*~*สุรางคศิลา*~* (ตอนที่๔)

    สุรางคศิลา..(เปลี่ยนชื่อเล็กน้อย อิอิ)

    บทนำเเละตอนที่๑

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2499541/W2499541.html

    ตอนที่๒
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2522286/W2522286.html

    ตอนที่๓
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2539345/W2539345.html

    *******

    ตอนที่๔

    สายัณห์วาร..เป็นเพลาที่ ดวงรวิกำลังจักคล้อยเคลื่อนเลื่อนลับปลายฟ้า สาดเเสงเเสดส้มเเตะเเต้มลงบนกิ่งใบพฤกษาในวโนทยานน้อย

    .. บนผิวธารระยับล้อไอเเดดเป็นประกายระยิบ..เหล่าอุบลบัวบานต่างหุบกลีบอ่อนซ่อนไว้ในกาบเขียว

    …ลมรำเพยเฉื่อยฉิวพากลิ่นเเก้วกำจายอบอวลทั่วทั้งสวนขวัญอันร่มครื้มไปด้วยรุกขชาติหลากพันธุ์ที่ถูกบรรจงจัดสรรไว้อย่างงดงาม

    เสียงกระพรวนข้อเท้าของนางในดังเเว่วมาจากท้ายอุทยาน..มิช้าจึ่งปรากฏขบวนเสด็จเผยพ้นเเนวไม้ ..รตีนางพระกำนัลน้อยประคองพานมาลากรองอันวิจิตรไว้ในมือทั้งสอง ขณะเดินนำเสด็จองค์ราชธิดาเเห่งอิศวรปุระ

    ..ร่างละออองค์ยุรยาตรย่างบนยอดหญ้าทรงทอดสายเนตรเมิลมองมวลหมู่บุปผาชาติอย่างเบิกบานหทัย เมื่อใกล้เพลาที่จักได้พบยัชญะวราหะพราหมณ์..บุรุษอันเป็นที่สนิทสิเน่หาของพระองค์

    …ความรุ่มร้อนในหทัยเร่งเร้าให้สาวพระบาทเร็วขึ้น
    ..ยามนี้เเม้เเต่มรรคาสายสั้นที่ทอดออกจากพระราชฐาน..สู่ภวาลัยศิลา..ก็ยังคลับคล้ายยาวไกลยิ่งนัก..

     ทว่าเมื่อองค์เยาวเรศเสด็จพ้นเเนวไม้มิเกินสิบก้าว..ก็ต้องพลันชะงักพระบาทเมื่อมีสุรเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นมาจากหลังพุ่มพฤกษ์

    ..พร้อมกับวรองค์สูงเเห่งองค์ราเชนทรวรมันเเละราชองค์รักษ์คนสนิทผู้โดยเสด็จตามมาด้านหลัง

    “จักไปที่ใดกันเล่า..ไยจึ่งดูเร่งร้อนนัก”

    ขบวนนางพระกำนัลพลันยอบกายลงหมอบกรานเเทบเบื้องบาท..เเม้เเต่ราชนรีน้อยก็ยังต้องจำหทัยทรุดองค์ลงน้อมกราบบังคม

    “ราชเทวาลัย..เพคะ”

    ราชธิดาชาณวีร์เอ่ยทูลตอบสั้น…คล้ายกับมิใคร่จักเต็มพระทัยตรัสด้วยนัก ..สุรเสียงที่เคยหวานนุ่มจึงเเปรเป็นเรียบเฉยเย็นชา..


    หากเเต่ว่าองค์วรมัน..มาณวขัติตยะกลับมิได้ใส่พระทัยในความเฉยชาบนพระพักตร์นวลละมุน

    ..ยิ่งเสด็จใกล้วรองค์บางอย่างย่ามหทัยพลางเอื้อมหัตถาหยิบยกพวงมาลากรองบนพานขึ้นมาทอดพระเนตร..

    “งามนัก…เฉกโฉมเเห่งผู้ร้อยมิมีผิด”

    มิมีคำตรัสตอบได้จากองค์ยุพเรศชาณวีร์ผู้หมอบบังคมอยู่บนพรมหญ้า..ประหนึ่งคำตรัสเอ่ยเชยชมเป็นเพียงลมรำเพยเเผ่วผ่านพระกรรณ..มิได้สำคัญอันใด

    “ข้าปราถนาจักได้พวงบุปผานี้นัก”

    คำเปรยราวกระทบหทัย..จนถึงกับลืมองค์ผุดลุกขึ้นประทับยืน ทัดเทียมองค์กัมพูปตีโดยไว

    “มิได้…”
    สุรเสียงสาวใสพลันปฎิเสธ..อย่างมิเกรงกลัว

    “ข้าจักนำไปถวายพระมเหศวร..หากทรงโปรดข้าจักสั่งให้นางกำนัลร้อยถวายใหม่”

    “ไยเจ้าจึ่งหาญ..ขัดหทัยข้า ชาณวีร์ ราชธิดาเเห่งอิศวรปุระ”

    องค์วรมันเเทนที่จักทรงพิโรธกราดกริ้ว..กลับเเย้มสรวลอย่างพอหทัยพลางดำเนินรุกเข้าใกล้วรองค์อรชรยิ่งขึ้น..จนกลิ่นร่ำหอมบนพัสตราภรณ์ระรวยรินต้องนาสา

    “มิได้ก็มิเป็นไร..พวงมาลากลีบละมุน หรือ จักสู้ ฉวีนวลงามของเจ้าได้”

    ทรงยื่นหัตถ์หมายจักสัมผัสปลายปรางในทันใด..หากเเต่ยุวอนงค์น้อยรีบปัดปลายหัตถ์ปัดให้พ้นวงพักตร์ที่เริ่มระเรื่ออย่างทรงโกรธกริ้ว

    “โอ..องค์กัมพูปตี..ไยจึงทรงกระทำเยี่ยงนี้..ถึงข้าจักต่ำศักดิ์ว่าพระองค์ เเต่ก็มิใช่ว่าจักทรงข่มเหงได้ตามหทัย”

    เยาวเรศเชิดพระศอระหงอย่างทะนงทรงศักดิ์เเห่งขัตติยนารี..เนตรงามทอดจับไปยังพระพักตร์องค์วรมันอย่างมิพอพระทัย..เรียวขนงโค้งงามขึงขมวดคล้ายอวดดี

    “ข้าขอทูลลาเพคะ”

    ทรงขบเม้มริมโอษฐ์บางสกัดกั้นโทสะที่พลุ่งพล่านในหทัย..ก่อนที่จักเสด็จไปตามมรรคาเบื้องพักตร์อย่างรวดเร็วราววายุ..ทำให้ขบวนนางกำนัลต้องเร่งสาวเท้าตามโดยพลัน

    ..เเต่น่าประหลาดนัก..ไยองค์ราเชนทรวรมัน จึงทรงปล่อยให้ราชนรีน้อยเสด็จผ่านไปแต่โดยดี..


    “ข้าใคร่ได้ชาณวีร์เป็นชายา..ยิ่งนัก”

    องค์มาณวกขัตติยะทอดพระเนตรยังวรองค์ระหงที่เสด็จไปไกลจนลับสายเนตร..บนวงพักตร์เข้มขรึมปรากฏรอยสรวลเเย้มอย่างท้าทาย

    …สิ่งใดได้มาง่ายดาย..ฤาจักมีค่าควรครอง..

    “เเล้วจักทำทรงประการใดต่อไปเล่า..พระเจ้าข้า”
    ราชองครักษ์เอ่ยทูลถามเบา

    “ข้าจักตามนางไปสู่ศิวาลัย..จักต้องรู้ให้ได้ว่า มาลาพวงนั้นถวายพระมเหศวร หรือ ผู้อื่นใด”

    “ผู้อื่นใด” ในคำตรัสเเฝงนัยเหยียดหยัน..พาดพิงถึง บุรุษหนึ่งที่เพลานี้น่าจักอยู่ในองค์ภวาลัย

    เเล้วจักเป็นผู้ใด..หากมิใช่ยัชญวราหะพราหมณ์..ราชคุรุเเห่งอิศวรปุระ

    ๒๒๒๒๒๒๒

     เปลวปลายเทียนในประทีปสำริดรายเรียงรอบฐานเเห่งองค์มหาสทาศิวะเเละองค์ศักติอุมาเทวียังคงพรายเเสงวิบวับ

    ..ตราบเท่าที่น้ำมันหอมในถ้วยน้อยยังรินอยู่มิให้ขาดพร่องโดยราชคุรุพราหมณ์ที่กำลังโปรยเครื่องหอมถวายเป็นพลีเเด่พระอัคนิเทพ

    เเม้ในอากัปกิริยาเเห่งผู้ทรงสมณะจักดูสงบสำรวมปานผิววารีเรียบนิ่ง..หากเเต่ลึกลงไปในหทัยนั้นกลับร้อนรุ่มมิต่างอันใดกับเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ในเตาเผาฉลุลายเบื้องหน้า..

    ..เเลเหตุเเห่งความเคืองขุ่นนั้น..ย่อมมาจากองค์กัมพูปตี ราเชนทรวรมัน..

    ภายในครรภคฤหะ..ห้องสวดอับทึบ มีเพียงเเสงเเดดรางไรลอดผ่านช่องว่างระหว่างชั้นศิลา..ดวงตาคู่คมทอดจับไปยังพระพักตร์อารีเเห่งองค์ไกลลาศนาถ..ประหนึ่งกำหนดจิตวิงวอน

    ….ขอทรงโปรดประทานโอกาสเเละอำนาจให้เเก่ข้าบ้างเถิด..

    มะลิขาวเเกมกลีบโกมุท..บัวเเดง ถูกซัดถวายเป็นเครื่องบูชาองค์พระศิวะเทพอย่างเร็วเเรง..ตามความคั่งเเค้นที่ซ่อนสุมอยู่ในหทัยของพราหมณ์หนุ่ม

    …เเม้นมิได้ศักดินาเเห่งขัตติยะเเล้วไซร้..ข้าจักขอเป็นใหญ่ในวงศ์พราหมณ์…

    เสียงกริ่งกำไลข้อบาทจากด้านนอก..ทำให้ร่างที่สงบนิ่งในอาภรณ์พิสุทธิ์จำต้องเร่งคลายโทสะจริตที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจเมื่อครู่..ให้สงบสำรวมดังกิริยา

    “นึกว่าผู้ใด..ที่เเท้ก็ท่านราชคุรุนี่เอง”

    วรองค์ทรงสีเงินยวงระยับ ย่างบาทยุรยาตรบนพื้นศิลายะเยียบ ก่อนที่จักทรุดองค์ลงประทับนั่งเคียงข้าง
    ..ยัชญวราหะพราหมณ์..ผู้เป็นทั้งอดีตพระสหาย เเละ คุรุ

    ในห้องสวดเเคบ..มีเพียงสองร่างที่อยู่ชิดเคียงกัน..ต่อเบื้องพระพักตร์องค์โลกนาถเเละเทวีปราวตี

    ท่ามกลางความเงียบเชียบจนเเทบจักได้ยินเสียงหทัยของทั้งสองโลดเเล่นระรัว…

    สุรเสียงสาวใสจึ่งตรัสเอ่ยขึ้น

    “ข้านำพวงบุปผา..มาถวายองค์มเหศวร”
    ทรงตรัสเบา..พลางประคองพวงมาลาไว้ในหัตถ์อย่างทนุถนอมยิ่ง

    “ทรงส่งมาเถิด ข้าจักนำไปคล้องถวายที่พระกร.”

    ฝ่ามือเรียวยื่นมาหมายจักรับมาลัย..จึงสัมผัสกับหัตถ์น้อยที่ประคองพวงผกาอยู่ด้านล่างอย่างมิได้ตั้งหทัย..

    วงพักตร์งามละมุนพลันเป็นสีชาด..คล้ายกับปลายนิ้วเรียวลำเทียนของราชคุรุพราหมณ์ร้อนรุ่มราวกับเปลวประทีปสำริด

    ..หากจักแผกกัน..ตรงที่ในความอุ่นนั้นเเฝงไว้ด้วยเเรงเเห่งสิเน่หาที่ทอดผ่านดวงเนตรคมคู่นั้น..

    มิใช่เพียงเเต่เยาวธิดาจักทรงประหม่าเเต่พระองค์เดียว..ในหทัยของยัชญวราหะพราหมณ์ก็พลอยป่วนปั่นหวั่นไหวเช่นกัน…

    ประหนึ่งมีมนต์สะกดมิให้ฝ่ามือเรียวที่ประคองหัตถานั้นปล่อยคลายออก..ดาลดลให้กระเเสหนึ่งเเทรกผ่าน ณ กลาง ฤทัย

    ในความอบอุ่นปานรัศมีเเห่งตะวัน..เเฝงความอ่อนหวานนุ่มนวลดังเเสงจันทร์..

    เฉกนี้..หากผู้ใดได้สัมผัสความละมุนเเห่งสิเน่หา.. ก็ยากนักที่จักลืมเลือน..

    “ข้ารักพระองค์..ทรงเชื่อเถิด..”
    “ต่อเบื้องพระพักตร์เเห่งองค์เทวะ..คำข้าย่อมเป็นสัตย์”

    มิมีเสียงตรัสตอบ..หากเเต่ปรากฏเพียงรอยสรวลเเย้มบางบนวงพักตร์ระเรื่อ..

    พระเนตรสวยทอดจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่คม..ในเเววเนตรฉาบฉายความยินดียิ่งนัก

    …ทรงปรีติเเละประหม่าจนมิอาจหาญตรัสเอ่ยความนัยพระทัย ณ เพลานี้ได้หมด.

    .นอกเหนือจากคำน้อยเเผ่วเบา..เป็นคำสั้นสี่คำ…

    “ข้าก็เช่นกัน….”

    “..ข้าขอสาบานเบื้องพระพักตร์เเห่งองค์มเหศวร..ว่าเเม้นวันใด..ที่ข้าทรยศต่อสัจจา..ที่ถวายให้พระองค์เเละราชธิดาชาณวีร์..เมื่อนั้น...ทรงโปรดลงทัณฑ์ให้หทัยของข้าถูกเปลวเพลิงเเห่งความทุกข์โทมนัสเเผดเผาผลาญ

    ..ทนทุกข์ทรมานไปจนชั่วชีวิต..”

    เสียงทุ้มห้าวกังวาลทั่วทั้งครรภคฤหะ..ประหนึ่งเอ่ยคำสัตย์ถวายองค์มหาเทวะให้ทรงเป็นพยาน

    ในพระพักตร์อันอารีเเห่งพระมเหศวร..คลับคล้ายกับมีรอยสรวลเเย้มยวนท้าทาย

    …ข้าจักรอดู..อันวาจาสัตย์ที่เจ้าให้ไว้…จักหนักเเน่นเฉกศิลาดังว่า..ฤาไม่…

    ***

    “ พระธิดาทรงประทับอยู่ในห้องสวดเพคะ”

    รตีนางพระกำนัลน้อยถลาลงทรุดกายหมอบกรานขวางทางเสด็จขององค์วรมัน..

    “ข้ารู้เเล้ว..”

    วรองค์สูงจำต้องชะงักบาทที่สาวเร่งมาอย่างมิพอพระทัย..ก่อนที่จักตรัสตอบห้วนสั้น..

    “.พระธิดาชาณวีร์ทรงสั่งไว้มิให้ผู้ใดเข้าเฝ้า ในเพลานี้เพคะ..”

    “บังอาจนัก..ข้าเป็นถึงองค์กัมพูปตี เเล้วไยจักต้องเชื่อคำบัญชาของนางด้วยเล่า..”

    สุรเสียงกราดกริ้วฉุนเฉียว..ตรัสตวาดพลางทอดสายเนตรดุดันยังร่างของนางพระกำนัลน้อยอย่างพิโรธยิ่ง ทำให้ร่างบางสั่นเทิ้มลนลาน ขยับกายหลีกทางให้ทรงเสด็จผ่านเเต่โดยดี

    “ขออภัยเพคะ..พระธิดา”

    นางนั้นเอ่ยเบา ๆ ราวกับจะกล่าวกับสายลมรำเพยเเผ่ว
    พริ้ว..ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวลยิ่งนัก

    ๓๓๓๓๓๓๓๓

    ชวาลาดวงน้อยรายทางในระเบียงเเคบ..สาดส่องพอให้เห็นทางหินเบื้องหน้าสลัวราง..ทอดยาวไปสู่ห้องสวดที่อยู่ชั้นใน

    ..เเสงสว่างจากประทีปด้านในทำให้ทรงทราบได้ว่ายังมีผู้ที่อยู่ในครรภคฤหะศิลานั้น

    หากก่อนที่จักสาวพระบาทถึงที่หมาย จักต้องเสด็จผ่านเหลี่ยมมุมหนึ่งของภวาลัย..เเต่เมื่อทรงทอดพระเนตรเข้าไปในห้องน้อย..ถึงกับต้องทรงหยุดชะงักบาทโดยพลันพลางเเอบองค์หลังมุมหนึ่งเเห่งศิวาลัย

    ..ภาพที่ทรงทอดพระเนตรเมื่อครู่..คือ ..ร่างของบุรุษหนึ่งในอาภรณ์เเห่งพราหมณ์ เเนบชิดเคียงข้างกับวรองค์เเบบบางของราชนรีชาณวีร์

    ..ใต้พวงมาลากรองอันวิจิตร ยัชญวราหะพราหมณ์กำลังประคองหัตถาน้อยนิ่มเอาไว้อย่างทนุถนอม..ทอดตาสบสายเนตรงามอย่างร้อนเเรงลึกซึ้ง..

    “เกิดอันใดขึ้น..พระเจ้าข้า”

    ผู้โดยเสด็จตามมาชะโงกหน้าจากเหลี่ยมมุมศิลา..ครั้นทอดตาเเลตาม..จึ่งรู้ว่าองค์กัมพูปตีทอดพระเนตรอันใดมา

    หทัยเเห่งราชะปวดแปลบราวกับโดนกรีดเฉือน….เมื่อจำต้องทรงรับรู้ว่า

    ยัชญวราหะพราหมณ์..มิได้เเต่เพียงพวงมาลาที่ทรงใคร่ได้..เท่านั้น
    หากเเต่ยังเป็นผู้ครอบครองหทัยของราชนรีชาณวีร์..ที่ทรงสิเน่หา ..อีกด้วย

    ..หากเเต่ความหยิ่งทะนงในขัตติยะ..ผู้มิเคยพ่ายเเพ้ต่อผู้ใด..

    เเล้วไยจักต้องยอมให้..พราหมณ์หนุ่มน้อยอยู่เหนือหทัยของพระองค์…มิมีทาง

    “จักให้ข้ากำจัดมันหรือไม่.พระเจ้าข้า..”
    เสียงทูลกระซิบเเผ่วถามมาจากด้านหลังองค์

    “เจ้ามันเขลานัก…ยัชญวราหะพราหมณ์ได้ตำเเหน่งราชคุรุ ตั้งเเต่อายุได้ยี่สิบสอง เฉกนั้นจักต้องมีเชี่ยวชาญในวิทยาการทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง..มิเสียดายหรือหากมันจักต้องตายไปโดยเปล่าประโยชน์…”

    ผู้ตรัสเเย้มสรวลเหยียดเยียบเย็น…

    “ถ้าหากว่าข้ามีวิธีที่จักสามารถทำให้มันยอมสยบอยู่ใต้เบื้องบาทของข้า..ย่อมเป็นการดีกว่ามิใช่หรือ..ได้ทั้งพราหมณ์ผู้ทรงวุฒิ…เเละราชธิดาชาณวีร์มาครอบครอง”

    “เเล้วจักทรงทำเช่นไร”

    องค์กัมพูปตีมิได้ตรัสตอบความใด ประหนึ่งกำลังทรงใคร่ครวญความในหทัยให้เเน่วเเน่..

    “หากมันมิยอมเล่า…”

    ครานี้..ในสายพระเนตรเเห่งองค์ขัตติยะจึ่งปรากฏเเววเหี้ยมโหด..ดุดัน

    “ไว้ถึงเพลานั้นค่อนสังหารมัน..ก็ยังมิสาย..”

    ..๓๓๓๓๓๓๓

    มีต่อ...

    จากคุณ : อชันฏา - [ 30 พ.ย. 46 09:37:24 ]