้นเพียง 4,500 บาท ในวันแรกที่ผมเริ่มทำงาน
    ...............เวลาล่วงไป 6 ปี เด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุ 30 ปี มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับผู้จัดการฝ่าย ได้รับเงินเดือนถึงเดือนละ 30,000 บาท และ จากนั้นอีก 4 ปี ผมได้รับเงินเดือนและรายได้ค่าบริหารอื่นๆต่อเดือน ถึง 54,000 บาท พร้อมรถยนต์ใช้ส่วนตัวประจำตำแหน่ง 1 คันและ นั่นคือจุดสูงสุดของชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้าง ที่ผมอยากจะจดจำความสำเร็จนั้นเอาไว้เป็นกำลังใจแห่งชีวิต

    ตอนที่..2

       ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศล้มละลาย มีคนหลายคนหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย ปรากฏเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน แต่ ผมกลับลาออกจากงาน .. ยอมเป็นคนไม่มีเงินเดือนแม้แต่บาทเดียวรองรับชีวิต อาศัยเพียงเงินเก็บจำนวนไม่มาก เพื่อไปลงทุน ดำรงชีวิตด้วยการประกอบธุรกิจทำร้านเหล็กดัด-มุ้งลวด ร่วมชีวิตกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมได้เลือกเธอเป็นคู่ชีวิต
    ...........ในขณะเดียวกันผมก็ก่อตั้งบริษัทฯของตัวเองขึ้นมา ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า  ผมจะใช้บริษัทฯของผมประกอบธุรกิจอะไร ผมตั้งมันขึ้นมา เพียงเพราะผมอยากมีบริษัทฯเป็นของตัวเอง เท่านั้น.. ผมไม่เห็นว่ามันจะยากอะไร และ ผมคงทำมันได้อย่างแน่นอน
    ...........ด้วยความเชื่อมั่นตัวเอง และ พลังแห่งความทะเยอทะยานมหาศาล ผมเชื่อว่าผมสามารถนำพาบริษัทฯของผมให้ยิ่งใหญ่ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมันมาด้วยอะไรก็ตาม ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ ...
              และ......ต่อจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มไม่มีเงินค่างวดรถยนต์ ผมเริ่มไม่มีค่าเพจเจอร์ และ ค่าโทรศัพท์มือถือ ผมเริ่มไม่มีเงินจ่ายค่างวดบ้าน และ ค่าเช่าบ้านให้น้องชาย และ หลานอีกสองคนที่ต้องดูแล และบางครั้งไม่มีแม้กระทั่งค่าอาหารในบางมื้อ
    .............สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในขณะนั้นคือเงินทุน เพื่อจะมาหมุนใช้ในธุรกิจเหล็กดัดของผม และ ใช้จ่ายในภาระที่ผมต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวทั้งน้องชายและหลาน กับอีกครอบครัวหนึ่งคือครอบครัวของผมกับเธอ..

     
     

    จากคุณ : มิสเตอร์พี - [ 3 พ.ย. 46 13:23:56 ]