[[[แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคพิเศษ / ตอน..A Weasley's Rule "กฏของวีสลีย์" / ตอนที่ 2 - จบ]]]

    A Weasley's Rule "กฏของวีสลีย์"

    ตอนที่ 2


    นางวีสลีย์เดินงุ่นง่านไปมาอยู่ในครัว  รู้สึกประสาทนิดๆ  คิดไม่ตกว่าเธอจะเริ่มพูดกับลูกสาวอย่างไรดี  และจินนี่พร้อมที่จะรับฟังเรื่องที่เธอกำลังจะพูดมากน้อยแค่ไหน  และที่สำคัญ  ตัวนางเองนี่สิพร้อมที่จะพูดเรื่องอย่างนี้กับลูกแล้วหรือ  ความคิดทั้งหมดนี้มันตีกันสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของมอลลี่  วีสลีย์

    แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้เท่านั้นเมื่อได้ยินเสียงนายวีสลีย์เดินลงมาจากชั้นบน  นางเห็นสามีเดินยิ้มกริ่มลงบันไดมาและเดินเรื่อยไปจนกระทั่งพ้นประตูออกไปยังโรงรถก็ยังไม่หยุดยิ้ม  แถมยังไม่สังเกตว่าภรรยาของเขากำลังมองมาด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง  แสดงว่าอาเธอร์คงพูดกับรอนเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะสิ  ท่าทางจะบรรลุเป้าหมายไปได้ด้วยดี..นางคิด

    นางรู้ดีว่าสามีได้พูดกับลูกชายคนอื่นแล้วด้วยเหมือนกัน  เริ่มตั้งแต่บิลลูกชายคนโตของครอบครัว  เรื่องมันเกิดขึ้นก็เพราะว่านางเผอิญไปเจอเอาโน๊ตฉบับนึงในกระเป๋าเสื้อคลุมของบิลเข้าเมื่อตอนที่เขากลับมาบ้านหลังจากจบปีหกที่ฮอกวอร์ต  เป็นโน๊ตที่คงจะมาจากสาวน้อยคนหนึ่งซึ่งเขียนมาขอบคุณบิลสำหรับค่ำคืนอันแสนหวานที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน  และสัญญาว่าครั้งต่อไปคงจะราบรื่นกว่าที่ผ่านมา  นางวีสลีย์ยังจำได้ว่าตนเองแทบช็อคตายลงไปในตอนนั้นเลยทีเดียวเมื่ออ่านมาถึงตอนที่บอกว่า  

    "ฉันดีใจที่ครั้งแรกฉันก็ได้เจอกับคนที่แสนจะวิเศษอย่างเธอ บิล..เธอช่างอ่อนโยนและอบอุ่นเหลือเกิน คืนนั้นเธอเยี่ยมมากเลยล่ะ  รู้ไหม"

    โอ้ว..ลูกชายตัวน้อยๆของเธอ  พวกเขาไม่ได้ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว  แต่นางวีสลีย์ก็ต้องยอมรับมัน  และนั่นทำให้นางและสามีคิดว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องมีการพูดคุยกับลูกๆเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันสักหน่อยแล้วโดยที่นายวีสลีย์อาสาที่จะไปพูดกับบรรดาลูกชายเอง  และนับจากนั้นมันก็เลยกลายเป็นกฏของตระกูลวีสลีย์ไป  ว่าถ้าเมื่อถึงเวลาที่นายและนางวีสลีย์เห็นสมควรว่าลูกๆของพวกเขาพร้อมจะรับฟังเรื่องราวที่ว่านี้ได้เมื่อใด  พวกเขาก็จะไปพูดกับลูกๆเอง  และทุกครั้งที่นายวีสลีย์รู้ตัวว่าจะต้องไปพูดกับลูกคนใดคนหนึ่งแล้วล่ะก็  เขาก็จะต้องเครียดเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  เห็นได้ชัดจากเมื่อคืนที่นางวีสลีย์บอกว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปพูดกับรอนแล้วเขาก็ยังทำท่าหวั่นๆอยู่เหมือนเดิม  และนางเองที่บอกเขาว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไรที่จะไปพูดกับลูกๆในเรื่องแบบนี้

    แต่ตอนนี้นางเองกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้เลย  เมื่อถึงตาที่เธอจะต้องไปพูดกับจินนี่ลูกสาวคนเดียวของเธอ  ตอนนี้กลายเป็นว่านางเองที่เป็นฝ่ายรู้สึกประสาทๆและหวั่นผวา  กลัวเหลือเกินว่าจินนี่จะไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าลูกสาวจะรับเรื่องพวกนี้ได้แค่ไหนกัน  ถึงแม้เธอจะมั่นใจว่าจินนี่จะไม่มีวันประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางอย่างนั้นแน่ๆ  แต่ก็กันไว้ดีกว่าแก้  ยิ่งมาเห็นว่าแฮร์รี่มีท่าทางแปลกๆกับลูกสาวของเธอด้วยแล้วก็อดห่วงไม่ได้  แต่เธอก็ยังมั่นใจอีกเหมือนกันว่าแฮร์รี่จะไม่ทำอะไรๆอย่างที่เธอคิดกลัวเป็นแน่  แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ  เธอจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ  ถ้าเผื่อว่าแฮร์รี่เขาเกิดควบคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมา  ก็เขากำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น  เลือดหนุ่มกำลังพลุ่งพล่าน  เมื่อฮอร์โมนแห่งความร้อนรุ่มเริ่มฉูบฉีดมันก็ยากที่จะควบคุมนักล่ะ  นางวีสลีย์คิดและเชื่อว่านางรู้ดีในเรื่องนี้  ก็นางเลี้ยงดูลูกชายมาตั้งหกคนด้วยกันแล้ว...

    คิดได้ดังนั้นนางวีสลีย์ก็เดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของจินนี่ทันที  คิดว่าเป็นไงเป็นกัน  นางตั้งสติด้วยการสูดหายใจเข้าปอดติดๆกันหลายเฮือกก่อนที่จะเคาะประตูห้องของจินนี่ได้

    "จินนี่..อยู่ไหมลูก?"

    "ขา!  อยู่ค่ะ  มีอะไรหรือคะแม่"  เสียงจินนี่ตอบกลับมา

    นางวีสลีย์เปิดประตูเข้ามาก็เห็นว่าจินนี่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงของเธอ  กำลังอ่านจดหมายอยู่  ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นหันมามองที่นางวีสลีย์ที่ตอนนี้นั่งลงที่ขอบเตียงของลูกสาวแล้ว

    "จดหมายจากใครหรือจ๊ะลูก"  นางถามทั้งๆที่รู้ดีว่าน่าจะเป็นจดหมายจากแฮรี่แน่ๆ

    จินนี่มองกลับไปที่จดหมายในมือของตัวเองก่อนจะตอบออกมาเบาๆ  "ของแฮร์รี่ค่ะ"  หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

    "นี่ก็หมายความว่าแฮร์รี่เริ่มตาสว่างขึ้นมาบ้างแล้วสิใช่ไหม"  ก็ลูกสาวแม่ออกจะน่ารักซะปานนี้น่ะ  จริงไหมลูก"  นางพูดยิ้มๆ  ทำให้จินนี่ยิ่งหน้าแดงจัดมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า  "แม่ไม่ว่าอะไรหรอกนะจินนี่  ถ้าเรื่องมันจะเป็นอย่างนั้นน่ะ  แล้วเขาเขียนว่าไงล่ะ"  นางวีสลีย์ถามต่อ  

    จินนี่ยักไหล่  แล้วตอบกลับมาว่า  "ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะแม่  แค่แฮร์รี่เขากำลังกังวลเรื่องที่พี่รอนเริ่มรู้แล้วว่าเราคบกัน  เอ่อ..หนูหมายถึงหนูกับแฮร์รี่น่ะค่ะ  เราคบกันมาได้เดือนกว่าๆแล้ว  และพี่รอนทำท่าทางไม่ค่อยจะพอใจกับเรื่องนี้ซักเท่าไหร่  แฮร์รี่เขาก็เลยหนักใจ  แต่เขาบอกว่าเขาจะพูดกับพี่รอนเรื่องนี้อีกทีและยืนยันว่าเขา..เอ่อ..เขาจริงใจกับหนูแค่ไหน  และหวังว่าพี่รอนคงจะเข้าใจเขามากขึ้นด้วยน่ะค่ะ"  จินนี่พูดอย่างอายๆ

    นางวีสลีย์คิดว่าเห็นทีนางจะไม่พูดเรื่องที่เตรียมมาไม่ได้แล้ว  เรื่องมันเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้จริงๆซะด้วย ลูกสาวของเธอกำลังคบหาอยู่กับหนุ่มน้อยที่นางรู้ดีว่าลูกสาวของตัวเองเฝ้าไฝ่ฝันถึงอยู่ตลอดเวลา  นี่มันคงเหมือนกับความฝันของจินนี่กำลังจะกลายเป็นจริง  ลูกสาวของเธอกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่แสนหวานที่นางเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกันว่าผลสุดท้ายแล้วพวกเขาจะลงเอยกันอย่างไร

    นางวีสลีย์ยิ้มให้จินนี่ก่อนที่จะพูดออกมาว่า  "จินนี่จ๊ะ  แม่คิดว่าถึงเวลาที่แม่จะต้องพูดกับลูกเสียทีแล้ว"

    "เกี่ยวกับแฮร์รี่หรือคะ!?"  จินนี่ถามด้วยความประหลาดใจ  ไม่แน่ใจว่าแม่ของตัวเองจะพูดเรื่องอะไรด้วย

    "เอิ่ม..ก็ไม่เชิงหรอกลูก  อันที่จริงแล้วแม่ว่า..มันน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มๆทั่วไปมากกว่านะจ๊ะ"

    จินนี่หัวเราะออกมาเบาๆขณะที่นางวีสลีย์พูดต่อไปด้วยประโยคๆนึงที่นางคิดเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าจะเป็นการเกริ่นนำร่องไปสู่เรื่องราวหลักๆที่นางต้องการจะบอกกับจินนี่ในวันนี้

    "เอ่อ..จินนี่ลูกรัก  รู้มั้ยจ๊ะว่าเราต่างก็เปรียบเทียบชาย-หญิงเอาไว้กับปากกาขนนกและขวดหมึก"

    "ปากกาขนนกหรือคะแม่?"  จินนี่ทำสีหน้างงเป็นที่สุด

    "ใช่แล้วจ๊ะ  ที่รัก  และลูกเป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นขวดหมึก"  นางวีสลีย์ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูดและพยายามอธิบายให้จินนี่เข้าใจ

    "งั้นแฮร์รี่ก็เป็นปากกาขนนกใช่ไหมคะ?"  จินนี่ถามและหัวเราะออกมาเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่แม่ของตัวเองเปรียบเทียบให้ฟัง  นี่มันอะไรกัน  ปากกาขนนกกับขวดหมึกอย่างนั้นหรือ  และตัวเธอเองกับแฮรี่อย่างนั้นหรือ  จินนี่ไม่เข้าใจนักแต่ก็อดขำไม่ได้จริงๆ

    "แม่จะเล่าอะไรให้ฟังนะลูก  อืม..เมื่อเราซื้อหมึกมาใหม่ๆสักขวดนึงและเรายังไม่เคยเปิดใช้มาก่อนเนี่ย  มันก็จะยังมีพลาสติกปิดผนึกไว้ที่ปากขวดถูกไหมลูก  เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหมึกหกออกมาได้  เพราะนั่นอาจจะทำให้เลอะเทอะไปกันหมด  แล้วทีนี้ลองบอกแม่หน่อยสิลูก  ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเราเกิดไปเปิดฝาขวดหมึกขวดใหม่เข้าก่อนที่จะถึงเวลาอันสมควรน่ะ  อืม..แม่แค่สมมติเอานะลูก  ว่ามันโดนเปิดไปแล้วน่ะ"

    จินนี่ทำท่าทางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ตอบออกมาว่า  "ขวดหมึกขวดนั้นก็อาจจะแห้งเกรอะกรังติดก้นขวดอยู่อย่างนั้น  เอามาใช้ประโยชน์อะไรอีกไม่ได้ยังไงล่ะคะแม่"  ดูเหมือนจินนี่จะยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแม่ของตังเองหมายความถึงอะไรกันแน่

    "ถูกต้อง  จินนี่"  นางวีสลีย์พูดขึ้น  "เราก็จะเสียหมึกขวดนั้นไปอย่างไร้ค่าทั้งที่ยังไม่สมควรด้วยนะจ๊ะลูก  เอาล่ะ  ที่นี้เรามาพูดถึงปากกาขนนกกันบ้าง  อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ว่าปากกาขนนกน่ะมันมีมากมายหลายแบบแตกต่างกันด้วยจนาดและรูปร่าง  บางอันก็สั้นจับกระชับมือดี  แต่ก็มีบางรุ่นที่เขาทำมาเป็นด้ามยาวๆ  และบางแบบก็อันเล็กๆ เห็นมีวางขายอยู่เยอะเหมือนกันนะลูก  พอมาถึงตอนนี้จินนี่ก็ขัดขึ้นว่า

    "ใช่ค่ะแม่  แต่หนูชอบแบบที่เป็นด้ามยาวๆแล้วก็มีปลายใหญ่ๆ  มันช่วยให้เขียนถนัดมือดีอีกด้วยเพราะว่า..อุ๊บ!"  จินนี่หยุดพูดเมื่อเพิ่งจะนึกออกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมันมีความหมายเป็นนัยๆไปถึงอะไรได้บ้าง  นางวีสลีย์เองก็ยังหัวเราะขำกับคำพูดไร้เดียงสาของลูกสาว  "โอ..แม่คะ  แม่เข้าใจนะคะว่าหนูกำลังพูดถึงปากกาขนนกจริงๆ  ไม่ใช่..เอ่อ..หนูไม่ได้หมายถึง..คือ..หนูไม่มีทาง..เอ่อ..."  

    นางวีสลีย์หัวเราะเบาๆ  แล้วบอกกับลูกสาวว่า  "แม่รู้..จินนี่  ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก  ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าแม่ต้องการจะบอกอะไร"  จินนี่พยักหน้าบอกว่าเข้าใจ  ดังนั้นนางวีสลีย์จึงพูดต่อว่า  "มีอีกอย่างที่แม่อยากจะถามลูกนะจินนี่  พลาสติกที่ปิดผนึกไว้ที่ปากขวดน่ะ  เราจะทำอย่างไรกับมันถ้าเราต้องการจะเปิดขวดหมึกออกมาใช้ขึ้นมาจริงๆ"

    "อ้อ..ง่ายมากค่ะแม่  ถ้าเป็นหนูนะ  หนูก็จะใช้ปลายของปากกาขนนกกระแทกผ่านปากขวดหมึกเข้าไป..." จินนี่ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้  เธอไม่ทันคิดก่อนที่จะพูดออกไป  มาคิดได้เอาก็เมื่อหลุดปากพูดออกไปแล้วนั่นเอง  มันช่วยไม่ได้  ก็พูดออกไปแล้วนี่

    "แม่!"  จินนี่ร้องออกมา  ส่วนนางวีสลีย์มองลูกสาวยิ้มๆแล้วโน้มตัวมากระซิบเบาๆที่ข้างหูจินนี่ว่า

    "เข้าใจแล้วล่ะสินะว่าแม่หมายความว่ายังไง"  จินนี่พยักหน้าและกัดเล็บตัวเองเล่น  แล้วมองหน้านางวีสลีย์ ก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไปเบาๆราวกับเสียงกระซิบว่า

    "เอ่อ..มันจะเจ็บไหมคะแม่?"

    "ก็แค่ครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้นแหล่ะลูก  อืม..อาจจะขึ้นอยู่กับทางฝ่ายปากกาขนนกเขาอีกด้วย  ก็แล้วแต่กรณีไปน่ะนะ  และเมื่อเปิดฝาขวดหมีกออกได้แล้ว  คราวนี้ก็จะเป็นการง่ายที่เราจะใช้ปากกาขนนกจุ่มน้ำหมึกออกมาใช้งานได้ตามต้องการ"  นางวีสลีย์ยิ้มตอบลูกสาว  แต่จินนี่ยังขมวดคิ้วมุ่นและถามต่อว่า

    "แต่ว่า..แม่คะ..บางครั้งเราก็ต้องออกแรงอย่างหนักเพื่อที่จะให้ปากกาขนนกมันทะลุผ่านฝาขวดที่ถูปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนานั้นเข้าไปได้  บางทีขวดหมึกมันก็ช่างเปิดได้ลำบากยากเย็นซะจริงๆ"

    "เป็นคำถามที่ดีมากลูก  ในกรณีอย่างนี้ลูกทำอย่างไรล่ะ  เมื่อพยายามเปิดขวดหมึกอย่างเต็มที่แล้วแต่ว่ามันกลับทำได้ยากเย็นอย่างนั้นน่ะ"  นางวีสลีย์ถามกลับมาบ้าง

    "อืม..ส่วนมากแล้วในที่สุดหนูก็จะเปิดมันได้ค่ะแม่..แต่ว่าหนูมักจะทำหมึกหกเลอะเทอะไปหมดเลยน่ะสิคะ" จินนี่ตอบ  นางวีสลีย์พยักหน้ารับ

    "ถูกต้องที่สุดเลยจ๊ะ  จินนี่  นั่นมันจะทำให้เราค่อนข้างจะยุ่งยากพอสมควรเชียวล่ะ  ถึงแม้ว่าเราจะไม่อาจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์อย่างนี้ได้กับปากกาขนนกและขวดหมึกจริงๆก็ตาม  แต่ว่า..จินนี่ลูกรัก  สัญญากับแม่ข้อนึงจะได้ไหมว่าลูกจะไม่ยอมเปิดขวดหมึกก่อนเวลาอันสมควร"

    "สัญญาค่ะแม่"  จินนี่รับคำหนักแน่น


    +++ มีต่อ +++

    จากคุณ : จินดา - [ 3 พ.ย. 46 23:09:56 A:203.113.32.11 X: ]