ดาบไร้คม

    [b]ดาบไร้คม[/b]



    [b]เช้าวันหนึ่ง[/b]

    บนเส้นทางสายน้อยซึ่งทอดยาวออกไปโดยมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชายหนุ่มในชุดคนเดินทางกำลังก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมุ่งมั่น สองข้างทางน้อยร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ทำให้ช่วยลดทอนความทรมานจากเปลวแดดอันร้อนระอุลงได้มากในหลายวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มรู้ว่าเส้นทางสายนี้มุ่งหน้าลงไปทางใต้เพราะเงาของต้นไม้ที่พาดผ่านทางเดินนั้นชี้ไปทางขวามือ

    สายลมเย็นสดชื่นโชยพัดมาโน้มยอดหญ้าสองข้างทางให้เอนลู่น้อยๆ ดุจน้อมคำนับต่อแผ่นดิน เสียงใบไม้ใบหญ้าเสียดสีดังประสานกันเบาๆ ดึงสายตามุ่งมั่นของชายหนุ่มให้เบนไปมองอย่างไม่อาจห้ามใจ สำเนียงขับขานจากธรรมชาติ...เสียงแห่งความสงบสันติ

    เมื่อเบนสายตากลับมายังปลายทางอันเหมือนไร้จุดสิ้นสุด นัยน์ตาชายหนุ่มก็ต้องทอแววประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังเดินสวนทางมา

    ไม่สิ...ที่ถูกควรจะพูดว่า มีเด็กคนหนึ่งกำลังเดินสวนทางมา

    เมื่อเด็กคนนั้นเดินใกล้เข้ามา ชายหนุ่มค่อยรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายวัยประมาณสิบขวบ เด็กชายแต่งกายเหมือนเด็กในหมู่บ้านที่เขาเพิ่งจากมาเมื่อสามวันก่อน ทั้งยังเดินตัวเปล่า ไม่มีสัมภาระใดๆ ติดตัวมาด้วยทั้งสิ้น

    เด็กน้อยหันมายิ้มให้ชายหนุ่มเมื่อเดินสวนกันโดยไม่ได้เอ่ยทักแต่อย่างใด ชายหนุ่มยิ้มตอบโดยไม่ได้เอ่ยทักเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็นึกยินดีอยู่ในใจ เพราะการที่เด็กคนนี้เดินตัวเปล่ามาเช่นนี้ แสดงว่าบ้านของเด็กน่าจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ชาวบ้านจากหมู่บ้านที่เขาแวะถามเมื่อสามวันก่อนบอกว่า จุดสิ้นสุดของเส้นทางสายนี้คือที่พำนักของท่านนักปราชญ์ผู้รู้แจ้งในทุกสิ่ง ชายหนุ่มเดาว่าเด็กคนนั้นคงจะเป็นคนรับใช้ของท่านนักปราชญ์

    แต่จวบจนตะวันตกดินในวันนั้น และจวบจนตะวันตกดินของวันต่อไป ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็นวี่แววจุดสิ้นสุดของถนนสายนี้ ทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าเด็กชายที่เดินสวนทางมาคนนั้นคือใคร พร้อมกับนึกเสียใจที่ไม่ได้ทักถามเด็กชายว่าสุดปลายทางนั้นยังเหลือระยะทางอีกนานเท่าใด

    วันรุ่งขึ้นอันเป็นวันที่หกของการเดินทาง ชายหนุ่มก็เริ่มกังวล เพราะเสบียงที่เตรียมมาเหลืออีกไม่มากนัก เขาควรจะย้อนกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้แล้วค่อยมาใหม่อีกครั้งดีหรือไม่หนอ?

    ชายหนุ่มทอดตามองไปเบื้องหน้า ปลายทางอันดูไร้จุดสิ้นสุดทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เขาหันหลังเดินย้อนกลับไปตามทางเดิมทันที


    [b]……..[/b]


    [b]หนึ่งเดือนต่อมา...[/b]

    ชายหนุ่มได้ปรากฏตัวบนทางน้อยสายเดิมอีกครั้งโดยที่คราวนี้เขาขี่ม้าแทนการเดินเท้า และจูงม้ามาด้วยอีกหนึ่งตัว บนหลังม้าตัวที่จูงบรรทุกเสบียงมาเพียบแปล้เลยทีเดียว

    ...จะดูซิว่าทางสายนี้มันจะยาวสักแค่ไหน... ชายหนุ่มคิด ครั้งนี้เขาได้เตรียมเสบียงสำหรับการรอนแรมเดินทางถึงสองเดือนเต็มเลยทีเดียว

    เมื่อไปถึงจุดที่ตัดสินใจหันหลังกลับเมื่อครั้งก่อน ชายหนุ่มก็ได้พบกับเด็กชายคนเดิมเดินสวนทางมา ครั้งนี้เขาไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไปอีก รีบลงจากหลังม้าแล้วถามเด็กชายว่า

    “หนูน้อย เจ้าทราบไหมว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงที่พำนักของท่านนักปราชญ์?”

    เด็กชายมองหน้าเขานิ่งอยู่ด้วยแววตาอันเยือกเย็น ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมผิดวัย

    “ท่านคือใคร? ต้องการพบท่านนักปราชญ์ด้วยกิจใดหรือ?”

    เมื่อได้เห็นกิริยาดังนั้นของเด็กชาย ชายหนุ่มก็ยิ่งแน่ใจว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กธรรมดา บางทีอาจเป็นร่างจำแลงของนักปราชญ์ก็เป็นได้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่านักปราชญ์ส่วนใหญ่นั้นมีเวทมนตร์ จึงตอบไปตามสัตย์จริงอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่า

    “ข้าเป็นช่างตีดาบ ข้าตีดาบมาแล้วนับร้อยนับพันเล่ม แต่ไม่มีเล่มใดเลยที่ข้าภาคภูมิใจเป็นพิเศษ ข้าอยากจะตีดาบที่ดีที่สุดในชีวิตสักเล่ม และดาบที่ดีนั้นต้องสร้างจากวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่ข้าไม่รู้ว่าวัตถุดิบนั้นอยู่ที่ใด มีคนแนะนำให้ข้ามาถามท่านนักปราชญ์ เพราะท่านนักปราชญ์รู้แจ้งในทุกสิ่ง ดังนั้นข้าจึงเดินทางมาหาท่านนักปราชญ์”

    เด็กชายมองหน้าเขานิ่งอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า

    “เคยมีคนมากมายมาขอพบข้า แต่ไม่เคยมีช่างตีดาบมาขอพบข้ามาก่อน ข้าจับตาดูการมาถึงของท่านแต่แรก ท่านไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปซ้ำสอง และท่านมีความมุ่งมั่น ดังนั้นข้าจะให้คำแนะนำแก่ท่าน ตามข้ามาสิ” เด็กชายพยักหน้าให้แล้วหันหลังกลับออกเดินนำ ช่างตีดาบจึงจูงม้าเดินตามไป แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจเป็นที่ยิ่ง

    ก้าวแรกที่ย่างตาม ก็ได้ไปถึงสุดปลายทางของทางน้อย ซึ่งก็คือทุ่งหญ้าแผ่กว้างไกลสุดสายตา ก้าวที่สอง ทิวทัศน์รอบข้างพลันเปลี่ยนเป็นหุบเขาลึกล้อมรอบด้วยแนวผาสูงชัน ก้าวที่สาม พื้นใต้เท้าได้เปลี่ยนเป็นผืนทรายขาวสะอาดเล็กละเอียดราวผงแป้ง และซ้ายมือคือท้องทะเลสีเขียวใสงดงามจนแทบลืมหายใจ ก้าวที่สี่ ความร้อนระอุได้พลุ่งมาปะทะหน้าในบัดดล เขาได้มาถึงทะเลทรายแล้ว ผืนทรายสีออกแดงสะท้อนเปลวแดดแผดกล้าระคายตาจนต้องหรี่ตาลงอย่างลืมตัว และก้าวที่ห้า...ความร้อนระอุและแสงสว่างหดหายไปอย่างกะทันหัน เปลี่ยนเป็นความร่มครึ้มจนแสงแดดไม่อาจลอดผ่านของป่าแห่งหนึ่งแทน ป่าที่อบอวลไปด้วยไอหมอกจางๆ ป่าที่แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ต้นที่เล็กที่สุดยังมีขนาดใหญ่กว่าห้าคนโอบ และป่าที่ถูกใบไม้แห้งซึ่งผลัดใบร่วงหล่นทับถมกันปีแล้วปีเล่าปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นดิน

    ไม่มีก้าวที่หก เพราะเด็กชายนักปราชญ์ได้หยุดเดิน หันมาบอกว่า

    “ถึงแล้ว”

    จากนั้นเด็กชายได้ชี้มือไปยังที่แห่งหนึ่ง เมื่อชายหนุ่มมองตามไป ก็เห็นว่ามันคือปากถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ครั้นชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้และมองเข้าไปในถ้ำที่มีความสูงเลยศีรษะไปเล็กน้อย ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏ

    ทั่วทั้งถ้ำสว่างเรืองรองด้วยแก้วผลึกน้ำงามที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยได้เห็นมา แก้วผลึกแท่งที่เล็กที่สุดยังมีความสูงถึงครึ่งวา แก้วผลึกที่เหมือนงอกเป็นกอออกมาจากพื้นดินแซมสลับกับหินงอก

    หลังจากหายตกตะลึงในความงดงามของแก้วผลึก ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกยินดีแต่อย่างใด แม้แก้วผลึกจะงดงามมากและเป็นสิ่งสูงค่าที่สามารถนำไปแลกเป็นเงินได้มากมายมหาศาล ทว่าเขาเป็นช่างตีดาบที่ต้องการจะสร้างดาบที่ดีที่สุดในชีวิต หาใช่ต้องการสร้างฐานะให้มั่งคั่งเป็นมหาเศรษฐี สำหรับเขาแล้วเงินทองไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าสิ่งที่ช่วยทำให้สามารถซื้อเหล็กดีๆ มาตีดาบได้ ชายหนุ่มจึงไม่เข้าใจว่าท่านนักปราชญ์พาเขามาที่นี่ทำไม ชายหนุ่มถามสิ่งที่สงสัยออกไป แต่แทนที่ท่านนักปราชญ์จะตอบ กลับย้อนถามเขาว่า

    “ท่านคิดว่าดาบที่ดีที่สุดควรเป็นอย่างไร?”

    ชายหนุ่มตอบว่า

    “ดาบที่ดีที่สุดคือดาบที่คมกริบและแข็งแกร่งยิ่งกว่าดาบเล่มใดในแผ่นดิน”

    “ถ้าเช่นนั้น นี่แหละคือวัตถุดิบที่ท่านกำลังตามหา” เด็กชายชี้ไปยังเหง้าแก้วผลึกในถ้ำ

    ช่างตีดาบขมวดคิ้วกับคำกล่าวของเด็กชาย ก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น

    “แก้วผลึกเอามาทำเป็นดาบไม่ได้หรอกนะท่าน”

    “เพราะอะไรหรือ?”

    “เพราะมันเปราะเกินไป แค่ดาบเหล็กธรรมดาก็สามารถฟันมันให้หักสะบั้นได้แล้ว”

    เด็กชายฟังเหตุผลของช่างตีดาบแล้วก็คลี่ยิ้ม แบมือออกตรงหน้า กระดาษแผ่นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนมือ เด็กชายพับครึ่งกระดาษในมือ จากนั้นถามว่า

    “ท่านว่ากระดาษนี้คมไหม? แข็งแกร่งไหม?”

    ช่างตีดาบส่ายหน้า

    “ขอบกระดาษอาจจะคมจนบาดมือได้โดยบังเอิญ แต่กระดาษพับครึ่งแบบนั้นไม่มีทางบาดมือได้แน่ และกระดาษที่ขอเพียงออกแรงสักเล็กน้อยก็สามารถขยำมันเป็นก้อนได้อย่างง่ายดายนั้น จะเรียกว่าแข็งแกร่งได้อย่างไร”

    เด็กชายยิ้มกว้างกว่าเดิม เดินไปหยิบกิ่งไม้เล็กๆ มากิ่งหนึ่ง แล้วบอกว่า

    “จงดูให้ดี”

    จากนั้นฟันกระดาษใส่กิ่งไม้กิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว

    กิ่งไม้ขาดออกจากกันทันทีโดยที่กระดาษไม่มีส่วนใดบุบสลาย!

    “ท่านใช้เวทมนตร์!” ช่างตีดาบประท้วง

    “เปล่าเลย” เด็กชายปฏิเสธ “ผู้ที่ใช้ดาบเป็นล้วนสามารถทำสิ่งนี้ได้” จากนั้นย้อนถามว่า “ท่านใช้ดาบเป็นหรือไม่?”

    “ช่างตีดาบทุกคนต้องใช้ดาบเป็น ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าดาบที่ตีเป็นดาบที่ดี” ช่างตีดาบตอบ

    เด็กชายจึงให้เขาไปหากิ่งไม้มา แล้วทำแบบที่ตนทำเมื่อครู่โดยให้คิดเสียว่ากระดาษในมือคือดาบ และกิ่งไม้นั้นคือศัตรู ช่างตีดาบทุ่มสมาธิใส่กระดาษในมือ แล้วฟันลงอย่างรวดเร็ว

    [b]เผาะ![/b]

    กิ่งไม้หักเป็นสองท่อนโดยที่กระดาษยังคงไม่มีที่เสียหายดุจเดิม

    ช่างตีดาบมองกระดาษในมืออย่างตกตะลึง เด็กชายเอ่ยยิ้มๆ ว่า

    “ดาบ เป็นอาวุธที่เน้นความรวดเร็วในการใช้ ดังนั้นนักดาบที่ดีจะต้องสามารถใช้ดาบจู่โจมได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และแม่นยำ และการที่จะทำได้อย่างนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือสมาธิ แก้วผลึกนี้มีความสามารถในการรวมสมาธิให้เป็นหนึ่งเดียวจนเกิดเป็นเกราะพลังจิตอันแข็งแกร่งที่สุดที่จะห่อหุ้มตัวดาบอันเปราะบางให้กลายเป็นดาบที่แข็งแกร่งที่สุดและคมกริบที่สุด”

    ช่างตีดาบได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมาก เขาถามนักปราชญ์ว่าการจะเจียระไนแก้วผลึกนั้นทำอย่างไร เขาอยู่เรียนรู้วิธีการเจียระไนแก้วผลึกจากนักปราชญ์ถึงสิบปีจนชำนาญ จากนั้นจึงเริ่มสร้างดาบโดยใช้เวลาอีกสามปี ดาบแก้วผลึก ดาบที่งามที่สุดเท่าที่ช่างตีดาบเคยสร้างมาก็เสร็จสมบูรณ์ มันเป็นดาบที่ไม่มีคม เพราะไม่จำเป็นต้องมี…

    ช่างตีดาบตัดสินใจที่จะลองใช้ดาบเล่มใหม่นี้ฟันต้นไม้ใหญ่ขนาดหกคนโอบซึ่งอยู่ใกล้ปากถ้ำมากที่สุด

    เมื่อจับดาบมั่น จิตใจเขาพลันสงบนิ่ง และรู้สึกถึงกระแสจิตในร่างที่หลั่งไหลไปห่อหุ้มตัวดาบซึ่งทำจากแก้วผลึกใสจนแก้วผลึกเปล่งประกายเจิดจ้าเรืองรอง เป็นแสงประหลาดที่สว่างทว่าไม่ทำให้เขารู้สึกเคืองตาแม้แต่น้อย กระนั้นชายหนุ่มก็ทราบดี...แสงนี้จะทำให้ศัตรูไม่อาจมองเห็นความเคลื่อนไหวของดาบได้

    ชายหนุ่มตวัดดาบฟันในแนวเฉียงอย่างรวดเร็ว!

    ดาบยังคงงดงามเรืองรองในสภาพเดิมโดยไม่บุบสลายเหมือนกระดาษที่ใช้ตัดกิ่งไม้ อึดใจใหญ่ต่อมา ลำต้นไม้จึงค่อยๆ เลื่อนหลุดจากกันแล้วล้มครืนกระแทกพื้นโดยแรงดังสนั่นจนแผ่นดินไหวสะเทือน


    ดาบวิเศษอีกเล่มหนึ่งถือกำเนิดแล้ว...

    ชายหนุ่มมองดาบในมืออย่างพึงพอใจยิ่งยวด เขาตัดสินใจตั้งชื่อให้มันว่า [b]“ดาบไร้คม” [/b]


    [b].......[/b]


    บนทางน้อยสายเดิม ช่างตีดาบใส่ดาบเอาไว้ตรงถุงใส่อาวุธที่ห้อยอยู่ข้างตัวม้าแล้วจัดการมัดสัมภาระและเสบียงให้แน่นหนา

    “ท่านจะขายดาบเล่มนั้นหรือ?” เด็กชายถาม

    “ไม่” ช่างตีดาบตอบ

    “จะนำมันไปถวายพระราชาหรือ?” เด็กชายถามต่อ

    ช่างตีดาบส่ายหน้าพลางกระโดดขึ้นนั่งคร่อมบนหลังม้า แล้วก้มลงกล่าวกับเด็กชายนักปราชญ์ว่า

    “ข้าจะมอบมันให้แก่ผู้ที่คู่ควร และหากในชั่วชีวิตนี้ของข้าไม่พบผู้ที่คู่ควรกับมันแล้ว ข้าก็จะมอบดาบนี้ให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานของข้า เพื่อให้เขารอที่จะมอบมันให้แก่ผู้ที่คู่ควรแทนข้า” จากนั้นเปลี่ยนเป็นถามว่า “ว่าแต่ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนจากการช่วยเหลือข้าในครั้งนี้?”

    นักปราชญ์ยิ้มน้อยๆ

    “ข้ามีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว หากท่านต้องการตอบแทนข้าแล้วไซร้ ขอให้รักษาคำสัญญาที่ท่านมีให้แก่ดาบก็พอ”

    ชายหนุ่มจึงยิ้ม แล้วจึงกระตุ้นม้าทั้งสองตัวให้ออกเดินทางกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่จากมา...




    [b].............................................[/b]




    จากคุณ : ซีเรีย - [ 11 พ.ย. 46 09:38:14 A:211.94.182.3 X: ]