*~*สุรางค์เเห่งศิลา*~* (ตอนที่๓)

    บทนำเเละตอนที่๑

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2499541/W2499541.html

    ตอนที่๒
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2522286/W2522286.html

    ***

    ตอนที่๓.

    พระพายรำเพยพริ้วแผ่ว…พัดช่อเเก้วกังสดาลที่เเขวนเรียงรายใต้เชิงชายกระเบื้องเคลือบทอง… ดังก้องกังวาลหวานเเว่ว…ทั่วทั้งทางเสด็จบนระเบียงไม้ ซึ่งลัดเลาะไปตามมุมห้องหับรโหฐานน้อยใหญ่

    …บรรดาสาวสรรกำนัลในต่างก้มเกล้าหมอบกราน..ยามที่องค์เยาวมาลย์ยุรยาตรย่างผ่านพื้นลาดพระบาทพรมเเดง..

    “พระธิดาเพคะ…”

    เสียงทูลท้วงเบา ๆ จากรตี นางกำนัลคนสนิทที่ตามเสด็จ
    ไล่หลังมา เมื่อเห็นว่าพระราชธิดากำลังเสด็จไปยังห้องทรงพระอักษรอย่างที่ทรงคุ้นชิน ทำให้วรองค์เเบบบางชะงักบาทครู่หนึ่ง

    “ท่านคุรุยัชญะวราหะ..กำลังรอพระองค์อยู่ที่ตำหนักริมบึงบัวเพคะ..”

    ราชนรีชาณวีร์เเย้มสรวลน้อย ๆ เมื่อทรงหวนระลึกถึงคราที่เสด็จหนีออกมาพายเรือเล่นน้ำในสระบัวบาน..กับพระสหายสนิทซึ่งมีนามว่าวัชระ..

    ซึ่งบัดนี้ดรุณน้อยในครั้งนั้น ได้กลายมาเป็นพราหมณ์
    ยัชญะวราหะผู้ทรงวุฒิ

    ..ราชคุรุเเห่งอิศวรปุระ..

     องค์อรทอดสายเนตรไปยังตำหนักงามริมสระบัวบาน
    ..ลิบ ๆ ไกลออกไปนั่น ทรงเห็นเพียงด้านหลังของบุรุษหนึ่งในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ กำลังคอยอยู่อย่างสงบบนตั่งไม้ตัวยาว

    เคียงข้างด้วยกุมารน้อยผิวคร้ามคล้ำจัดซึ่งนั่งพับเพียบอยู่ด้านล่าง โดยมีย่ามไหมใบย่อมวางอยู่ใกล้ตัว

    ..พราหมณ์หนุ่มนั่น..จักเป็นผู้ใดอื่นมิได้..นอกจาก
    ยัชญะวราหะพราหมณ์..


    หทัยของพระองค์ยิ่งเต้นระรัวด้วยความปรีดา..เมื่อทรงสาวพระบาทเสด็จใกล้บึงบัว

    ..ที่นั่นอดีตพระสหายสนิทซึ่งจากกันไปเนิ่นนานกว่าสิบปีกำลังรอคอยอยู่…ทว่าครานี้..มาในฐานะราชคุรุ ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระองค์..มิใช่ยุวพรามณ์น้อยดังเมื่อครั้งนั้นอีกเเล้ว..

    “ข้าใคร่จักพบหน้าเจ้านัก…วัชระ..”

    ๒๒๒๒๒

    “ท่านคุรุ..นานนักเเล้ว ไยพระธิดายังมิได้เสด็จมาอีกเล่า”

    ดรุณน้อยนัยน์ตากลมใสมองไปรอบตัวอย่างระวัง.. ก่อนที่จักกระซิบเอ่ยถามตรงข้างหูของผู้เป็นอาจารย์

    “สักประเดี๋ยวก็คงจักเสด็จมา..เชื่อข้าเถิด..ติสสะ”

    คุรุพราหมณ์หนุ่มลูบเกล้าจุกของศิตย์น้อยเบา ๆ อย่างเอ็นดูยิ่ง

    ..พลางทอดสายตากวาดไปทั่วตำหนักน้อยที่สรรสร้างด้วยไม้อันบรรจงสลักเสลาเป็นเครื่องเถาบุปผาอย่างปราณีต บานบัญชรกว้างกั้นเพียงม่านไหมขาวโปร่งบางที่พริ้วไหวไปตามเเรงลมรำเพยพัด

    ..เผยให้เห็นสระใสด้านนอก.เต็มไปเหล่ามัจฉาเเหวกว่าย เเละบรรดาบัวบานหลากสีสัน เเย้มกลีบส่งกลิ่นหอมกำจายอยู่บนใบกลมขอบหยักเขียวสดลอยระเรี่ยน้ำ ประดับผิวท้องธารยามต้องประกายเเดดระยิบระยับให้งามยิ่งขึ้น

    ..ครั้งหนึ่งสระน้อยนี้..เคยเป็นที่โปรดปรานของพระราชธิดาชาณวีร์เมื่อครั้งยังทรงเยาว์..มิรู้ว่าเพลานี้จักยังทรงโปรดเหมือนดังเดิมหรือไร..

    เเล้วอดีตพระสหายที่ทรงเคยคุ้น..ป่านนี้จักทรงหลงลืมไปเเล้ว..ฤาไม่..


    เมื่อเสียงกำไลทองข้อบาทดังขึ้นจากทวาราด้านหน้าของตำหนักน้อย

    …วัชระพราหมณ์จึงค่อย ๆ ผินหน้าไปทางตามต้นเสียง คือวรองค์อรชรทรงอาภรณ์สีกุหลาบอ่อนซึ่งกำลังประทับลงบนตั่งไม้อีกตัวหนึ่งซึ่งอยู่มิไกลกัน ..วงพักตร์งาม
    ละมุนเเย้มสรวลบาง ก่อนที่จักตรัสความอันใดต่อไป

    “วัชระ..”

    สุรเสียงตรัสด้วยวามยินดี พลันชะงักเมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่า..พราหมณ์น้อยเบื้องพักตร์ บัดนี้เป็นถึงราชคุรุเเห่งอิศวรปุระหาได้เป็นเพียงพระสหายสนิทเหมือนดังเเต่ก่อนไม่

    “ ยัชญวราหะพราหมณ์ มิได้พบท่านมานานนัก..เป็นอย่างไรบ้างเล่า”

    “ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย..ข้าสบายดี”

    ดวงหน้ารูปเรียวพยักลงน้อยๆเพื่อเป็นการตอบรับ..พลางคลี่ริมฝีปากบางเเย้มเย็น  นัยน์ตาคู่คมใต้สันคิ้วดกเข้ม ทอดไปยังพระพักตร์เเห่งองค์ขัตติยนรีน้อย
    ..ที่ปรากฏสีชาดอ่อนระเรื่อบนพวงปรางอันงามนั้น

    ..เเล้วพลันสายเนตรทั้งสองจึ่งได้..สบกัน..

    เพียงชั่วอึดใจ.. ราชธิดาชาณวีร์จึงเบือนพระพักตร์หนีไปอีกทางหนึ่ง..เพื่อกลบเกลื่อนความร่องรอยของประหม่าอายบนวงพักตร์ เเล้วดวงเนตรสวยก็เร้นหลบลงต่ำ

    “ข้ามีของกำนัลมาถวายพระองค์ตามสัญญา..”

    พราหมณ์หนุ่มละสายตาจากนวลพักตร์ละมุน ไปยังข้างในย่ามไหมขาว..ก่อนที่จักหยิบเอาของกำนัลที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีเเดงสดทั้งสองห่อ นำมาวางลงบนพานตรงหน้าเตรียมถวาย

    เมื่อของผ้าสีสดถูกคลี่เเกะออก..ของกำนัลชิ้นเเรก คือสายสร้อยลูกปัดสีฟ้าอมเขียวใสสว่างราวกับผิวครามของน้ำทะเล เรียงร้อยอยู่บนเส้นไหมถักอย่างปราณีต

    “งามนัก…”

    ราชธิดาชาณวีร์ตรัสชมพลางทาบสายสร้อยลงบนพระกร..พระฉวีนวลงามปานงายิ่งขับให้ลูกปัดสีครามโดดเด่นยิ่งขึ้น

    “แล้วอีกชิ้นเล่า..”

    นางกำนัลน้อยค่อยๆเเก้มัดห่อผ้าสีเเดงอีกห่อหนึ่ง..เมื่อคลี่ออกดูจึ่งเผยให้เห็นมีดสั้นในปลอกเงินประดับด้วยหินสีหลากชนิดบนเส้นทองที่ขดเป็นรูปกลีบบัวเเย้มเป็นลายเครือเถาบุปผามาลา

    “ไยท่านคุรุจึ่งถวายของเช่นนี้เเด่พระธิดา..”

    นางกำนัลรตีเอ่ยถามขึ้นอย่างมิใคร่จักพอใจนัก .. ทันทีที่หัตถ์น้อยของพระราชธิดาดึงปลอกตรงกลางออกจากกัน..ปรากฏเป็นมีดสั้นคมวับวาวอยู่ด้านใน

    “อันกุหลาบงาม..ย่อมจักต้องเลี้ยงหนาม ไว้เพื่อป้องกันตัวเองบ้าง..”

    เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยตอบเรียบ ๆ อย่างมิได้ใส่ใจต่อความขุ่นเคืองของสตรีผู้ถาม

    “เเต่..ท่านก็มิควร….”

    คำเอ่ยท้วงของรตีพลันต้องชะงักเมื่อสุรเสียงหวานละมุนตรัสขัดขึ้น

    “ช่างเถิด..ท่านคุรุ..ข้าชอบของกำนัลของท่านทั้งสองชิ้น..ขอบใจท่านมาก”

    ผู้ตรัสยังคงทอดสายเนตรอย่างสนพระทัยในของกำนัลที่อยู่เบื้องพระพักตร์..พลางเเย้มสรวลอย่างยินดี

    “เเล้วกุมารนั่นเล่า..ศิตย์ของท่านหรือ”

    “ถูกต้องเเล้ว..ดรุณน้อยนี้มีนามว่าติสสะ..เป็นศิตย์คนเเรกของข้า..”

    กุมารน้อยผิวคล้ำยิ้มจนเห็นฟันขาวอย่างไร้เดียงสา ..ดวงตากลมใสจ้องจับไปยังนวลพักตร์งามอย่างชื่นชม


    “หัดสำรวมเสียบ้าง..ติสสะ”

    คุรุพราหมณ์หนุ่มเอ่ยปรามศิตย์น้อยเบาๆ ทำให้ใบหน้ากลมเเป้นที่เเย้มยิ้มอย่างเบิกบานอยู่เมื่อครู่ถึงกับเจื่อนลงไปเล็กน้อย

    “มิเป็นไร..ข้ามิถือสา”

    เยาวเรศน้อยตรัสพลางสรวลระรี่ เมื่อทอดพระเนตรดวงหน้าของติสสะศิตย์น้อยของราชคุรุที่พลันสงบสำรวมโดยไวทันทีที่ถูกผู้เป็นอาจาจารย์เอ่ยดุ

    “ติสสะ..”

    ราชธิดากวักหัตถ์เรียกกุมารน้อยที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นให้ เข้ามาหาพระองค์.. เมื่อดรุณน้อยทรุดนั่งลงเเทบเบื้องบาทจึงทรงประทานมาลัยมะลิร้อยพวงน้อย สวมครอบลงบนรัดเกล้าจุกอย่างเอ็นดูยิ่ง

    “ขอบพระทัย..พระเจ้าข้า”
    ติสสะกุมารก้มกราบลงจรดพระบาทเรียวนุ่ม ดวงตากลมเป็นประกายด้วยความปิติ ก่อนที่จักกระถดกายคลานเข่าไปนั่งยังที่เดิมของตนข้างคุรุ

    “ไยท่านคุรุจึ่งมิไปรอข้าที่ห้องเรียนเล่า..”

    “ทรงจำได้หรือไม่ว่า..เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ยังเคยตรัสบ่นกับข้าว่า ห้องทรงพระอักษรเล็กเเคบ อับทึบ น่าหน่ายยิ่งนัก..ไหนเลยจักสู้สระบัวบานนี้ได้”

    คำทูลตอบของราชคุรุ ทำให้พระธิดาคลี่รอยสรวลอย่างประหม่า

    ..เมื่อครั้งทรงระลึกถึงคำตรัสบ่นในวัยเยาว์..ยามที่ทรงเสด็จหนีมาพายเรือเที่ยวสระบัวกับอดีตพระสหายสนิท..วัชระ ซึ่งยามนี้ก็คือราชคุรุพราหมณ์หนุ่มที่นั่งอยู่
    เบื้องพระพักตร์

    “ข้าจึ่งดำริว่า..หากถวายคำสอนพระธิดาในห้องทรงพระอักษรเเล้ว..อาจจักทำให้ทรงเบื่อหน่ายจนถึงกับ เเอบเสด็จหนีไปพายเรือในสระบัวอย่างคราวนั้น ก็เป็นได้

    ..มิทราบว่าจักทรงอนุญาตหรือไม่หากข้าจักใช้ตำหนักน้อยนี้ เเทนห้องเรียนของพระองค์..”


    องค์ขัตติยนารีพยักพักตร์ยอมรับ..ในดำริของพระอาจารย์

    “เเล้วจักทรงประสงค์ ให้ข้ามาถวายการสอนเมื่อใด..”

    “หากท่านมิขัดข้อง ก็เริ่มตั้งเเต่พรุ่งนี้เถิด..ท่านยัชญะวราหะพราหมณ์”

    ราชคุรุเเห่งอิศวรปุระก้มเกล้ารับพระบัญชาอย่างสง่างาม..เฉกพราหมณ์ผู้ทรงภูมิ

    “พระเจ้าข้า..”

    ๓๓๓๓๓๓๓๓๓

    มีต่อๆๆ

     
     

    จากคุณ : อชันฏา - [ 14 พ.ย. 46 07:49:01 ]