เศวตวรรณะ บทที่1


    “เศวตวรรณะ”
    เนื้อเรื่อง

    ในภารตวรรตยังมีนครอันกระเดื่องนามรุ่งโรจน์ด้วยมหาอำนาจยากที่จะมีนครใดเทียบได้ นครนั้นคือ รุจีรัตนะปุระนคร ไพร่ฟ้าร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้การปกครองของพระเจ้า เศวตวรรณะ เหตุที่ทรงพระนามดั่งนี้ เป็นเพราะทรงมีพระฉวีขาวผ่องดังหิมะ และรูปงามปานพระมันมถะ(พระกามเทพ)อวตารลงมาอีกครั้งแท้เทียว…..

    แม้จะรูปงามราวพระมกรเกตุ(ผู้ถือธงมังกรแดง= พระกามเทพ)…มั่งมีโภคทรัพย์ไม่แพ้ท้าวกุเวร…มีน้ำพระทัยแผ่ไพศาลดังมหาสาครเป็นที่รักใคร่เทิดทูนบูชาของประชาราษฏ์นัก   แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังไม่มีพระมเหสีคู่บารมี
    นับตั้งแต่ครองราชย์มาร่วม20ปีพระองค์ก็มิเคยชายตาแลสตรีใดเลยในแผ่นดิน..แต่ทรงสนิทเสน่หาในพระนัดดานัก..ถึงกับยกให้เป็นพระอุปราชรับผิดชอบงานแผ่นดินทั้งปวง และสนองพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด บางครั้งถึงกับให้อยู่งานบนพระแท่นในยามวิกาลเลยทีเดียว

    พระราชนัดดาองค์นี้พระนามว่าเวนไตย=พญาครุฑ  เหตุที่ได้พระนามว่าเวนไตยเพราะว่า  เมื่อครั้งที่เข้าฝากตัวต่อพระมาตุลานั้น เศวตวรรณะเห็นว่าหลานคนนี้มีรูปร่างสง่า แลมีกิริยาอันแคล่วคล่องโฉบเฉี่ยวดังพญาวิหค จึงเปลี่ยนชื่อพระกุมารจากเดิมวิหคกุมารให้เป็นเวนไตยนับแต่บัดนั้น  
    ( พระยุพราชเวนไตยเป็นญาติทางฝ่ายมารดาของเศวตวรรณะ..ส่วนพระเจ้ากีจกะผู้ซึ่งครองราชย์ในสมัยที่เวนไตยยังเป็นเด็ก และเศวตวรรณะยังเป็นอุปราชนั้นมีแม่คนละคนกับเศวตวรรณะ)

    วันหนึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์อุปราช..พระยุพราชหนุ่มจึงออกไปเที่ยวป่าล่าสัตว์ตามประสาชายหนุ่ม กับเหล่าบริวาร  แต่แล้วก็ทรงพลัดหลงกับเหล่าบริวารในป่า…ขณะที่ควบม้าเหยาะๆเพื่อค้นหาเหล่าบริวารนั้น        พลันเสียงใสของหมู่สตรีแล่นเข้ากระทบโสต   เสียงนั้นเพราะพริ้งราวกังสดาลแก้ว หวานใสราวสายน้ำจากหิมาลัย   กังวาลดังเสียงดีดวีณา ของพระแม่สรัสวตี….เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทรงค้นหาต้นเสียง..และแล้วพระองค์ก็พบ…..

    หมู่นางงามเล่นน้ำอยู่กลางสระโบกขนณีอย่างเริงรื่น  แลดูคล้ายนางกินรีเล่นน้ำฉะนั้น…แต่ละนางล้วนหยอกล้อเล่นน้ำ กันสนุกสนาน….ลางนางขับขานลำนำบูชาพระศรีเทวี (พระลักษมีเทวี)ลางนางก็เพลิดเพลินกับสายน้ำอันชุ่มเย็น……ทุกนางล้วนงามราวนางอัปสรแห่งพระศจีบดี(สามีของนางศจี-พระอินทร์) หรือว่าเป็นนางอัปสรจริงที่หนีองค์วัชรินทร์ลงมาเที่ยวเล่นยังโลกมนุษย์…..

    แต่แล้วนางหนึ่งงามเด่นในหมู่นางทั้งหลาย    สะดุดตาต้องใจพระยุพราชเป็นยิ่งนัก…ปุปผศรขององค์พระอนงค์เสียบตรึงเข้าที่หทัยของชายหนุ่มทันที   ด้วยความหลงใหลจึงลงจากหลังม้าแล้วเร้นกายในพุ่มไม้พิศชมนางงามไม่วางตาด้วยความเสน่หา
    สตรีนางนั้นโฉมสะคราญราวพระลักษมีเทวีอวตารลงมามิผิดเพี้ยน….เรือนร่างงดงามสะอาดสมส่วนดั่งหนึ่งประติมากรรมแห่งความงามก็มิปาน…. อันสิ่งควรเว้าก็เว้าได้รูป อันสิ่งควรนูนก็นูนเต่งตึง…ประทุมถันเต่งตึง
    ชูยอดสีชมภูอ่อนล้อดอกบัวในสระให้ได้อาย..เกศาสยายเป็นเงาดังใยไหมแลดำขลับเฉกมะเกลือ
    …นวลหน้างดงามดังชะลอเอาฉายาจันทร์เพ็ญมาไว้ในโลก เรียวปากสีชมภูอิ่มนั้นช่างน่าเชยชม  ดวงตาคมงามเรียวได้รูปปานกลีบนิลุบล ดวงตาสุกสกาวหยาดเยิ้มมีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลนัก……

    เหมือนรุกขเทวดาเล่นตลกกิ่งไม้ผุที่อยู่เหนือพระเศียรขึ้นไปนั้นเกิดหักลงมา
    “โอ้ย”
    เมื่อเล่านางงามได้ยินก็รู้ว่ามีคนแอบดู จึงรีบขึ้นจากสระ แต่งอาภรณ์เสียสิ้น..เมื่อความแตกเวนไตยจึงออกจากพุ่มไม้ แสดงตนว่ามิได้มาร้ายพร้อมยิ้มให้เป็นไมตรี
    “ข้ามาดี.แม่หญิงทั้งหลายมิต้องตระหนกอันใดดอก..ข้ามิใช่โจร”
    ครั้นเหล่าสาวน้อยเห็นบุรุษงามสง่ามาปรากฏกายต่อหน้าก็พากันขวยเขิน นางหนึ่งพลางถามแก้เขิน  
    “แล้วท่านมาแอบดูเราทำไมล่ะ”
    “หามิได้…ข้ามิได้แอบดูเพียงแต่ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะตกใจและข้าก็จะอดชม…จึงเร้นกายในพุ่มไม้..หาได้แอบซ่อนไม่”
    “แนะ..แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “
    “แต่ข้ามิได้แอบซ่อนแต่อย่างใด  นี่ไงข้ายืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้านี่ไงล่ะ”
    “นี่….ยังจะมาเล่นลิ้นอีก..ท่านเป็นใครกัน แม้จะแต่งกายเยี่ยงชาวป่า..แต่เปี่ยมสง่าราศี ผิวพรรณผุดผ่อง..ท่านเป็นใครกัน คงมิใช่พรานป่าธรรมดาๆกระมัง” นางหนึ่งเอ่ยขึ้น  นางนี้นี่เองที่พระยุพราชทรงเสน่หา
    “เจ้าช่างตาแหลมนัก เจ้าเองก็คงมิใช่หญิงธรรมดาแท้เทียว………โอ้..เธอผู้งดงามดังพระศรีเทวี..เธอเป็นใครกันช่างงามต้องใจเรานัก..25ปีบนโลกนี้เรายังมิเคยพบนางใดที่งามเทียบเจ้าได้มาก่อนเลย..มาเถิด…มาเป็นนางคู่บารมีข้าเถิด ข้าจักรักและเทิดทูนเจ้าเหนือสิ่งใด”
    “ช้าก่อนท่าน..จะคุกคามข้าหรืออย่างไร..”
    “หามิได้..เธอชื่ออะไร”
    “เราชื่อรัมภา”
    “เธอเป็นอัปสรหรือ?”
    “หามิได้…ข้าเป็นเพียงมนุษย์เดินดินเท่านั้น เพียงแต่พระบิดาขนานนามว่ารัมภาเท่านั้น”
    “มันก็สมอยู่  หากแม้นรัมภาตัวจริงได้มาพบเจ้าก็ยังต้องหลีกทางให้”
    “ปากหวานจริงนะท่าน”นางหนึ่งเอ่ยขึ้นอีก
    “ไม่เชื่อหรือ..หากนายของเจ้าใคร่ลิ้มรสแล้วล่ะก็..ข้าก็มิขัด..พร้อมยอมพลีให้แก่นาง”
    “ท่านก็ว่าได้สิ เพื่อชื่นชมข้า…..ข้าเป็นถึงพระธิดาในพระแม่เจ้าอุรวศี แห่งกรุงศิขรินปุระเชียวนะ ท่านกล้าอาจเอื้อมหรือ”
    “ที่เขาว่าหวงลูกสาวนักน่ะหรือ…เมื่อครู่เจ้าบอกเองว่า….เราเอง คงมิใช่ชาวป่าธรรมดา”
    “แล้วท่านเป็นใครล่ะ”นางย้อนถาม
    “ข้า เวนไตย พระมหาอุปราชแห่งกรุงรุจีรัตน์นคร..พระนัดดาในพระเจ้าเศวตวรรณะผู้ยิ่งใหญ่..พระมาตุลารักข้าปานดวงใจเชียวนะ เจ้าต่างหาก จะอาจเอื้อมหรือ”พระอุปราชทรงตอบอย่างภูมิใจ พลางสัพยอกย้อนนางบ้าง
    “ใครบอกว่าข้าสนท่านกันล่ะ”นางว่าพลางหน้าแดงเหมือนปฏิเสธ แต่จริงๆนางรักพระยุพราชตั้งแต่แรกพบแล้ว
    ครั้นแล้วเหล่านางงามก็หัวร่อต่อกระซิกกัน

    “พวกเธอขันอะไร”
    “ที่ว่ารักปานแก้วตาดวงใจน่ะ คงปดกระมัง ข้าว่าพระเจ้าอาของท่านน่ะคงพิศวาศท่านมากกว่า….เห็นเขาลือกันให้ทั่วว่า พระองค์ทรงเป็นบัณเฑาะก์(กระเทย)”นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยขึ้นตอบพระยุพราชที่สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีเท่าไหร่
    “เจ้าเอาที่ไหนมาพูด…”ชายหนุ่มรีบแย้ง
    “เป็นจริงดังนั้นหรือ”
    “หามิได้”
    “แล้วทำไมพระเจ้าอาท่านถึงไม่มองสตรีเล่า”พระธิดาทรงถามต่อ
    “ข้าก็มิรู้”พระยุพราชตอบอย่างหมดปัญญางุดหน้าลงต่ำสีหน้าสลดลง แล้วพระอุปราชก็เรียกสติคืนมาว่าพลางดำเนินเข้าหานาง
    “แล้วการที่ข้ารักเจ้ามันเกี่ยวอันใดกับพระมาตุลาข้าด้วยเล่า…..รัมภา…ข้ารักเจ้าจริงๆนะ.ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นแล้ว..ดวงใจของข้าข้าได้มอบให้เจ้าครองไปแล้ว….หากแม้นเจ้าปฏิเสธข้าคงต้องลงไปแดดิ้นตายตรงนี้แน่แท้เทียว”
    พระยุพราชว่าพลางแหวกพุ่มไม้เข้าหากลุ่มนางงามแล้วฉวยพระหัตถ์พระธิดารัมภามาแนบไว้กับทรวง
    “เจ้าสัมผัสสิ…สัมผัสดวงใจข้า…..เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าดวงใจข้า..มันร่ำร้องหาแต่เจ้าเท่านั้นมิเคยสร่างซาเลยแม้แต่ชั่วเวลาเดียว”
    ..นางนั้นเล่าขวยเขินนักได้แต่ยิ้มอายๆพลางชักมือกลับแต่พระอุปราชทรงยึดพระกรพระธิดาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
    “อันบุรุษล้วนปากหวาน ครั้นพึงใจในหญิงใจก็มักกล่าวเยี่ยงนี้เสมอเพื่อให้ได้มาเชยชม ครั้นสิ้นเสน่หาก็จักทอดทิ้งดังของเล่นที่ไร้ค่าอีกต่อไป…. ข้าจักเชื่อได้อย่างไรเล่าว่าท่านรักข้าจริง..มิได้โป้ปดสรรหาคำหวานมาเยินยอข้าแต่เท่านั้น…….”
    ชายหนุ่มเริ่มอึดอัดที่ถูกนางกล่าวหาไม่ไว้วางใจพระองค์ …เหลียวซ้ายแลขวาก็พบพระรูปของพระทัดจันทร์เป็นปิ่น(พระศิวะ) ประดิษฐานเหนือแท่นศิลามิไกลจากสระโบกขรณีนี้นัก
    “งั้น.ข้าจักสาบานต่อหน้าองค์พระมเหศวร……”แล้วชายหนุ่มก็จูงนางไปยังหน้าเทวรูป….แล้วตนคุกเข่าลง
    “ข้าแต่พระมเหศวร พระผู้เป็นเจ้า….พระผู้เปี่ยมเมตตาแก่มนุษยชน ข้าขอสาบานต่อหน้าพระองค์ อ้างองค์พระศัมภูเป็นพยานรักของข้า เวนไตย กับรัมภา…ข้าจะรักนาง เทิดทูนนาง เคารพนาง..ไว้ใจนางตราบจนกว่าชีพจะม้วยมลาย หากแม้นข้าผิดคำสาบานขอให้ตายด้วยอสรพิษ อันเป็นพงศ์เผ่าแห่งอาภรณ์ของพระองค์……….และเพื่อแสดงความภักดีต่อนาง และถวายบรรณาการต่อพระองค์ ข้าขอถวายโลหิตชามนี้แด่พระองค์”
    ขาดคำพระยุพราชก็ฉวยเอากริซที่เหน็บไว้ที่บั้นพระองค์ ออกมากรีดแขนออกเป็นทางยาว รวดเร็วเกินกว่าที่นางทั้งหลายจะห้ามทัน แล้วโลหิตสีแดงข้นที่ไหลจากแขนของชายหนุ่ม ก็หลั่งรินลงสู่ชามบิ่นที่วางอยู่เบื้องหน้าเทวรูป…

    จากคุณ : dark lord kenobi ณ ลอริเอน - [ 15 พ.ย. 46 15:46:32 ]