ENIGMA ตอนที่ 7 มายากล


    ห้องโถง สีขาว ที่เคยสงบ กลับวุ่นวาย บรรยากาศสุดตึงเครียด ผู้อยู่ในห้องต่างแบ่งสถานะ อย่าเห็นได้ชัด กลุ่มหนึ่งร้อนแรงดุจไฟ ไวท์ เมมวาร์ แวริเออร์ กัดฟัน กำหมัด เผยให้เห็นด้านแห่งพลังรอการจู่โจมดุจเสือซุ่มรอ กระโจน ตะครุบเหยื่อ อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเพียงหนึ่ง นายพลแวนนิช แม้นจะตัวคนเดียวแต่ก็ทรงอำนาจ ยืนนิ่งมือไขว้หลัง เผยให้เห็นความนิ่งสงบ ดุจมังกรซ่อนใต้ทะเล แต่หากยามใดเหินขึ้นฟ้าแสดงอำนาจเซียนใดก็ยากต้านทาน กลุ่มสุดท้าย แสนสับสน ไอซีเนส ชิลด์ ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิงที่เกิดขึ้น

    “ไวท์ ฉันอ่านความทรงจำ จนรู้แผนของมันหมดแล้ว” หนุ่มน้อยผมดำกล่าวเสียงสั่น แต่ก็ค่อย ๆ เปิดปากหมายพูดแผนการแยบคายของศัตรู ฉับพลันนายพลเฒ่ายื่นกางฝ่ามือตรงหน้า เหมือนจะห้ามหนุ่มน้อยเอ่ยปาก และนายพลเฒ่าก็กล่าวทันควัน

    “ในเมื่อแกอ่านความทรงจำฉันได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ฉันจะบอกแกเอง”
    “แรกเริ่มทีเดียวการทดลอง G-VIRUS เป็นสิ่งที่อันตราย ทางสภาสูง และประธานาธิบดีของประเทศเราจึงไม่สนับสนุนนัก และพอมาเกิดปัญหา ท่านประธานาธิบดี จึงต้องการทำลายโครงการนี้ ทำลาย G-VIRUS หรือว่าง่าย ๆ ก็คือต้องการฆ่า เวอรูเลินท์ เพื่อตัดปัญหา เพราะฉะนั้น จึงขอความช่วยเหลือจากประเทศอื่นให้ส่งผู้มีพลังพิเศษมาช่วยฆ่า เวอรูเลินท์ เราจึงเชิญ  ไวท์ เมมวาร์ แวริเออร์ และคนอื่น ๆ” นายพลแวนนิช ส่ายหน้านิดหน่อยก่อนจะพูดต่อไปว่า

    “แม้น ท่านประธานาธิบดี จะออกคำสั่งแบบนี้ แต่ทางด้านการทหาร ไม่มีใครเห็นด้วย แน่นอนเพราะ
    G-VIRUS หากสำเร็จจะส่งผลทางการทหารอย่างสูง และฉันก็เป็นผู้ดำเนินโครงการนี้อยู่ จึงไม่เห็นด้วย กับการทำลาย G-VIRUS เราจึงยื่นมติ ใหม่ให้สภาสูง และท่านประธานาธิบดี แต่ก็ยังไม่ได้รับการยินยอม การเห็นชอบใด ๆ เพราะเหตุนี้ ทางทหารจึงทำอะไรไม่ได้ ต้องยึดหลักเดิมคือทำลาย G-VIRUS” นายพลเฒ่าพอเล่ามาถึงจุดนี้ ก็ก้มหน้าก้มตา แต่ไม่อาจปิดร้อยยิ้มที่อำมหิต เจ้าเลห์ได้ ก่อนจะเล่าต่อไปว่า

    “แต่เมื่อวานนี้ มติใหม่ ผ่านการเห็นชอบของสภาสูง และประธานาธิบดี แล้ว” แวนนิช เงยหน้าพร้อมร้อยยิ้มอันน่ารังเกียจ ก่อนจะมองไปทางไวท์ แล้วถามว่า

    “ผู้มีพลังพิเศษ แบบฉัน และนาย ในโลกนี้จะมีถึง 10000 คนไหม?” ไวท์ ฟังแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ

    “มีน้อยยิ่งกว่าน้อย โอกาสเกิดผู้มีพลังพิเศษตามธรรมชาติ มีน้อยกว่า หนึ่ง ใน ล้าน แต่ไม่ใช่ว่าคนที่มีพลังพิเศษนั่นมีน้อย เพียงแต่เราไม่รู้ขั้นตอนการทำงานของสมอง ว่าทำไมบางคนดึงพลังพิเศษในตัวออกมาได้ บางคนทำไม่ได้” นายพลเฒ่าก็กล่าวต่อไปว่า

    “แต่ เวอรูเลินท์คือ คำตอบ!!!! คนที่โดน G-VIRUS จากเค้า จะมีโอกาส 1 ใน 1000 ที่จะเกิดพลังพิเศษขึ้น ว่าตามทฤษฎี ก็คือ คนธรรมดา ที่โดน G-VIRUS ที่เป็นพลังพิเศษฝังในตัว ก็เหมือนได้รับการกระตุ้น ให้สมองรับรู้ถึงรูปแบบพลังพิเศษง่ายขึ้น ใครที่มีพลังพิเศษซ่อนอยู่ก็จะถูกกระตุ้นให้ใช้ได้ทันที”

    “เพราะฉนั้น เวอรูเลินท์ คือคนที่สำคัญยิ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงยื่นมติใหม่ให้ ทางสภาสูงเปลี่ยนจากการทำลาย เวอรูเลินท์ เป็นการ รับเค้าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเรา ให้ยศระดับนายพล และมีอำนาจในกองทัพ และกับการที่เค้าจะสร้างทหารซึ่งมีพลังพิเศษ และไวรัสร้ายแรงให้กับ นีโอรัสเซียน (NR) ของเราแทน”

    “ไอ้บ้า แก่คิดหรือว่าจะควบคุมคนที่มีพลังพิเศษ ร้ายกาจแบบนั้นได้” เมมวาร์พูดแทรกทันที

    “ถูกต้อง!!!! แรกเริ่มเดิมที ที่มติ นี้ไม่ผ่าน เพราะทางสภาสูง และท่านประธานาธิบดีของเราต่างไม่วางใจ และระแวงในพลังอันยิ่งใหญ่ของ เวอรูเลินท์” นายพลเฒ่ายิ้มอีกครั้งก่อนจะกล่าว

    “แต่หลังจากฉันได้ ใช้พลังพิเศษ “วิชาสลายพลัง” ซึ่งสามารถสลายพลังพิเศษได้ และใช้รักษาตัวอย่างผู้ติด G-VIRUS ทางสภาจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่า ฉันคนนี้!!!!! สามารถต้านทาน G-VIRUS หรือ เวอรูเลินท์ ได้อย่างสบาย!!!!”

    “มติ ก็ผ่านอย่างง่ายดาย ในอีก 7 วันจะมีเรือ มารับเวอรูเลินท์ ออกจากเกาะนี้ เข้ารับการแต่งตั้ง เป็นนายพล คนใหม่แห่งกองทัพ NR และประเทศของฉันจะยิ่งใหญ่ด้วยกองทัพ ทหารพลังพิเศษ และจะไม่มีใครหยุดเราได้อีกต่อไป โลกจะอยู่ในกำมือ ของเรา” นายพลเฒ่าแววตา เผยให้เห็นความทะเยอทะยาน อย่างชัดเจน จน เมมวาร์ อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากกล่าว

    “แกมันประมาท ไปแล้ว เวอรูเลินท์ มันไม่พอใจแค่ยศนายพลหรอก เมื่อมันออกจากเกาะไปได้ สิ่งที่มันจะทำก็คือ ยึดประเทศแก ก่อนยึดโลกนะสิ” เมมวาร์ เคยอ่านความทรงจำเวอรูเลินท์ จึงรู้นิสัย มันเป็นอย่างดี

    “ฝีมือฉันเป็นยังไงพวกแกย่อมรู้ รับรองฉันรับมือ เวอรูเลินท์ ได้ และเมื่อไรที่ประเทศฉันมีกองทัพทหารพลังพิเศษแล้ว ฉันจะยกทัพไปขยี้ประเทศแกเอง” นายพลเฒ่า ผู้ทะเยอทะยานกล่าวอย่างมั่นใจ

    “อีกอย่าง ไวท์ แต่ก่อนแกเคยมีฝีมือกว่านี้ไม่ใช่เหรอ แกเคยทำได้แม้นกระทั้งหยุดเวลา แต่เดียวนี้ทำไมทำได้แค่ ทำให้เวลาช้าลงล่ะ” นายพลเฒ่ายิ้มเย้ยหยัน ไวท์ ซึ่งกำหมัดแน่น ด้วยความแค้นจนเล็บจิกเข้าไปในมือจนเลือดหลั่งริน อดีตของสองคนนี้ ช่างมีแค้นต่อกันฝังลึก

    “ในเมื่อพวกแกรู้ความลับแล้ว เห็นทีคงจะปล่อยกลับไปไม่ได้แล้ว” นายพลเฒ่าเริ่มออกแววจิ้งจอก

    “ไอซีเนส ชิลด์ แก่เป็นทหารของ NR คงรู้นะว่าจะต้องทำยังไง ฉันซึ่งเป็นนายพลของแก่ทั้งสอง ขอออกคำสั่งให้ช่วยฉัน ฆ่าพวกมันให้หมด” พอแวนนิช กล่าวจบ ไอซีเนส และชิลด์ มีสีหน้าที่สับสน อึดอัดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ
    ไอซีเนส ที่เคยร่วมสู้ศัตรูกับ ไวท์มาถึงกับกัดริมฝีปากล่างจนเลือดไหล

    “พวกแกเป็นอะไรรึว่าแค่นี้ทำไม่ได้?” แวนนิช กล่าวกับไอซีเนส และชิลด์ เสียงแข็ง ก่อนจะยิ้ม และพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงเข้าหากลุ่มคนของไวท์ ทันที พร้อม ทั้งตะโกน “งั้นฉันฆ่าพวกมันเอง!!!!!!!!”

    พริบตานั่นเอง แวนนิช พุ่งตัวดุจหัวกระสุนด้วยความเร็ว ที่เหนือ ธรรมดา หมัดทั้งสองต่างกางออก โคจรพลัง หมายทำลายข้าศึก ดุจรถศึก ประจัญบาน เข้าใส่ไวท์ ซึ่งย่อตัวตั้งท่ารับมือ แวริเออร์ ที่เงื่อมีดรอ เมมวาร์ที่ตั้งท่าวางดาบหนึ่งสูงหนึ่งต่ำ หนึ่งหงส์ หนึ่งมังกร

    ในสายตาแวนนิช ชายทั้งสามตรงหน้า ที่รออยู่ต่างค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ๆ เหมือนภาพสโลโมชั่น ทั้งที่ความจริงแล้วแวนนิช นั่นพุ่งตัวด้วยความเร็วเหนือ รถสปอร์ต เสียอีก ในแววตาของแวนนิช เห็นศัตรูอย่างชัดเจน ในภาพขาวดำ และเห็นจุดอ่อนของทั้งสามอย่างชัดเจนเป็นแสงออกมา ไวท์ จุดอ่อนของมันคือแผลเก่าที่อกซ้าย แวริเออร์ คือขาขวาที่ยื่นมาเกินไป ส่วนเมมวาร์ คือ มือซ้ายที่จับดาบดูไม่ทะมัดทะแมง

    ใช่!!!! ภาพในหัวของแวนนิช ปรากฎออกมาอย่างชัดเจน แวนนิช ประเมินสถานการณ์แล้วคิดในใจว่า “ก่อนอื่นหลบหมัดขวาของไวท์และปล่อยหมัดซ้ายที่อกซ้ายตรงแปลเก่า และก่อนที่เจ้าแวริเออร์จะเสียบมีดมาก็เอาเท้ายันหน้าแข้งขวาที่ยื่นมาของมันและขว้างถุงมือเข้าใส่ตาของเมมวาร์ก่อนจะเตะสองจังหวะที่แขนซ้ายของมันก่อนและเตะแขนขวาให้ดาบทั้งสองของมันหลุด” พริบตาเดียวยอดฝีมืออย่างแวนนิช คิดแผนการสู้อย่างเฉียบขาด และยิ้มอย่างเย้ยหยัน

    ใกล้แล้ว!!!!! ใกล้มาก!!!!! ทั้งสองฝ่ายต่างห่างกันไม่เกินสองก้าว พริบตาดุจประกายไฟนั่นเอง ก็มีบางสิ่งพุ่งออกมาขวางระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้อย่างไม่นึกฝัน ลูกโป่ง!!!!! มันคือลูกโป่งหลายใบ หลากสีสัน อะไรกัน!!!!!! เหนือที่ทั้งสองฝ่ายจะคาดการณ์

    ไม่คาดคิด ฉับพลัน เช่นนี้ แวนนิช จึงดีดตัวออกห่างกลุ่มลูกโป่ง ยอดฝีมือ ถ้าไม่มั่นใจจะไม่ลงมือ!!!!!

    ลูกโป่งหลายสิบใบ หลากสี ต่างบังสายตาไม่ให้ แวนนิช ไอซีเนส หรือ ชิลด์ ได้เห็น กลุ่มของไวท์ เกิดอะไรขึ้น!!! ฉับพลันลูกโป่ง ค่อย ๆ กระจายตัวและแตกไป เผยให้เห็นกลุ่มของไวท์ และผู้มาเยือนรายใหม่

    “ผู้มีพลังพิเศษที่ทาง UK ส่งมาเหรอ” ชิลด์ กล่าวอย่างสงสัย (เอ่ยถึงในตอนที่ 4)
    “ใช่ครับ ผม THE MAGICIAN จาก UK หรือจะเรียกผมสั้น ๆ ว่า มิม ก็ได้นะครับ” เป็นชายหนุ่มผู้มีเสียงสดใส มาในชุดทักซิโด้ สีขาว และหมวกทรงสูง แว่นดำ ผมสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าที่ดูมีเสนห์ และกะล่อน ไปในตัว ทำให้เป็นบุคคลที่ น่ามองแบบหนึ่ง

    “ขอโทษนะครับ ที่ผมมาสาย แต่ก็ทำให้ผมได้ยินอะไรดี ๆ เหมือนกัน เอาเป็นว่าผมคงไม่ต้องช่วยทาง NR ในการจับ เวอรูเลินท์ แล้วสินะครับ” น้ำเสียงช่างสุภาพ และกะล่อน แต่แบบนี้ไม่ถูกโรคกับแวนนิชอย่างแรง

    “ดีเลย!!! จะได้กำจัดพวกแกในคราวเดียว” แวนนิช ตะคอกด้วยเสียงที่เกรียวกราด

    “เดี๋ยวก่อนสิครับ อย่าพึ่งใจร้อน” มิม ค่อย ๆ ล่วงมือไปที่กระเป๋าหน้าและยิ้มอย่างมีเสนห์ ก่อนจะชักเอาผ้าเช็ดหน้าสีขวาผืนเล็กออกมา

    แวนนิช เพ่งพิจารณา ผ้าเช็ดหน้าอย่างถ้วนถี่ พร้อมกับคิดในใจ “มันคิดจะทำอะไรของมัน แต่ที่แน่ ๆ เรายังไม่รู้ความสามารถของพลังพิเศษมัน จะจู่โจมสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้เด็ดขาด ต้องมองมันให้ออกก่อน”

    มิม ค่อย ชูผ้าเช็ดหน้าในมือขวา ออกไปในระดับสายตาของแวนนิช และค่อย ๆ ส่ายมือ ไปทางซ้าย ที ขวาที ให้ผ่านเช็ดหน้าลู่ลมสั่นไหว มิมก็ค่อย ๆ กล่าว “เชิญรับชม มายากล ชุดนี้ได้” พอกล่าวจบ ผ้าเช็ดหน้าที่ส่ายไปมา ก็ค่อย ๆ ยาวขึ้น ๆ พร้อมกับส่ายไปมา

    บัดนี้ผ้าเช็ดหน้าขาวได้ยาวเหมือนผ้าปูโต๊ะ ไปเลยทีเดียว

    แววนิช มองอย่างจริงจัง และคิดในใจว่า “ความสามารถของมันคงไม่ใช่ สายจู่โจมเหมือนแวริเออร์  และไม่ใช่สายเงื่อนไข น่าจะเป็นสายแปรสภาพ หรือไม่ก็สายควบคุมเหมือนไวท์ คงต้องรอดูมันอีกหน่อย”

    ในมือ ของ มิม ผ้าเช็ดหน้านั้น ได้ยาวเหมือน ผ้าปูที่นอนไปแล้ว พริบตานั่นเอง มิม ยิ้มอย่างแจ่มใส และกล่าวว่า “โชว์เริ่มแล้ว” และสะบัดผ้าผืนใหญ่คลุมตัว ไวท์ เมมวาร์ แวริเออร์ พร้อม ๆ กัน และกล่าวว่า “กลหายตัว” ฉับพลันเมื่อเค้าชักผ้ากลับ พริบตา คนทั้งสามก็หายตัวไปแล้ว!!!!

    แวนนิช ได้แต่ตะลึงงัน ที่ปล่อยให้ศัตรูตัวฉกาจ หายไปต่อหน้าต่อตาถึง 3 คน ซึ่งเหลือเพียง มิม ที่ทำหน้าซื่อ ยิ้มใส ๆ อยู่ตรงหน้า ขณะนั้นไม่คิดสิ่งใดแล้ว แวนนิช โกรธจนตัวสั่น พลันไม่คิดหน้าคิดหลังพุ่งตัวดุจศร เข้าหา
    มิม อย่างบ้าคลั่ง

    มิม ยิ้มเรียบ ๆ ก่อน สะบัดผ้าผืนใหญ่ หมายให้คลุมตัวนายพลเฒ่า แต่ระดับสุดยอดฝีมือย่อมไม่ตกม้าตายง่าย ๆ นายพลเฒ่าพลันพาดผ่ามือใส่ผ้าผืนใหญ่ อย่ารวดเร็ว

    สลายพลัง!!!!!!!!   พริบตานั่นผ้าผืนใหญ่ที่สร้างจากพลังพิเศษ ก็แตกสลายกลายเป็นไอเหลือไว้เพียงผ้าเช็ดหน้า

    แวนนิช กำหมัดแน่น แววตาเหยี่ยว จ้องมาที่ มิม อย่างโกรธแค้น แต่หนุ่มผมน้ำตาล ก็ยังคงยิ้ม ก่อนจะเปิดหมวก มาทางนายพลเฒ่าและกล่าวว่า “กลพิราบ” พริบตานั่นเอง นกพิราบหลายตัวพลันพุ่งออกจากหมวกทรงสูงพุ่งเข้าหานายพลผู้ทรงอำนาจทันที

    พริบตาดุจประกายไฟ สายตาอันเฉียบแหลมของแวนนิช แม้นนกพิราบที่บินมาด้วยความเร็ว ก็เหมือนภาพสโลโมชั่นในสายตาเค้าเท่านั้น นกค่อย ๆ บินมาที่ใบหน้าของแวนนิช ช้า ช้า ๆ ก่อนที่แวนนิช จะ ปล่อยหมัดที่รั่วเร็วแม่นยำกว่าสิบหมัดใส่ฝูงนกพิราบ

    MACHINE GUN SHOT!!!!!!!

    เพลงหมัดอันร้ายกาจ พริบตาเดียวนกพิราบต่างโดนหมัดแตกกระจาย แต่ไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะขนนกขวาต่างฟุ้งกระจาย ลอยปลิวว่อน ดุจกำแพงขนนกขาว ฉับพลัน นายพลเฒ่าพลันคิดได้ “เสียท่ามันแล้ว นกพิราบ เป็นเพียงแค่ตัวล่อ!!!!” นายพลเฒ่าพลัน รวบรวมปราณไว้ทั่วร่าง และรวมจิตคอยตั้งรับ

    ไม่นาน ขนนกต่างร่วงหล่น บนพื้นหมดสิ้น และไม่เห็นแม้นแต่เงาของมิม นายพลเฒ่าจึงสบถเสียงดัง
    “ไอ้บ้าเอ้ย วันนี้เจอแต่พวกชอบหนีทั้งนั้นเลยเหรอฟะ”

    จากคุณ : Bluejade - [ 22 พ.ย. 46 02:24:02 ]