เรื่องนี้ทำไมไม่ตั้งชื่อซักทีก็ไม่รู้ดิครับ???

    จากกระทู้ที่แล้วครับ
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2545965/W2545965.html
    ...........ช่วยลิงก์ด้วยนะครับ ผมโลยิ่นไม่ได้ ลืมพาสแหวด.............

    ..............

    ในแสงสว่างมลังเมลืองนั้น
    เสียงสายน้ำยังได้ยินอยู่ตลอดเวลา
    ผมร้องเพลงจนเบื่อจะร้อง ตะโกนเรียกเพื่อนจนเสียงแหบแห้ง
    แต่ก็ไร้ประโยชน์
    ผมได้แต่ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพียงคนเดียว
    เมื่อคืนนี้ ผมกับภณชัย และราเมษฐ์ แอบเห็นความเคลื่อนไหวของอะไรอย่างหนึ่ง จากรูของสังกะสีริมห้องน้ำชาย
    ผมยังอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกได้ว่าผมต้องแก้ผ้าอาบน้ำรวมกับเพื่อน ๆ หลายคน
    ราเมษฐ์เป็นผู้เห็นเงาคนสองสามคนอยู่ในบ้านหลังใหญ่ข้าง ๆ โรงเรียน
    ส่วนผมกับภณชัยเห็นคนสองคนที่มีรูปร่างคล้ายอรรถพรกับพลนิดา-เพื่อนหญิงซึ่งเป็นเพื่อนใหม่ของผม-เดินเตร่อยู่แถวบริเวณบ้านหลังนั้น
    พวกเราแปลกใจกันมาก และคิดกันไม่ออกว่าอรรถพรกับพลนิดา เธอทั้งสองไปทำอะไรกันแถวนั้น ทั้งที่เป็นเวลาค่ำคืนแล้ว
    จนกระทั่งเที่ยงคืน พวกผมก็ตัดสินใจย่องออกมาจากห้องเรียน ที่ดัดแปลงเป็นห้องนอน ตรงไปที่บ้านหลังนั้น เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่เราสงสัย
    แต่แล้วเมื่อเราไปเห็นว่าเป็นบ้านที่หน้ากลัว คล้ายเรือนทหารหรือโกดังเก็บอะไรสักอย่าง เราก็พากันหันหลังกลับ
    ในทันใดนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงขึ้น
    เรากรูกันไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง แต่ไม่เห็นมีวี่แววใด ๆ ให้เราได้เจอ
    กระทั่งภณชัยไปสะดุดเข้ากับบานประตูซึ่งปิดอยู่บนพื้น อันเป็นทางเข้าของอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งก็คงเป็นใต้บ้านหรือโกดังหลังนั้น
    พวกเราเห็นร่องรอยการถูกใช้มาแล้วของประตูบานนั้น จึงตัดสินใจที่จะลงไปดูให้รู้ดำรู้แดง
    แต่พวกเราขาดไฟฉาย
    ผมจึงอาสากลับไปที่พักเพื่อเอาไฟฉายมา โดยสั่งให้ภณชัยและราเมษฐ์เฝ้าอยู่ตรงนั้น
    ผมใช้เวลาเพียงครู่เดียว ผมก็กลับมาตรงจุดนั้นอีกครั้ง แต่ผมไม่พบใครเลย
    ผมเห็นร่องรอยการต่อสู้ อันหมายถึงรอยเท้าและรอยลากตรงบริเวณปากทางเข้านั้น
    เห็นแม้แต่นาฬิกาของใครคนหนึ่งหล่นอยู่ด้วย
    ผมตัดสินใจเดินลงไปในอุโมงค์ แต่เดินไปไม่กี่ก้าว ผมก็ตกวูบลงไปในปล่องเหว
    ร่างของผมลอยละลิ่วลงสู่ลำธารใต้ดิน ตกตูมลงไปดีที่ไม่คอหักตาย
    และช่วยเหลือตัวเองจนรอดมาได้แม้จะว่ายน้ำไม่เป็น
    เมื่อขึ้นฝั่งได้ ผมก็พบกับศพของทหารญี่ปุ่นคนหนึ่ง นั่งยิ้มฟันขาวรอผมอยู่แล้ว
    จำได้ว่าผมร้องออกมาว่า “เว้ย..เฮ่ย..” แล้วผมก็สิ้นสติไป ด้วยความกลัวสุดขีด
    ในระหว่างสิ้นสติ ผมฝันว่าผมได้ผจญภัยอะไรหลายอย่าง
    เป็นความฝันที่นึกดูตอนนี้แล้วก็สนุก ไม่น่ากลัวเหมือนกำลังอยู่ในฝัน
    คล้าย ๆ กับตัวเองกำลังเป็นรพินทร์ ไพรวัลย์ มัคคุเทศก์ร่างเล็ก ผู้มาดขรึม และมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ กำลังออกตามหาผู้ร่วมคณะที่กำลังหลงป่ารอรับการช่วยเหลืออยู่
    นึกถึงตอนนี้แล้วผมอดยืดอกตัวเองอย่างลืมตัวไม่ได้
    โดยไม่ดูตาเรือว่ามีอะไรอยู่ตรงหน้า ไม่ดูตาม้าว่าข้างหน้ามีอะไรไหม
    ผมเดินชนเปรี้ยงเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง
    พร้อมกับร้องโอยออกมาดังลั่น ทรุดก้นลงนั่งจั้มเบ้ากับพื้น
    ผมลืมไปว่าผมไม่ได้ใส่แว่นตาเหมือนเคย จึงจำเป็นต้องระมัดระวังมากกว่าเคย
    คนสายตาเอียงอย่างผม จึงต้องนั่งคลำหน้าผากป้อย ๆ กัดฟันไม่ให้น้ำตาไหลออกมาเพราะความเจ็บ
    “อูย…”
    …………….

    ตอนที่ 10

    หลังจากหายจากอาการมึนงง ตาพร่า และเจ็บปวดแล้ว ผมก็เงยหน้าขึ้นพิจารณาสิ่งที่ผมเดินชนอีกครั้ง

    มันเป็นหินย้อย ที่มีรูปทรงคล้ายงวงช้าง ลอยอยู่ระดับศีรษะพอดี
    ความงามของธรรมชาติ ถูกสร้างสรรค์ให้เหลือเชื่อเสมอ
    หินปูนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างอันแปลกตา บิดเป็นเกลียวจากใหญ่ไปเล็ก ตรงปลายมีน้ำหยาดหยดอยู่ตลอดเวลา
    มีรอยแหว่งจากการเดินชนเต็มแรงของผม ส่วนหนึ่งของมันคงหลุดกระเด็นออกไป
    ผมยื่นมือคลำตรงส่วนที่แหว่งไปนั้น แล้วผมก็เห็นสิ่งหนึ่งเข้า
    มันเป็นแท่งเหล็ก ลักษณะทรงกลม ยื่นออกมาจากหินย้อยนั้นไม่เกินสามเซ็นติเมตร
    มันยื่นออกมาเหมือนเหล็กในของเสาคอนกรีต ที่หล่อทับเหล็กไว้ข้างใน
    ตรงปลายของเหล็กนั้น มีตุ้มกลม แต่มีสันฐานคล้ายฟักทอง มือเล็ก ๆ ของผมจับดูแล้วเหมือนกับกำลังจับลูกมะยมลูกเขื่อง
    มันคืออะไร??
    ผมไม่รู้..ผมจึงได้แต่ค่อย ๆ แกะหินปูนที่เคลือบอยู่นั้นออก
    น่าแปลก ที่มันสามารถแกะออกได้อย่างง่ายดาย เผยให้เห็นแกนเหล็กนั้นชัดเจนขึ้น
    เสียดายที่มันอยู่สูงเกินความสูงของผม ผมจึงแกะไล่ขึ้นไปได้ไม่ถึงฟุต
    ด้วยความอย่างรู้ ผมเลยลองโยกมันดู แต่มันไม่สะเทือนแต่อย่างใด
    เมื่อโยกไม่ได้ ผมก็เลยลองหมุน
    ผมตรงแกนก็หมุนไม่ไป ก็เลยลองหมุนตรงปลาย ตรงที่เป็นลูกมะยมเม็ดนั้น
    มันหมุนพอได้ ผมต้องออกแรงจนหน้าชา(สงสัยจะหน้าแดงด้วย) มันจึงหมุนได้ครบรอบ
    เมื่อหมุนได้ครบรอบ ผมก็ด่าตัวเองเบา ๆ ว่า
    “ซนเหลือเกินนะกรู เป็นไงล่ะ..”
    เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้น เหมือนผมกลับไปฝันอีกครั้ง
    ผนังด้านหนึ่งของทางเดินในถ้ำนั้น อยู่ ๆ ก็ลั่นคึ่กขึ้นมา แรงสั่นสะเทือนของมันทำให้ผมยืนแทบไม่ติดพื้น
    มันเป็นนวัตกรรมสมัยไหนผมดูไม่ออก อียิปต์โบราณคงเดินทางมาสร้างกลไกใต้ดินนี้ไว้ที่นี่ไม่ได้
    หินปูนที่ร่างกราว เผยให้เห็นแผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง กำลังถูกดึงให้เคลื่อนไปข้างบน
    แผ่นเหล็กที่ว่านั้นใหญ่โตมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีพลังงานอะไรดึงให้มันขึ้นไปฝังอยู่บนเพดานได้
    ผมยืนตะลึงอ้าปากค้าง ไม่สนใจฝุ่นผงที่ปลิวว่อนจนแทบมองอะไรไม่เห็น
    นานเท่านาน สิ่งที่อยู่ภายในประตูนั้นจึงปรากฎต่อสายตา(ที่เอียงกระเท่)ของผม
    มันเป็นโบกี้รถไฟ!!!
    นิ่งสนิทฝุ่นจับหนาอยู่ตรงนั้น
    สภาพทุกอย่างยังสมบูรณ์ทุกประการ แต่มันมาอยู่ในนี้ได้อย่างไร???
    ……..

    จากคุณ : ปิ๊วปิ้ว - [ 21 พ.ย. 46 22:38:45 A:202.57.171.28 X: ]