วันนี้ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องสั้นสักเรื่องหนึ่ง หลังจากที่ทิ้งมันไปเสียนาน มัวไปทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ และเขียนเรื่องไม่เป็นเรื่องของนายปิ๊วอยู่พักใหญ่
ในหัวพยายามคิดพล๊อตเรื่อง เมื่อคิดไม่ออกก็เปิดเรื่องเก่า ๆ ของตัวเองดู คือผมจะเขียนเรื่องคราวละหลาย ๆ เรื่องแล้วทิ้งเอาไว้ เผื่อว่าวันไหนคิดอยากจะเขียนเรื่องแนวไหนต่อจะได้เอามาเขียนเลย แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ เพราะทำอารมณ์ไม่ได้เลยสักเรื่อง
สาเหตุที่ไม่มีอารมณ์ หรือจะเรียกให้ถูกว่าสาเหตุที่ทำให้ไม่อยากเขียน น่าจะเป็นเพราะว่ามีสิ่งที่รบกวนอยู่ในใจของผมเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันค้างอยู่ตั้งแต่ผมโพสต์กระทู้ขอเรื่องของนักเขียนบนถนนฯ นี้ไปพิมพ์แล้ววางขายนั่นแล้ว
แม้ว่าผมจะได้รับเกียรติจากนักเขียนหลายท่าน ที่จะส่งเรื่องให้ผมตีพิมพ์ แต่ความรู้สึกของผมก็ยังไม่ค่อยเต็มอยู่ดี มันเหมือนผมทำอะไรผิดไปบางอย่าง อะไรที่ว่าผิดนั้นผมก็ยังไม่ค่อยชัดเจนอยู่เหมือนกัน แต่รู้สึกอย่างนั้นอยู่แน่ ๆ
ตลอดเวลาที่ผมย่ำเดินอยู่บนถนนนักเขียน ณ โต๊ะห้องสมุดแห่งนี้ ผมได้รับการต้อนรับและให้กำลังจากเพื่อน ๆ ทุกคนด้วยดีเสมอมา หลายท่านที่ทุกวันนี้ก็ได้มีการพบปะทักทายและคบกันเหมือนสหายที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน และพร้อมจะให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามประสาเพื่อนที่ดี
หลายครั้งที่ผมรู้เหงา รู้สึกท้อ ผมก็ได้เพื่อน ๆ ในนี้ให้กำลังใจ บางครั้งผมรู้สึกสนุก รู้สึกบ้าบอ ก็ยังมีเพื่อน ๆ ร่วมสนุก และร่วมบ้าไปกับผมด้วย
ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเมื่อเร็ว ๆ นี้ พอเพื่อน ๆ รู้ว่าคุณแม่ของผมเสีย ต่างก็เข้ามาแสดงความเสียใจ บางคนถึงกับไปร่วมงานสวดพระอภิธรรม และร่วมทำบุญกับผมด้วย ทั้ง ๆ ที่การเดินทางก็แสนลำบาก บางคนอยู่ไกลก็ยังอุตส่าห์มา
เหล่านี้มันคือความสุขอย่างหนึ่ง ที่ผมไม่เคยได้รับจากไหน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผมจึงเวียนเข้าเวียนออกอยู่บนถนนแห่งนี้มาเป็นเวลาปีกว่า โดยไม่เคยคิดแม้แต่สักครั้งว่าจะเลิกในวันใดวันหนึ่ง
ด้วยความผูกพันที่ว่า และด้วยความปรารถนาที่อยากจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวงการนี้ ผมจึงได้คิดจะขอเรื่องจากเพื่อน ๆ ที่ร่วมถนนฯ เดียวกันนี้มาพิมพ์ขาย
ผมรู้ครับว่า การพิมพ์หนังสือขายทุกวันนี้ ต้องลงทุน และการลงทุนนั้นก็มีความเสี่ยงสูง เพราะไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ค่าพิมพ์ หรือค่าลิขสิทธิ์อย่างเดียว มันยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับวางจำหน่าย การโปรโมท และอื่น ๆ อีกจีปาถะ
การลงทุนพิมพ์หนังสือสักเล่มหนึ่ง หากมีสายป่านไม่ยาวพอ หรือหากงานที่ผลิตออกมาไม่มีคุณภาพพอ ผลที่ได้รับก็คือคำว่าขาดทุนอย่างแน่นอน
ก็เพราะด้วยเหตุนี้ สำนักพิมพ์ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องกลั่นกรองงานเขียนทุกงาน ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งออกมา หากงานไหนเห็นท่าไม่ดี นักเขียนไหนที่ชื่อยังขายไม่ได้ ยากนักที่เขาจะเปิดโอกาสให้นักเขียนเหล่านั้นได้โชว์ผลงานของตนเองบนหน้ากระดาษได้ ก็มันเรื่องอะไรที่เขาจะเงินของเขาไปแปรเป็นกระดาษทิ้งไว้ในโกดังเป็นมัด ๆ ??
การจัดการประกวด จึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่นิยมทำกัน อย่างน้อยเรื่องต่าง ๆ ก็จะได้รับการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผ่านวิธีการวัดผลจากการโหวตของนักอ่าน ว่าเรื่องไหนดีกว่าเรื่องไหน
(หากสังเกตเราจะเห็นว่าเรื่องที่เขียนโดยนักเขียนหน้าเก่า มักจะเข้ารอบมากกว่าเสมอ)
ก็ในเมื่อผมตัดสินใจที่จะพิมพ์หนังสือ ผมก็คงจะต้องติดอยู่ในกรอบนี้ คือประกาศไปทั่วว่าใครสนใจจะให้ผมพิมพ์ ก็ส่งเรื่องมาให้ผมพิจารณา และก็คัดเอาเรื่องที่ดีที่สุดที่คิดว่าจะต้องขายได้ไปตีพิมพ์ เพื่อจะให้ได้กำไรกลับคืนมา หรือถ้าเห็นไม่ได้ความ ก็แค่ไปขอซื้อเรื่องจากนักเขียนดัง ๆ ซึ่งการันตีได้ว่าไม่ขาดทุนเป็นแน่มาพิมพ์ขาย ก็เป็นเรื่องไม่ยาก เพราะเป็นปกติวิธีของธุรกิจประเภทนี้อยู่แล้ว
แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าผมจะทำอย่างนั้น อย่างดีก็แค่เปิดทางให้กับนักเขียนอีกทางหนึ่ง ทางที่ตีบแคบ และเต็มไปด้วยเงื่อนไขทางธุรกิจอีกทางหนึ่ง
ผมก็เลยคิดว่า หากผมประกาศเจตนารมย์ของผมออกไป ว่าผมจะเชิญนักเขียนที่มีผลงานสม่ำเสมอในถนนแห่งนี้ มาตีพิมพ์เป็นหนังสือ โดยให้ค่าเรื่องที่สมน้ำสมเนื้อ พิมพ์ด้วยวิธีที่สามารถควบคุมให้มีราคาต่ำ แต่มีคุณภาพมากพอและคุ้มค่าต่อการตัดสินใจซื้อ ก็น่าจะมีประโยชน์ต่อนักเขียน ซึ่งก็คือเพื่อน ๆ ของผมที่ร่วมเดินบนถนนแห่งนี้
นักเขียนหลายคนบนถนนฯ เขียนเรื่องไว้เป็นสิบเรื่อง แต่ละเรื่องถูกเก็บไว้ในเว็ปของตนเองบ้าง หรือไม่ก็เซฟไว้ในไฟล์เวิร์ดบ้าง รอเวลาที่มันจะถูกลืมเลือนไป โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากมันสมองและฝีมือของตนเอง นอกเสียจากการได้โพสต์รอการชื่นชมจากผู้อ่านในถนนฯ หรือตามเวปต่าง ๆ เท่านั้น
หลายคนถึงกับรู้สึกท้อ ท้อว่าจะเขียนไปทำไม เขียนไปเพราะอยากเขียนแค่นั้นหรือ แล้วได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมา??
บางคนก็หยุดเขียน เงียบหายไป ซึ่งเพื่อน ๆ ที่อ่านมาถึงตรงนี้หากจะลองนึกดู ก็คงพอจะนึกออกว่านักเขียนที่เขียนงานดี ๆ มาแปะบนถนนฯ แห่งนี้ เดี๋ยวนี้หายไปเป็นจำนวนมาก ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ที่หายไปก็คือไม่รู้ว่าจะเขียนไปทำไมนั่นเอง (มีหลายคนเหมือนกันนะครับที่กลายเป็นนักเขียนอาชีพไปได้ เลยไม่มาแปะให้อ่านฟรีบนถนนฯ หรือในเวปต่าง ๆ อีก แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นส่วนน้อย)
ผมจึงคิดว่าหากผมสามารถเชิญนักเขียนเหล่านี้ ทั้งที่หยุดเขียนไปแล้วและกำลังเขียนอยู่ในเวลานี้ เขียนเรื่องให้กับผม และอนุญาตให้ผมไปตีพิมพ์แล้ววางขาย โดยได้รับค่าเหนื่อยแม้จะไม่มากแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป แล้วรอรับความภาคภูมิใจของตัวเองที่จะได้รับเมื่อหนังสือของตนเองวางอยู่ตรงหน้า นอกเสียจากค่าเรื่อง ผมก็น่าจะทำได้
และนักเขียนที่ผมเชิญ ก็จะเป็นเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ย่ำเดินกันอยู่ในถนนฯ นี้แหละ ไม่ใช่นักเขียนใหญ่โตมีชื่อเสียงมากมายที่ไหน เป็นเพื่อน ๆ ของเรานี่เอง โดยไม่จำเป็นต้องมีการจัดการประกวด ไม่จำเป็นที่ต้องผ่านการตรวจแก้ เหมือนกับท่านเขียนแล้วแปะบนเว็ป เพียงแต่ผมเอามาพิมพ์เป็นเล่มเท่านั้น
ก็น่าจะเป็นการเปิดทางอีกทางหนึ่ง กระตุ้นให้เกิดการอยากเขียน มีกำลังใจที่จะเขียน สร้างการแข่งขันในคุณภาพกันมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อระดับงานเขียนของวงการหนังสือบ้านเราให้สูงขึ้นไปอีกในอนาคตได้
(อย่างหลังนี่เป็นเจตนารมย์อันสูงส่งเกินไป ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องทำให้ได้ถึงขนาดนั้น อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งหมั่นไส้ผมนะครับ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการเปิดโอกาสให้นักเขียนหน้าใหม่จริง ๆ ได้มีหนังสือเป็นของตนเองตามความใฝ่ฝัน โดยไม่ต้องติดอยู่ในกรอบของธุรกิจที่กำหนดโดยนายทุน ซึ่งหว่านพืชต้องหวังผลอยู่วันยังค่ำ
หนังสือเล่มนั้นจะขายได้หรือไม่ได้ นั่นต่างหากจะเป็นตัววัดที่แท้จริงของงานเขียนของเรา ว่าเราควรจะเขียนต่อไปหรือไม่ ควรจะแก้ไขอย่างไร ให้งานเขียนของเราขายได้
ฉะนั้น หากเพื่อน ๆ จะคิดว่าผมอาศัยถนนแห่งนี้ เป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ เสแสร้งแกล้งทำเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองแล้วล่ะก้อ ผมจะทำอย่างไรได้ล่ะครับ???
ผมก็คงได้แต่เศร้า และผิดหวัง รวมทั้งสมน้ำหน้าตัวเองไปจนกว่าจะสิ้นใจ
นี่ล่ะกระมัง เป็นเรื่องที่ติดค้างคาใจผมอยู่ จนผมรู้สึกไม่สบายใจ จนทำอะไรไม่ได้อยู่ในเวลานี้
ขอบคุณนะครับที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมคงไม่ใช้กระทู้ของที่นี่มาเปลืองกับเรื่องนี้อีกแล้ว
ขอบคุณจริง ๆ
จากคุณ :
แทน
- [
24 พ.ย. 46 00:55:15
A:202.57.175.92 X:
]