ฤดูกาลดอกรักบาน (ตอนที่ 2)

    ฤดูกาลดอกรักบาน
    บทที่ 2

    “พี่บรรไปทำอะไรมาหัวหูเปียกลู่เป็นลูกหมาตกน้ำเชียว”  
    เสียงใสดังแจ๋ว ๆ เอ่ยทักอยู่หน้าประตูบ้าน

    คนตัวโตชะงัก ส่ายหน้าอย่างระอากับปากของคนเป็นน้องสาว  

    “ว่าพี่ว่าเชื้อเป็นหมาเรอะเจ้าตี”  

    เขาเอ่ยอารมณ์ดีเดินเข้าไปหมายจะกอดน้องสาวให้เปียกไปด้วยเหมือนที่เคยทำมาแต่เด็ก
    แต่คนเป็นน้องไวกว่าหายผลุบไปนั่งข้างหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่ยิ้มให้เขาตั้งแต่เขาโผล่หน้าเข้าไปแล้ว

    เขายิ้มรับ แต่ส่งแววตาอาฆาตไปยังน้องสาวตัวแสบ
    ที่ตอนนี้โตจนจะเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้านี้แล้ว คนข้าง ๆ นั่นก็เพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยประถม

    “ไปไหนมาละบรร หัวหูเปียกลู่อย่างตีว่าจริง ๆ ด้วย
    แถมไปไหนมาไหนไม่บอกใครเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมาอยู่ได้”  
    คนนั่งอยู่เอ่ยขึ้นรอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากหน้าเรียว

    ชายหนุ่มลูบหน้า กลอกตาไปมา บ่นเบา ๆ พอให้สองสาวที่นั่งอยู่ได้ยิน
     
    “รู้ละว่าไอ้แสบมันได้นิสัยปากดีแบบนี้มาจากใคร”

    เสียงอ้าวดังมาจากคนทั้งสอง ก่อนอะไรจะตามมาอีก
    เขาก็ก้าวยาว ๆ ผลุบหายขึ้นไปบนชั้นสองซะก่อน
    เข้าห้องจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เดินกลับลงไปอีกครั้ง
    ก็เห็นสองสาวยังนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนเดิม

    “ยังไม่กลับอีกเรอะ นึกว่ากลับไปนอนคลุมโปงเปิดพัดลมแล้วซะอีก
    วันนี้ฝนตกอากาศเย็นดีชอบไม่ใช่เหรอ”  
    ชายหนุ่มเย้า นึกถึงคำบอกเล่าของเอราวุธผู้เป็นหวานใจของหญิงสาวไม่ได้

    “ถามแปลกกลับแล้วจะเห็นเราเรอะ นี่ขอร้องล่ะอย่าติดนิสัยเอมันได้มั้ย
    แค่เอคนเดียวรบกับมันก็แย่พอแล้ว มีเรื่องอยากปรึกษาล่ะ”
    บัวหอมเชิดหน้าตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    “มีไรล่ะ”  ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ

    “คืองี้…บรรก็รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้พวกชาวบ้านที่มีลูกชาย
    เขาเอาลูกตัวเองไปบวชเรียนที่วัดเพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร”  
    บรรพธรพยักหน้า ฟังเรื่องจากหญิงสาวที่นั่งพูดหน้าตาเป็นงานเป็นการต่อ  

    “ทีนี้มันมีปัญหาตรงที่ว่า ทางวัดไม่มีเงินพอที่จะซื้อหนังสือหรืออุปกรณ์การเรียนให้นะสิ
    เมื่อวันก่อนเราเห็นหลวงพี่น้อยออกมาซื้อสมุดที่ร้านพี่ศรี
    ซึ่งพี่ศรีแกก็ต้องขายเต็มราคาตามปกใช่มั้ย
    เราเลยคิดกับเอว่าอยากทำบุญซื้ออุปกรณ์การเรียนไปถวาย
    อยากหาทุนไปซื้อหนังสือให้ด้วย เห็นหลวงพี่น้อยท่านบอกกว่าตอนนี้หนังสือที่มีมันน้อย
    ต้องใช้สองสามคนต่อเล่มเลยอยากมาปรึกษาว่าจะทำไงดี”

    “จัดตั้งกองทุนขึ้นมาดีมั้ยพี่บัว”  บรรพตีเสนอความเห็น  
    “หรือจะจัดงานจ้างหมอลำมีรำวงรอบละสิบบาทมาให้คนเข้าไปทำบุญดี”

    “ไม่ดีหรอกตีจัดตั้งกองทุนมันดูใหญ่เกินไป
    ส่วนจะจ้างหมอลำมานั่นเลิกคิดได้เลย แค่ค่าจ้างก็หมื่นกว่าเข้าไปแล้ว
    ดีไม่ดีเงินที่ได้มาพอหักค่าใช้จ่ายอะไรออกจะเหลือไม่กี่บาทนะสิ
    แทนที่จะได้เงินกลับต้องเสียงเงินไปอย่างไร้ประโยชน์
    คนบ้านเราเหลือน้อยเต็มทีจะทำบุญทีสิบบาทยี่สิบบาทแทบไม่อยากควักกัน
    ทีตั้งวงกินเหล้าเท่าไหร่เท่ากัน”  

    พี่ชายบอกน้อยสาวเสียงเบาประโยคท้ายสุดแทบแผ่ว
    สังคมเริ่มเปลี่ยนไป อย่าว่าแต่เมืองกรุงเลยขนาดบ้านนอกขนาดนี้แทบหาน้ำใจกันได้ยากเต็มทน  
     
    “พี่ก็เห็นด้วยกับบรรนะตี เราทำอะไรอย่างตีว่าไม่ได้หรอก
    จำได้มั้ยงานบุญเดือนหกที่ผ่านมา จ้างหนังจ้างหมอลำเงินที่เหลือมีแทบไม่ถึงหมื่น”  
    บัวหอมเห็นด้วยกับความคิดของชายหนุ่ม  

    “เราว่าพวกเราเรี่ยไรเงินกันก่อน
    ส่วนเรื่องหนังสือประกอบการเรียนพรุ่งนี้เราไปถามหลวงพี่ทั้งวัดใหญ่แล้วก็วัดลาดปู่ให้
    ว่าใช้หนังสืออะไรบ้างจะได้ให้เอซื้อมาให้อีกที”

    “ดี ดี เราก็คุยกับเอเหมือนกันว่าจะรวมเงินกันซื้ออุปกรณ์การเรียนมาก่อน
    พอคุยกับเอ ครอบครัวจ๋าจ้า ครอบครัวพี่เก่ง ครอบครัวเอแล้วก็เพื่อน ๆ
    พวกคนรู้จักที่ได้ยินข่าวต่างก็ช่วยสมทบทุนกันมาแล้ว
    อาทิตย์หน้าเอจะขึ้นมาหาพร้อมของที่จำเป็นต้องใช้ก่อน “

    “ตีก็จะไปบอกเพื่อนที่โรงเรียนให้ว่าพวกเราจะทำบุญซื้ออุปกรณ์การเรียนกัน”  
    บรรพตีบอกอย่างกระตือรือร้นนึกถึงเพื่อนที่โรงเรียนประจำจังหวัดที่เธอเรียนอยู่

    “ขอบใจนะตี”


    “ฝนยังไม่หยุดเลยพี่บัวจะกลับยังไง”  
    สาวน้อยเอ่ยอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นผู้เป็นแขกกำลังเตรียมตัวจะกลับ
    มองออกไปเม็ดฝนยังกระหน่ำหนาอยู่ ทั้ง ๆ ที่ก้าวเข้าฤดูหนาวแล้ว

    “นั้นนะสิ หมดประโยชน์แล้วจะกลับเลยเหรอ”  คนเป็นพี่ชายบอกยิ้ม ๆ

    “ย่ะ เราไม่อยากอยู่นานเดี๋ยวชาวบ้านจะอื้ออึง
    ไม่รู้เรอะเรื่องพวกเราน่ะดังไปสามบ้านแปดบ้าน หาว่าเราจับปลาสองมืองี้ โอ้ยยยยจะบ้าตาย”  
    หญิงสาวบอกด้วยเสียงเบื่อหน่ายพลางค้อนให้คนที่โดนร่วมเป็นข่าวไปด้วย

    “แคร์ด้วยเหรอ”  คนตกเป็นข่าวด้วยกันเอ่ยปากถาม
    ความจริงห่วงความรู้สึกคนเป็นเพื่อนไม่น้อย
    อย่าน้อยเพื่อนเขาก็เป็นผู้หญิงถึงยังไงก็เสียหายวันยังค่ำ
    จะยุให้เพื่อนเขาซึ่งก็เป็นเพื่อนเธอด้วยรีบมาขอ
    สาวเจ้าคนนี้ก็ยังไม่ยอมตกลงปลงใจง่าย ๆ
    ไอ้คบก็คบกันแต่ยังไม่ทันร่วมหอเท่านั้นล่ะไม่รู้แม่จะใจแข็งไปถึงไหน

    “เปล่า ไม่แคร์หรอกเพราะเรารู้ว่าความจริงมันเป็นไง
    ครอบครัวเรา ครอบครัวเธอ ญาติพี่น้องเข้าใจ แค่ลมปากมีเรื่องใหม่คนก็ลืมไปเองนั่นล่ะ
    อย่างว่าบ้านเราก็แค่เนี้ยะ พูดมาพูดไปมันก็เหมือนไฟลามทุ่ง มีอะไรก็ลือเป็นเรื่องเลย”

    คนพูดยักไหล่ตามความเคยชิน หัวเราะไปกับสองพี่น้องที่นั่งยิ้มกว้างฟังเธออยู่แล้ว  

    “พูดมากไปล่ะ”  เธอลุกยืนสองมือโยกหัวเด็กสาวที่ยังนั่งข้าง ๆ
    “พี่เอาร่มมาด้วย ขี่รถไปช้า ๆ ไม่เป็นไรหรอกใกล้แค่นี้เอง”  
    บัวหอมบอกอย่างอ่อนโยน ตาคมโตมองเธออย่างห่วง ๆ
    แม้ไม่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแต่มิตรภาพที่มีให้มันผูกและพันกันอย่างเหนียวแน่น

    “เอางี้พี่ไปส่งเอง”  ชายหนุ่มคนเดียวที่นั่งอยู่รับอาสา
    คว้าพวกกุญแจขึ้นมาถือไว้ รู้ว่าน้องสาวสนิทและติดเพื่อนตัวเองขนาดไหน

    “ไม่ต้อง ไม่ต้องเรากลับเอง พรุ่งนี้ต้องเอารถไปสวนแต่เช้า
    ขืนจอดทิ้งไว้นี่พรุ่งนี้จะเอาอะไรขี่ไปล่ะ”  หญิงสาวปฏิเสธ เดินออกไปก่อน

    สองพี่น้องเจ้าของบ้านสบตากันรู้ว่าห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    ผู้เป็นเพื่อนและเป็นเสมือนพี่ของคนทั้งสองคงปฏิเสธเสียงแข็งอยู่เช่นเดิม

    “ขับรถดี ๆ นะ”  

    “ขอบใจนะ ไปล่ะ”  
    บัวหอมลากรถจักรยานยนต์คันใหม่ถึงจะไม่เอี่ยม
    แต่ก็มีสภาพดีกว่ารถคันเก่าที่ซ่อมแล้วซ่อมอีกมากมายนักมาเทียบหน้าสองพี่น้องที่ตามออกมาส่งหน้าบ้าน

    ไฟสีแดงท้ายรถลับหายไปแล้วพร้อมฝนที่ยังโปรยสายและเสียงร้องจากท้องนาทุ่งกว้างที่ดังระงมไปทั่ว

    ++++++++++++++++++++


    จากคุณ : ฺBeetRoot - [ 17 พ.ย. 46 14:33:51 ]