เศวตวรรณะ
เนื้อเรื่อง
ในภารตวรรตยังมีนครอันกระเดื่องนามรุ่งโรจน์ด้วยมหาอำนาจยากที่จะมีนครใดเทียบได้ นครนั้นคือ รุจีรัตนะปุระนคร ไพร่ฟ้าร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เศวตวรรณะ เหตุที่ทรงพระนามดั่งนี้ เป็นเพราะทรงมีพระฉวีขาวผ่องดังหิมะ และรูปงามปานพระมันมถะ(พระกามเทพ)อวตารลงมาอีกครั้งแท้เทียว
..
แม้จะรูปงามราวพระมกรเกตุ(ผู้ถือธงมังกรแดง= พระกามเทพ)
มั่งมีโภคทรัพย์ไม่แพ้ท้าวกุเวร
มีน้ำพระทัยแผ่ไพศาลดังมหาสาครเป็นที่รักใคร่เทิดทูนบูชาของประชาราษฏ์นัก แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังไม่มีพระมเหสีคู่บารมี
นับตั้งแต่ครองราชย์มาร่วม20ปีพระองค์ก็มิเคยชายตาแลสตรีใดเลยในแผ่นดิน..แต่ทรงสนิทเสน่หาในพระนัดดานัก..ถึงกับยกให้เป็นพระอุปราชรับผิดชอบงานแผ่นดินทั้งปวง และสนองพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด บางครั้งถึงกับให้อยู่งานบนพระแท่นในยามวิกาลเลยทีเดียว
พระราชนัดดาองค์นี้พระนามว่าเวนไตย=พญาครุฑ เหตุที่ได้พระนามว่าเวนไตยเพราะว่า เมื่อครั้งที่เข้าฝากตัวต่อพระมาตุลานั้น เศวตวรรณะเห็นว่าหลานคนนี้มีรูปร่างสง่า แลมีกิริยาอันแคล่วคล่องโฉบเฉี่ยวดังพญาวิหค จึงเปลี่ยนชื่อพระกุมารจากเดิมวิหคกุมารให้เป็นเวนไตยนับแต่บัดนั้น
( พระยุพราชเวนไตยเป็นญาติทางฝ่ายมารดาของเศวตวรรณะ..ส่วนพระเจ้ากีจกะผู้ซึ่งครองราชย์ในสมัยที่เวนไตยยังเป็นเด็ก และเศวตวรรณะยังเป็นอุปราชนั้นมีแม่คนละคนกับเศวตวรรณะ)
วันหนึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์อุปราช..พระยุพราชหนุ่มจึงออกไปเที่ยวป่าล่าสัตว์ตามประสาชายหนุ่ม กับเหล่าบริวาร แต่แล้วก็ทรงพลัดหลงกับเหล่าบริวารในป่า
ขณะที่ควบม้าเหยาะๆเพื่อค้นหาเหล่าบริวารนั้น พลันเสียงใสของหมู่สตรีแล่นเข้ากระทบโสต เสียงนั้นเพราะพริ้งราวกังสดาลแก้ว หวานใสราวสายน้ำจากหิมาลัย กังวาลดังเสียงดีดวีณา ของพระแม่สรัสวตี
.เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทรงค้นหาต้นเสียง..และแล้วพระองค์ก็พบ
..
หมู่นางงามเล่นน้ำอยู่กลางสระโบกขนณีอย่างเริงรื่น แลดูคล้ายนางกินรีเล่นน้ำฉะนั้น
แต่ละนางล้วนหยอกล้อเล่นน้ำ กันสนุกสนาน
.ลางนางขับขานลำนำบูชาพระศรีเทวี (พระลักษมีเทวี)ลางนางก็เพลิดเพลินกับสายน้ำอันชุ่มเย็น
ทุกนางล้วนงามราวนางอัปสรแห่งพระศจีบดี(สามีของนางศจี-พระอินทร์) หรือว่าเป็นนางอัปสรจริงที่หนีองค์วัชรินทร์ลงมาเที่ยวเล่นยังโลกมนุษย์
..
แต่แล้วนางหนึ่งงามเด่นในหมู่นางทั้งหลาย สะดุดตาต้องใจพระยุพราชเป็นยิ่งนัก
ปุปผศรขององค์พระอนงค์เสียบตรึงเข้าที่หทัยของชายหนุ่มทันที ด้วยความหลงใหลจึงลงจากหลังม้าแล้วเร้นกายในพุ่มไม้พิศชมนางงามไม่วางตาด้วยความเสน่หา
สตรีนางนั้นโฉมสะคราญราวพระลักษมีเทวีอวตารลงมามิผิดเพี้ยน
.เรือนร่างงดงามสะอาดสมส่วนดั่งหนึ่งประติมากรรมแห่งความงามก็มิปาน
. อันสิ่งควรเว้าก็เว้าได้รูป อันสิ่งควรนูนก็นูนเต่งตึง
ประทุมถันเต่งตึง
ชูยอดสีชมภูอ่อนล้อดอกบัวในสระให้ได้อาย..เกศาสยายเป็นเงาดังใยไหมแลดำขลับเฉกมะเกลือ
นวลหน้างดงามดังชะลอเอาฉายาจันทร์เพ็ญมาไว้ในโลก เรียวปากสีชมภูอิ่มนั้นช่างน่าเชยชม ดวงตาคมงามเรียวได้รูปปานกลีบนิลุบล ดวงตาสุกสกาวหยาดเยิ้มมีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลนัก
เหมือนรุกขเทวดาเล่นตลกกิ่งไม้ผุที่อยู่เหนือพระเศียรขึ้นไปนั้นเกิดหักลงมา
โอ้ย
เมื่อเล่านางงามได้ยินก็รู้ว่ามีคนแอบดู จึงรีบขึ้นจากสระ แต่งอาภรณ์เสียสิ้น..เมื่อความแตกเวนไตยจึงออกจากพุ่มไม้ แสดงตนว่ามิได้มาร้ายพร้อมยิ้มให้เป็นไมตรี
ข้ามาดี.แม่หญิงทั้งหลายมิต้องตระหนกอันใดดอก..ข้ามิใช่โจร
ครั้นเหล่าสาวน้อยเห็นบุรุษงามสง่ามาปรากฏกายต่อหน้าก็พากันขวยเขิน นางหนึ่งพลางถามแก้เขิน
แล้วท่านมาแอบดูเราทำไมล่ะ
หามิได้
ข้ามิได้แอบดูเพียงแต่ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะตกใจและข้าก็จะอดชม
จึงเร้นกายในพุ่มไม้..หาได้แอบซ่อนไม่
แนะ..แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
แต่ข้ามิได้แอบซ่อนแต่อย่างใด นี่ไงข้ายืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้านี่ไงล่ะ
นี่
.ยังจะมาเล่นลิ้นอีก..ท่านเป็นใครกัน แม้จะแต่งกายเยี่ยงชาวป่า..แต่เปี่ยมสง่าราศี ผิวพรรณผุดผ่อง..ท่านเป็นใครกัน คงมิใช่พรานป่าธรรมดาๆกระมัง นางหนึ่งเอ่ยขึ้น นางนี้นี่เองที่พระยุพราชทรงเสน่หา
เจ้าช่างตาแหลมนัก เจ้าเองก็คงมิใช่หญิงธรรมดาแท้เทียว
โอ้..เธอผู้งดงามดังพระศรีเทวี..เธอเป็นใครกันช่างงามต้องใจเรานัก..25ปีบนโลกนี้เรายังมิเคยพบนางใดที่งามเทียบเจ้าได้มาก่อนเลย..มาเถิด
มาเป็นนางคู่บารมีข้าเถิด ข้าจักรักและเทิดทูนเจ้าเหนือสิ่งใด
ช้าก่อนท่าน..จะคุกคามข้าหรืออย่างไร..
หามิได้..เธอชื่ออะไร
เราชื่อรัมภา
เธอเป็นอัปสรหรือ?
หามิได้
ข้าเป็นเพียงมนุษย์เดินดินเท่านั้น เพียงแต่พระบิดาขนานนามว่ารัมภาเท่านั้น
มันก็สมอยู่ หากแม้นรัมภาตัวจริงได้มาพบเจ้าก็ยังต้องหลีกทางให้
ปากหวานจริงนะท่านนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอีก
ไม่เชื่อหรือ..หากนายของเจ้าใคร่ลิ้มรสแล้วล่ะก็..ข้าก็มิขัด..พร้อมยอมพลีให้แก่นาง
ท่านก็ว่าได้สิ เพื่อชื่นชมข้า
..ข้าเป็นถึงพระธิดาในพระแม่เจ้าอุรวศี แห่งกรุงศิขรินปุระเชียวนะ ท่านกล้าอาจเอื้อมหรือ
ที่เขาว่าหวงลูกสาวนักน่ะหรือ
เมื่อครู่เจ้าบอกเองว่า
.เราเอง คงมิใช่ชาวป่าธรรมดา
แล้วท่านเป็นใครล่ะนางย้อนถาม
ข้า เวนไตย พระมหาอุปราชแห่งกรุงรุจีรัตน์นคร..พระนัดดาในพระเจ้าเศวตวรรณะผู้ยิ่งใหญ่..พระมาตุลารักข้าปานดวงใจเชียวนะ เจ้าต่างหาก จะอาจเอื้อมหรือพระอุปราชทรงตอบอย่างภูมิใจ พลางสัพยอกย้อนนางบ้าง
ใครบอกว่าข้าสนท่านกันล่ะนางว่าพลางหน้าแดงเหมือนปฏิเสธ แต่จริงๆนางรักพระยุพราชตั้งแต่แรกพบแล้ว
ครั้นแล้วเหล่านางงามก็หัวร่อต่อกระซิกกัน
พวกเธอขันอะไร
ที่ว่ารักปานแก้วตาดวงใจน่ะ คงปดกระมัง ข้าว่าพระเจ้าอาของท่านน่ะคงพิศวาศท่านมากกว่า
.เห็นเขาลือกันให้ทั่วว่า พระองค์ทรงเป็นบัณเฑาะก์(กระเทย)นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยขึ้นตอบพระยุพราชที่สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีเท่าไหร่
เจ้าเอาที่ไหนมาพูด
ชายหนุ่มรีบแย้ง
เป็นจริงดังนั้นหรือ
หามิได้
แล้วทำไมพระเจ้าอาท่านถึงไม่มองสตรีเล่าพระธิดาทรงถามต่อ
ข้าก็มิรู้พระยุพราชตอบอย่างหมดปัญญางุดหน้าลงต่ำสีหน้าสลดลง แล้วพระอุปราชก็เรียกสติคืนมาว่าพลางดำเนินเข้าหานาง
แล้วการที่ข้ารักเจ้ามันเกี่ยวอันใดกับพระมาตุลาข้าด้วยเล่า
..รัมภา
ข้ารักเจ้าจริงๆนะ.ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นแล้ว..ดวงใจของข้าข้าได้มอบให้เจ้าครองไปแล้ว
.หากแม้นเจ้าปฏิเสธข้าคงต้องลงไปแดดิ้นตายตรงนี้แน่แท้เทียว
พระยุพราชว่าพลางแหวกพุ่มไม้เข้าหากลุ่มนางงามแล้วฉวยพระหัตถ์พระธิดารัมภามาแนบไว้กับทรวง
เจ้าสัมผัสสิ
สัมผัสดวงใจข้า
..เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าดวงใจข้า..มันร่ำร้องหาแต่เจ้าเท่านั้นมิเคยสร่างซาเลยแม้แต่ชั่วเวลาเดียว
..นางนั้นเล่าขวยเขินนักได้แต่ยิ้มอายๆพลางชักมือกลับแต่พระอุปราชทรงยึดพระกรพระธิดาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
อันบุรุษล้วนปากหวาน ครั้นพึงใจในหญิงใจก็มักกล่าวเยี่ยงนี้เสมอเพื่อให้ได้มาเชยชม ครั้นสิ้นเสน่หาก็จักทอดทิ้งดังของเล่นที่ไร้ค่าอีกต่อไป
. ข้าจักเชื่อได้อย่างไรเล่าว่าท่านรักข้าจริง..มิได้โป้ปดสรรหาคำหวานมาเยินยอข้าแต่เท่านั้น
.
ชายหนุ่มเริ่มอึดอัดที่ถูกนางกล่าวหาไม่ไว้วางใจพระองค์
เหลียวซ้ายแลขวาก็พบพระรูปของพระทัดจันทร์เป็นปิ่น(พระศิวะ) ประดิษฐานเหนือแท่นศิลามิไกลจากสระโบกขรณีนี้นัก
งั้น.ข้าจักสาบานต่อหน้าองค์พระมเหศวร
แล้วชายหนุ่มก็จูงนางไปยังหน้าเทวรูป
.แล้วตนคุกเข่าลง
ข้าแต่พระมเหศวร พระผู้เป็นเจ้า
.พระผู้เปี่ยมเมตตาแก่มนุษยชน ข้าขอสาบานต่อหน้าพระองค์ อ้างองค์พระศัมภูเป็นพยานรักของข้า เวนไตย กับรัมภา
ข้าจะรักนาง เทิดทูนนาง เคารพนาง..ไว้ใจนางตราบจนกว่าชีพจะม้วยมลาย หากแม้นข้าผิดคำสาบานขอให้ตายด้วยอสรพิษ อันเป็นพงศ์เผ่าแห่งอาภรณ์ของพระองค์
.และเพื่อแสดงความภักดีต่อนาง และถวายบรรณาการต่อพระองค์ ข้าขอถวายโลหิตชามนี้แด่พระองค์
ขาดคำพระยุพราชก็ฉวยเอากริซที่เหน็บไว้ที่บั้นพระองค์ ออกมากรีดแขนออกเป็นทางยาว รวดเร็วเกินกว่าที่นางทั้งหลายจะห้ามทัน แล้วโลหิตสีแดงข้นที่ไหลจากแขนของชายหนุ่ม ก็หลั่งรินลงสู่ชามบิ่นที่วางอยู่เบื้องหน้าเทวรูป
จากคุณ :
dark lord kenobi ณ ลอริเอน
- [
15 พ.ย. 46 15:46:32
]