ขี้มูกมานะ
เรื่องในวัยเด็กมีมากมายที่ผมอยากจะร้อยเรียง ช่วงที่เข้าโรงเรียนใหม่ๆเมื่อมาอยู่เมืองแพร่ ผมเกลียดการต้องไปโรงเรียนมากที่สุด ผมต้องทำตัวเอ้อระเหยรอยชายให้มากเข้าไว้ช่วงก่อนแปดโมงเช้า เพื่อจะได้ฆ่าเวลาให้เลยเวลาเริ่มเรียน แล้วก็จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนในที่สุด ความพยายามของผมทำให้พี่สาวหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับความเกเรของผม ทำยังไงได้ละครับ อยู่ที่บ้านเล่นคนเดียวสนุกกว่าไหนๆ แล้วก็ได้พูดอวดพวกลูกพี่ลูกน้องรุ่นเล็กกว่าว่า วันนี้เราไม่ได้ไปโรงเรียนอยู่เล่นที่บ้านทั้งวัน
ถ้าวันไหนผมประพฤติตัวเกเรสำเร็จ ซึ่งนานๆถึงจะทำได้สักครั้ง กิจวัตรช่วงเช้าก็คือการนั่งทาสีแป๊บน้ำ มีสีที่เหลือจากกิจกรรมอะไรผมก็ไม่ทราบได้วางทิ้งเอาไว้ข้างตัวบ้านเป็นสีแดงเลือดหมู ผมจะนั่งยองๆถือแปรงทาสีที่ทิ้งอยู่ติดกระป๋องสีด้วยมือข้างที่ถนัด จินตนาการถึงแป๊บยาวๆที่เปรอะไปด้วยสีที่ผมบรรจงทาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผมทาได้แค่เกือบฟุตเท่านั้นเอง คิดถึงปริมาณสีที่ทาเยอะเกินไปในบางจุด ซึ่งไหลลงสู่พื้นหินเป็นรายทาง ช่วงกิจกรรมทาสีนี้ผมจะใช้เวลาไม่มาก เพราะรู้ตัวว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กลัวผู้ใหญ่มาเห็นเข้าแล้วจะถูกทำโทษ แล้วศิลปะที่ผมบรรจงทำขึ้นจะด้อยค่าลงไปทันที
หลังจากนั้น ก็จะเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์ กินข้าวกับคุณแม่ซึ่งพึ่งจะกลับจากตลาดจากการขาย หมูย่าง ไก่ย่างเสร็จ พร้อมรถเข็นที่ใช้เลี้ยงดูผมจนจบมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยในปัจจุบัน ซึ่งทุกวันนี้ รถเข็นเป็นปูชนียวัตถุอันทรงคุณค่าทางจิตใจประจำบ้านของคุณแม่และเราทุกคน
ดูเหมือนเราจะห่างเหินกับคุณไป เพราะเข้ามาทำงานในเมืองหลวงกันแทบทั้งหมด มีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมเยียนให้อบอุ่นอีกครั้ง
หลังจากนั้นคุณแม่ก็จะนอนหลับ เพราะอ่อนเพลียจากการที่ต้องตื่นตีสามเตรียมตัวและเตรียมไก่หมูที่จะขาย กิจกรรมของผมต่อจากนี้ คือการเล่นหินดินทรายแถวหน้าประตูบ้านที่ปิดล็อคเอาไว้ไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามา ไม่ก็นำสติกเกอร์ที่สะสมไว้มานั่งนับ แล้วถ้ามีรูปที่ซ้ำก็จะเอาไปแปะตามโต๊ะที่ใช้วางโทรทัศน์ให้เรียงรายไปด้วยซุปเปอร์ฮีโร่ที่ผมชอบ
ตกบ่ายหลังจากทานข้าวเสร็จก็จะเข้าไปห้องนอนกับคุณแม่ นอนเล่นพักสมอง ถ้าเกิดไม่หลับก็จะเป็นเพราะตัวการ์ตูนในจินตนาการมาแวะเยี่ยมให้ร่าเริงจนหลับไม่ลง สนุกกับการต้อนรับขับสู้ของผู้มาเยือนที่เราโปรดปรานแบบธรรมเนียมไทย เป็นคุณก็ยากใช่มั้ยหละที่จะไม่แยแสเค้าซะเลย
แล้วเมื่อเวลาใกล้โรงเรียนเลิกเรียน ผมก็จะนั่งใจจดใจจ่อข้างๆคุณแม่ที่นั่งเสียบหมู คอยลูกพี่ลูกน้องรุ่นเล็ก กลับจากโรงเรียนมาสมทบเพื่อหาอะไรเล่นอีกครั้ง
นี่แหละครับ กิจกรรมยามที่เราเกเรไม่ต้องไปโรงเรียน ช่างมีคุณค่าน่าดูชมทีเดียว
ส่วนวันที่ต้องไปโรงเรียนนะหรือครับ ผมอดไม่ไหวที่จะต้องภาวนาให้ถึงวันหยุดเร็วๆ
และก็อดไม่ไหวที่จะเกลียดวันจันทร์ เพราะจะต้องรออีกตั้งสี่วัน ถึงจะเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์
แล้วอีกอดที่ไม่ไหวก็คือ เมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์สักที เอาเป็นว่าการไปโรงเรียนของผม มันช่างทรมาทรกรรมเหมือนกินยาขมตราน้ำเต้าทองตอนร้อนในเสียเหลือเกิน เพราะผมไม่ใช่เจ้าเด็กที่ช่างพูด ชอบเก็บตัว นั่งเงียบๆดูคนอื่นเล่นกันและจดจำการกระทำที่ตลกซะไม่มีของคนที่เล่นอยู่ ก็ไม่เลวซะทีเดียว อย่างน้อยผมก็ยังแลเหลียวสังคมอยู่บ้างนะ
ตอนประถมหนึ่ง ความเกลียดโรงเรียนของผมทวีลดน้อยลงไปบ้างแล้ว ผมเข้ากับคนอื่นๆได้แล้วแต่ที่สนิทสนมมีแค่คนหรือสองคน การเล่นตามประสาเด็กมีอยู่มากมาย การวิ่งเล่นหน้าชั้นเรียนก็เป็นอีกชิ้นที่อยู่ในความโปรดปรานรวมทั้งผมด้วย
วันหนึ่งเป็นวันที่ท้องฟ้าปกติดี ไม่มีเมฆฝน ไม่มีลมหนาว มีแสงแดดส่องเพราะเป็นตอนกลางวัน ผมและเพื่อนวิ่งเล่นไล่จับกัน ซึ่งมีกติกา กรรมวิธีในการเล่นธรรมดาหรือซับซ้อนอย่างไร ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ที่แน่นอนคือ ผมเป็นคนเริ่มต้นการเล่นในช่วงพักเที่ยงนี้ และที่น่าภูมิใจคือ การเล่นนี้ขยายเป็นวงกว้างออกไปทั่วทั้งพื้นที่หน้าชั้นเรียนประถมหนึ่งทั้งห้าห้อง คนที่จะเข้าร่วมเล่นด้วยก็มีมารยาทที่ดีมากๆ ก็คือถ้าไปถามใครที่เล่นอยู่ก่อน เค้าก็จะแนะนำให้มาขออนุญาตผมก่อน เพราะผมเป็นคนริเริ่มการเล่นในครั้งนี้นั่นไง เหมือนผมไปจดเป็นลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย จะทำอะไรเกี่ยวกับการเล่นไล่จับนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผมเท่านั้นนะ ผมรู้สึกงงงวยกับการได้รับเกียรติเป็นผู้ตัดสินใจคัดเลือกว่าใครจะเล่นได้หรือไม่เมื่อมีคนมาถาม
เราขอเล่นด้วยคนซิ คนถามวิ่งเข้ามาใกล้ท่าทางอยากเล่นเสียเหลือเกิน พร้อมรอคำตอบว่า
ได้ซิ ผมตอบไปโดยไม่ต้องคิด
คำตอบของผมไม่ได้มีเพียง ได้ซิ เพียงคำเดียว สำหรับคนที่หน้าตามอมแมมขี้มูกแข็งเกรอะออกสีเหลืองเหมือนเทียนไขอย่างมานะ จมูกเหลือเพียงรูให้อากาศเข้าออกได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง ผมเดาเอาว่า เค้าต้องใช้ความสามารถอย่างมากที่ต้องหายใจทางปากร่วมด้วยในระหว่างหายใจทางจมูกที่เค้าเกือบจะไม่ได้ใช้มันหายใจ
ขอเล่นด้วยคนซิ มานะวิ่งมาหาผม ตามคำแนะนำของคนที่เล่นอยู่ก่อน
ผมพิจารณาหน้าตาของมานะอันเลอะเทอะ ดูรูจมูกที่ดูเหมือนจะถูกใช้งานมาอย่างหนักและไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ทำความสะอาดจากเจ้าของเอาซะเลย
นายต้องไปแคะขี้มูกแข็งๆของนายออกให้หมดซะก่อน ไม่งั้นเราไม่ให้เล่นหรอก ผมแสดงความปรารถนาดี เพราะมีความคิดที่ว่า ผมน่าจะช่วยให้จมูกของเค้ากลับมาใช้งานได้ดีอีกครั้ง และที่สำคัญ ผมกลัวเค้าจะขาดอากาศหายใจตายซะก่อน ระหว่างที่วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ
เราทำอย่างนั้นไม่ได้ แคะแล้วมันจะเจ็บมากนะ ขอเล่นด้วยคนซิ มานะใช้ความพยายามพูดให้ผมเข้าใจ และยืนกรานว่า รูจมูกที่ใช้หายใจเพียงน้อยนิดของเค้าไม่เป็นอุปสรรค์ในการเล่นครั้งนี้เลย
ไม่ได้นายต้องไปแคะออกให้หมดนะ ไม่งั้นเราไม่ให้เล่นเด็ดขาด ผมพูดออกไปโดยไม่ได้พยายามสาธยายให้เค้าเข้าใจถึงเหตุผลที่ผมอยากให้เค้าทำอย่างนั้น ผมคิดว่าจนวันนี้มานะเองก็คงจะยังไม่เข้าใจว่า ทำไม ผมถึงได้ใจร้ายกับเค้า กับเรื่องขี้มูกเกรอะเท่านั้นเอง
คุณคงอยากทราบแล้วว่า แล้วเป็นไงต่อหละ
ครับ...หลังจากนั้น จากที่ผมยื่นคำขาด และมานะก็ขอว่าอยากเล่น เราคุยโต้ตอบกันอีกเพียงไม่กี่นาที
ระฆัง เก๊ง..เก๊ง บ่งบอกถึงการให้เข้าเรียนช่วงบ่ายก็ดังขึ้น เราต่างเดินเข้าห้องเรียน นั่งประจำที่ แล้วผมก็ลืมการเล่นในวันนั้นไปซะสนิท ไม่มีการวิ่งเล่นโดยมีผมเป็นคนเริ่มต้นอีกเลย แต่ความภูมิใจเรื่องนี้ทำให้ผมเก็บมันใส่กล่องจิตใต้สำนึก แล้วผมก็รื้อค้น หยิบฉวยมันออกมา ทำให้จำได้ถึง เพื่อน...
มานะ ตอนนี้อยู่ดีมีสุข ชีวิตนายเป็นอย่างไร ทำงานหนัก ทำงานน้อย อ้วนท้วนสมบูรณ์ใช่มั้ย เพราะขี้มูกสีเทียนไข ทำให้เราจำนาย มานะ ได้
ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เมื่อโอกาสให้มาเจอกันอีกครั้ง
อย่าไร้ชีวิตชีวา เพราะขี้มูกเกรอะจมูกหละ เพื่อนเอย.
จากคุณ :
welkins
- [
11 พ.ย. 46 22:56:29
A:203.113.37.10 X:
]