ฤดูกาลดอกรักบาน

    ฤดูกาลดอกรักบาน(บทที่ 1)

    ไอดินฟุ้งเมื่อพระพิรุณโปรยสายลงมา
    ท้องทุ่งสีเขียวชูช่อโอนเอนพริ้วไหวตามแรงลม
    ราวเริงระบำอย่างสดชื่น
    ต่างกับร่างบางงองุ้มเนื้อตัวหนาวสั่นเปียกชุ่ม
    ที่จูงจักรยานคันเก่ามาตามถนนสายเล็ก

    ‘บ้าจริง! เนี่ยน้าใครบอกไม่เชื่อ
    ยังดันทุรังมา เป็นไง เป็นไง
    โซ่ตกแถมเจอฝนตกกลางทางซะอีก โอ้ย….’  
    ความคิดหยุดกึกพร้อมจักรยานคันเก่าล้มเค้งเก้งกลางถนน
    เพราะแรงผลักของคนจูง

    หญิงสาวก้มหน้ามองมือดำเป็นปื้น
    จากน้ำมันที่หล่อโซ่เส้นใหญ่เอาไว้
    ทรุดตัวลงตัดสินใจลองพยายามใส่มันให้เข้าซี่อีกครั้ง


    ฝนที่ตกลงมาทำให้สภาพภูมิอากาศนอกรถพร่าเลือน
    ร่างลางเลือนท่ามกลางฝนเม็ดใหญ่ที่เริ่มหนัก
    ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเหยียบเบรกแทบมิด
    ถนนลื่นและดอกยางคงสึกมากทำให้ได้ยินเสียงกันชนหน้ารถ
    กระทบกับอะไรบางอย่างกลางถนน
    และเงียบเสียงลงเมื่อรถกระบะคันเก่าหยุดอยู่กับที่

    เขาเปิดประตูออกไป เห็นจักรยานคันเก่านอนนิ่งหน้ารถ
    อีกฟากของหน้ารถมีหญิงสาวร่างบางยืนกอดอก
    มองซากรถหน้าซีด    

    “เป็นไงบ้าง”  เขาเอ่ยปากถาม
    เดินอ้อมหน้ารถเข้าไปหา สังเกตแข้งขาเนื้อตัว
    เจ้าหล่อนยืนอยู่ได้คงไม่บาดเจ็บ
    เสียงถอนหายใจตามมาเมื่อไม่มีอุบัติเหตุอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น


    กุลวราส่ายหน้า ปากเริ่มชาเพราะความหนาว
    ใช้หลังมือที่ไม่เปื้อนคราบน้ำมันปัดน้ำจากหน้าและผมที่เปียกลีบ
    นึกขอบคุณคุณพระคุณเจ้า เจ้าป่าเจ้าเขาที่ส่งคนมาช่วยเธอในตอนนี้

    เปรี้ยง! เสียงฟ้าร้องทำให้เธอต้องลงไปนั่ง
    ซุกหน้ากับเข่าของตัวเองข้างรถกระบะของคนตรงหน้า
    เธอไม่กลัวหรอกนะกับฟ้าร้องน่ะ แต่ในยามนี้อยู่กลางถนนเรียบโล่ง
    ไม่มีไม้ใหญ่อย่างนี้ มันก็น่าเกรงไม่ใช่น้อยล่ะนะ

    เสียงฟ้าร้องเงียบไปแล้ว
    หญิงสาวเงยหน้ามองคนที่เข้าไปก้ม ๆ เงย ๆ มองซากรถคันเก่าของเธอ
    เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ ผิวคล้ำ
    ตาดำคมมีแวววูบไหวแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
    เมื่อหันกลับมามองเธอ ผู้ชายอะไรตาสวย!…

    “คอมันเบี้ยว แถมโซ่ตกอีกต่างหาก”  
    ชายหนุ่มยกแฮนด์จักรยานขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวอย่างง่าย ๆ
    ชี้ให้เจ้าของดูสภาพรถของตัวเอง

    “ขอบคุณค่ะ”  
    เสียงยินดีปรีดาดังขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มก้ม ๆ จับ ๆ
    ลองปันที่ถีบอยู่ครู่โซ่ที่ตกก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

    “ส่วนคอนั่น…มันคงเบี้ยวตั้งแต่ฉันผลักมันลงไปกองกับถนนแล้วล่ะ”  
    ท้ายประโยคแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มกว้างจากเจ้าของรถ
    ที่แหงนมองคนซ่อมจนคอตั้งบ่า

    ชายหนุ่มลืมตัวจ้องมองรอยยิ้มนั้นอย่างหลงไหล
    เผลอยิ้มตอบไป หน้าคล้ำเข้มกระจ่างขึ้นเมื่อรอยยิ้มปรากฏ
    ร่างบางลุกยืน ห่อตัวกอดอกเพราะความเย็นฉ่ำของสายฝน
    ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ
    ลองตกแบบนี้คงทั้งคืนจนย่ำรุ่งโน้นล่ะถึงจะหยุด
    ฟ้าอุ้มน้ำขนาดนี้ เขามองฟ้าแล้วมองหล่อนอีกครั้ง
    หน้าตาท่าทางไม่คุ้นเคยเลย ไม่รู้มาจากไหน…

    “ถ้าไม่รบกวนขอติดรถไปลงหน้า ตม.ได้มั้ยค่ะ”  
    กุลวราเอ่ยปากร้องขอ หน้าขาวซีดตัวเริ่มสั่น ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นมาอีกครั้ง

    เขาพยักหน้ารับยกจักรยานขึ้นไปไว้ท้ายรถกระบะเก่าคร่ำสีเหลือง
    ก้าวมาประชิดตัวเปิดประตูข้างคนขับให้เธอ
    กุลวราส่ายหน้าชี้มือไปที่ท้ายกระบะ
    บอกให้เขารู้ว่าเธอจะไปนั่งท้ายกระบะพร้อมรถจักรยาน
    ที่นอนแอ้งแม้งอยู่แล้ว

    เธอปาดน้ำออกจากหน้าเมื่อเขาแตะไหล่เธอเบา ๆ
    ดันให้เข้าไปนั่งยังตอนหน้า  

    “นั่งข้างหน้าเถอะ อีกตั้งสองโลกว่าจะถึง โดนฝนมากไม่สบายกันพอดี”  
    พูดจบประตูรถก็ปิดไม่ทันให้เธอได้ปฏิเสธใด ๆ ทั้งสิ้น

    กุลวรามองคนตัวสูงใหญ่วิ่งกลับมาอีกด้าน
    เขายกมือลูบเม็ดฝนออกจากหน้าที่เปียกชุ่ม
    หรี่แอร์ให้เบาลง อากาศภายในรถดูอุ่นขึ้น
    แต่ก็ยังเย็นด้วยเครื่องปรับอากาศจนต้องห่อไหล่ซุกตัวกับเบาะ
    พิงประตูด้านข้างเอาไว้ เธอเห็นเขาสตาร์ทรถออกตัวไปช้า ๆ
    อย่างระมัดระวัง

    น่าแปลกภายนอกรถดูเก๊าเก่าแต่ทำไมข้างในสภาพยังดีขนาดนี้
    นี่เจ้าของคงดูแลรักษาอย่างดีละนะหญิงสาวกวาดตามองรอบ ๆ
    มองเสี้ยวหน้าคล้ำคม จมูกโด่งเป็นสัน
    นึกแปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่า
    รู้สึกไว้วางใจคนแปลกหน้าอย่างเขาได้อย่างไร
    ทั้งที่สังคมสมัยนี้น่ากลัวจะตาย ข่าวฆ่าฉกชิงวิ่งราวลักทรัพย์
    จนถึงข่มขืนมีให้เห็นดาดดื่นถึงที่นี่จะเป็นแค่อำเภอเล็ก ๆ
    ที่คนอย่างเธอจะต้องมาอยู่มาใช้ชีวิตและไม่รู้นานเท่าไหร่
    ที่เธอจะโดนย้ายไปที่อื่นก็เถอะ

    “คุณมาทำอะไรที่นี่”  
    จู่ ๆ คนขับก็ถามขึ้นหลังจากที่เงียบตั้งหน้าตั้งตาขับรถมาพักใหญ่

    “หา…เออ มาทำงาน”  กุลวราบอกตามความจริง

    เขานิ่วหน้าคิ้วขมวดแทนจะติดกัน
    “ทำงาน! ปั่นจักรยานมาทำงานอะไรตอนบ่ายแก่ ๆ อย่างนี้?”  

    คนงงกลับเป็นกุลวราเอง เธอยิ้มกับความเข้าใจผิดของเขาหรือเธอก็ไม่รู้ล่ะ น้ำเสียงที่ตอบออกไปเลยเจือไปด้วยความขบขัน

    “วันนี้ไม่ได้ทำงานแต่มาขี่จักรยานเล่นต่างหาก
    ตอนแรกนึกว่าถามว่าฉันมาทำอะไรที่อำเภอนี้ซะอีก”

    “เปล่า…แต่วันนี้ไม่น่าออกมาเลยนะ
    ฟ้าครึ้มมาตั้งแต่เช้าแล้ว ถนนก็โล่ง ทุ่งนาก็โล่งเกิดฟ้าผ่าลงมาจะแย่”
    เขาเอ่ยเรียบ ๆ ไม่ได้ติเตียนแต่ทำเอาคนฟังหน้าหงอ

    แหง๋ล่ะ! กุลวรายอมรับ
    ทั้งพี่สุพี่ที่พักอยู่บ้านเดียวกันทั้งลุงอินคนงานก็เตือน
    แต่ความอยากรู้อยากเห็นอยากสำรวจมันมีมากกว่านี่
    ทำไงได้ เธอเพิ่งมาอยู่ได้สองวันแต่ไม่เคยมาทางนี้เลย
    เหลืออีกสองวันก็จะต้องทำงานแล้ว
    ตอนออกมาเห็นฟ้ายังไม่มืดซะหน่อยแล้วความจริงปั่นมาแค่นี้
    ถ้าโซ่ไม่หลุดป่านนี้ก็ถึงบ้านพักแล้วล่ะ

    “ผมไม่ได้ว่าคุณนะ แค่เป็นห่วง”
    เขาเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นเธอเงียบไป

    “ขอบคุณค่ะ”  หล่อนตอบเขาเสียงเบาเช่นกัน


    ฝนเม็ดเล็กลงแล้วเมื่อรถเข้าเขตที่อยู่อาศัย
    เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดหลังอาคารปูนหลังยาว
    บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงใช้ใต้ถุนให้เป็นโรงเก็บรถ
    ปลูกเรียงรายอยู่เกือบสิบกว่าหลัง
    ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปยกจักรยานคันเก่าลงจากกระบะหลังรถ

    กุลวรารีบเดินเข้าไปรับ เขาส่งให้โดยดี
    เธอขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วจูงจักรยานตรงไปบ้านหลังที่อยู่เกือบชิดรั้วหลังอาคารที่ทำการของด่านตรวจคนเข้าเมือง

    เธอหันไปมองอีกทีรถกระบะคันเก่าก็หายไปพร้อมเจ้าของซะแล้ว

    ++++++++++++++++++++

    แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 46 13:59:57

    แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 46 12:57:51

    จากคุณ : ฺBeetRoot - [ 13 พ.ย. 46 21:59:38 ]