คนสุดท้าย

    คนสุดท้าย

    ยามเปลี่ยว ยามเหงา ยามเศร้า ยามกังวล ยามที่เราต้องการใครสักคน เรามักคิดถึงใคร? ใครบางคนที่คอยอยู่เคียงข้างเรา คอยช่วยเหลือเรา คอยเป็นไม้ค้ำจุนให้เรายืนขึ้นยามที่เราจะล้ม คอยเป็นบันไดให้เราเหยียบย่ำเพื่อให้เราก้าวขึ้นไป คอยห่วงใย ให้กำลังใจ ไม่ว่ายามใด แต่แล้วทำไมเวลาที่เรามีความสุขเราจึงลืมเขาไป ทำไมเราจึงต้องนึกถึงเขาเป็นคนสุดท้าย

    ในรั้วมหาวิทยาลัย รั้วที่เต็มไปด้วยความฝันของเด็กวัยระเริง เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ พื้นที่เต็มไปด้วยนักศึกษา เด็กๆที่หลงระเริงกับสิ่งยั่วยุรอบๆตัว ราวกับแมลงเม่าที่หลงระเริงกับความงดงามส่องสว่างของเปลวไฟ กรณาธิปเด็กหนุ่มนักศึกษาน้องใหม่คนหนึ่งนั่งจับกลุ่มพูดคุยกับเพื่อนๆ เช่นเดียวกับนักศึกษาคนอื่นๆทั่วไป ที่มักใช้เวลานับชั่วโมงหมดไปกับการพูดคุย กรณาธิปกำลังพูดถึงงานวันเกิดของเขาที่กำลังจะมาถึงนี้ เขาชักชวนเพื่อนๆไปเที่ยวด้วยกัน แน่นอนเพื่อนเขาตกลงเป็นแน่ หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน กรณาธิปเองก็กลับไปเช่นกัน

    เขาพักอยู่ที่หอพักแห่งหนึ่ง เนื่องจากบ้านของเขาอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยมาก เขาจึงขอพ่อกับแม่ของเขามาพักที่หอพัก แต่ด้วยความเป็นห่วงพ่อแม่เขาจึงขออย่างน้อยเดือนละครั้ง ให้กลับไปหาพ่อแม่ที่บ้าน ซึ่งก็ตรงกับวันนี้ วันศุกร์แรกของเดือนเป็นวันที่เขาจะต้องกลับไปที่บ้าน บ้านของกรณาธิปเป็นบ้านที่มีฐานะปานกลาง พ่อของเขาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมักมีงานยุ่งรัดตัว บางวันต้องกลับบ้านเที่ยงคืนด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็เป็นพนักงานบัญชีเลิกงานตรงเวลา เมื่อกรณาธิปกลับมาถึงบ้าน แม่ของเขาก็มักจะเตรียมกับข้าวไว้พร้อม วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากเดินเข้าไปในซอย เขาก็หยุดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ธรรมดา ไฟในบ้านส่องสว่างแปลว่าแม่ของเขาอยู่ข้างในแน่นอน เขาหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูบ้าน ค่อยๆเดินเข้าไปข้างใน แล้วเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นวางสัมภาระทั้งหลายกองเอาไว้ แล้วเข้าไปยังห้องครัว

    ร่างๆหนึ่งกำลังจัดเตรียมอาหารเย็นอย่างขะมักเขม้น ร่างที่คุ้นเคย รูปร่างผอมบาง ผมยาวที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย บ่งบอกถึงลักษณะของเจ้าของร่างนั้น “แม่ครับ” เขาเรียก ร่างที่ถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกลับมามอง “ลูกกร!” ร่างของผู้เป็นแม่วิ่งเข้ามาโอบกอดลูกรักด้วยความห่วงใย พร้อมพาเขาไปนั่งด้วยกลัวว่าเขาที่พึ่งเดินทางกลับมาคงจะเหนื่อย แล้วจึงนำน้ำเย็นมาให้ ทั้งสองนั่งทานข้าวด้วยกัน ไม่ต้องรอผู้เป็นพ่อ ไม่เช่นนั้นแล้วกว่าจะได้ทาน จากข้าวมื้อเย็นคงกลายเป็นข้าวมือดึกอย่างแน่แท้ ทั้งสองนั่งทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข ผู้เป็นแม่ก็ได้สอบถามสภาพความเป็นอยู่ เพื่อนๆ การเรียน หลังจากที่ทานเสร็จกรณาธิปก็ช่วยเก็บจานชามไปล้าง แล้วมานั่งสนทนากับผู้เป็นแม่ต่อที่ห้องนั่งเล่น กระทั่งเวลาประมาณสามทุ่ม ประตูบ้านถูกเป็นออก ปรากฏร่างชายวัยกลางคน ค่อยๆเดินเข้ามาในบ้าน เขาใส่แว่นหนาเตอะ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย ผมสีขาวโพลน หิ้วเอก-สารเดินเข้ามาในบ้าน กรณาธิปเข้าไปสวัสดีผู้เป็นพ่อ พร้อมนั่งคุยกัน ถามไถ่ทุกข์สุข กระทั่งพ่อของเขากล่าวถึงงานวันเกิด ที่จะพาพวกเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน กรณาธิปเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะบอกกับพ่อเขาว่า เขาได้นัดกับเพื่อนไปแล้ว แว่บหนึ่งที่เขาเห็นแววตาของพ่อและแม่เขาเศร้าหมองลง พ่อเขาอยากจะต่อว่าเหลือเกิน ทั้งๆที่นานๆทีจะได้เจอกัน ทำไมแทนที่จะมาอยู่กับครอบครัว กลับไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนๆที่ได้เจอกันทุกวัน แต่ด้วยแม่ของเขาได้ห้ามเอาไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่าไหนๆลูกก็โตแล้ว ให้ได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร

    และแล้วยามเย็นนั้นก็เริ่มมืดค่ำลง ทั้งสามคนแยกย้ายกันไปนอน ยามเช้ามาถึงแสงแดดอ่อนๆเรืองรอง พาดผ่านลงมาจากฟากฟ้าที่ค่อยๆไล่สีสดขึ้นมา พ่อแม่ของกรณาธิปก็ต้องเร่งรีบออกไปทำงานหลังจากรับประทานเช้า จากนั้นไม่นานนักกรณาธิปตื่นขึ้นมาพบโน้ตของพ่อแม่เขาว่าออกไปทำงานแล้ว เขาชินชากับเรื่องแบบนี้ซะแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่มัธยม วันนี้เขาไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ กระทั่งถึงเย็น พ่อของเขาเลิกงานเร็วกว่าปกติทั้งสามจึงได้นั่งทานข้าวเย็นร่วมกัน เช้าวันอาทิตย์แม่ของกรณาธิปได้ช่วยเขาจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับหอพัก พ่อของเขาได้ขับรถพาไปส่ง

    วันเวลาผ่านไปเมื่อถึงวันเกิดของเขา เขาและเพื่อนๆได้ไปเที่ยวด้วยกันตามสถานต่างๆ ท่ามกลางแสงสีระเริงตา เมื่อเขากลับบ้านเขาก็พบกับข้อความที่ฝากไว้ในโทรศัพท์ “ลูกกร สุขสันต์วันเกิดนะลูก” เสียงของผู้เป็นแม่ แต่ด้วยเขารู้สึกเหนื่อยอ่อนจากการเที่ยว และตระเวนซื้อของกับเพื่อน เขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับข้อความนั้นเลย แล้วเขาก็เผลอหลับไป จากนั้นไม่กี่อาทิตย์ทางมหาลัยได้ประกาศวันหยุดยาว กรณาธิปไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกให้กลับบ้านแน่ๆ เขาได้วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวสวนสนุกกับเพื่อนในวันแรก วันต่อมาก็จะไปซื้อของ แล้วก็วางแผนถึงวันต่อๆไป แต่พอเขายกโทรศัพท์เพื่อโทรไปหาเพื่อน เขากลับพบกับการฝากข้อความ เขาโทรไปหาเพื่อนอีกคนแต่ก็พบเช่นเดียวกัน ปกติเพื่อนเขาไม่น่าไปไหนตอนนี้นี่ เขาไล่โทรทีละเบอร์ กระทั่ง… “ฮัลโหล” เขาดีใจอย่างมากที่ยังมีเพื่อนที่ยังอยู่ที่บ้านอยู่ เขาถามถึงเพื่อนคนอื่นๆ แต่แล้วเขากลับพบกับความเสียใจสุดๆ เพื่อนคนอื่นๆได้พากันไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันหมดแล้ว เหลือเพียงเพื่อนคนนี้ที่ติดเรียนพิเศษ

    เขาไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่อง ทำไมทีวันเกิดเขาเขายังชวนพวกนี้ไป แล้วทำไมครั้งนี้เพื่อนๆถึงไม่ชวนเขา? ทำไม ? เขาเฝ้าถามตัวเอง เขาลองโทรไปหาเพื่อนคนอื่นๆเผื่อมีใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหน… เปล่าประโยชน์ ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน เขารู้สึกเปล่าเปลี่ยว รู้สึกเหงา รู้สึกเดียวดาย ไม่เข้าใจ กังวล ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จากสีฟ้าใส ก็เริ่มหม่นหมอง แสงแดดเริ่มทอแสงเป็นสีส้ม แต่เมฆดำก็ค่อยๆเลื่อนตัวเข้ามาปกปิด อากาศเริ่มเย็นลง ลมเย็นถูกพัดมาปะทะตัว เม็ดฝนค่อยๆตกลงมาปะทะพื้นดิน เขานั่งอยู่คนเดียวในห้อง เขาเหงา เขาต้องการใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน…

    กรณาธิปค่อยๆหลับตาลง “ลูกกร สุขสันต์วันเกิดนะลูก” ทำไมอยู่ๆคำๆนี้ก็ลอยขึ้นมาในหัวเขา ทั้งๆที่ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจเลย “ลูกกร สุขสันต์วันเกิดนะลูก” ยังคอยลอยวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เขารู้สึกอบอุ่น และมีความสุขกับคำๆนี้เพียงคำเดียว เขาลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มาอีกครั้ง เขากดเบอร์ๆหนึ่ง “สวัสดีค่ะ” เขาเงียบไปสักพัก “ครับแม่” เขาตอบ แม่เขารู้สึกแปลกใจปกติเขาไม่เคยโทรไปหาเลย ทำไมวันนี้เขาจึงโทรมา ”เอ่อ.. เปล่าครับ ไม่มีอะไร เท่านี้นะครับ” เขาวางโทรศัพท์ลง เขารู้สึกว่าตัวเองงี่เง่า ไม่มีใครให้โทรหาแล้วก็เลยโทรหาแม่อย่างนั้นหรือ แต่การที่เขาได้พูดกับแม่ รวมทั้งอันเสียงอ่อนโยนเสียงของแม่เขา มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกเพลียกับวันๆนี้แล้วก็หลับไป ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ฝนยังคงตกต่อไป

    “แม่ครับ กรณาธิปหมายความว่าอะไรหรือครับ?” “กรณาธิปน่ะหรือจ๊ะ กรณาธิปน่ะหมายถึงใจ ซึ่งก็คือส่วนที่สำคัญที่สุดของชีวิต ก็เปรียบเสมือนกับลูก เพราะลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ก็คือที่สิ่งสำคัญของพ่อแม่ยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นพ่อและแม่ก็ย่อมรัก และห่วงใยลูกเสมอ ลูกเองก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดี อย่าให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงนะ” …. ติ๊งต่อง! เสียงออดในห้องเขาปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากความฝัน ไม่สิ มันไม่ใช่แค่ความฝัน แต่มันเป็นเรื่องสมัยตอนที่เขายังเป็นเด็กๆอยู่ ทำไมอยู่ๆเขาถึงฝันถึงเรื่องนี้นะ เขาค่อยๆลุกไปเปิดประตู

    !!! ร่างที่อยู่ต่อหน้าเขา... ใบหน้าซีดเซียว เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน “แม่ครับ!” เขารีบพาแม่เข้ามานั่ง แล้วหาผ้ามาให้แม่เขาเช็ดตัว เขารีบถามแม่เขาอย่างกังวล แม่มานี่ทำไม ทำไมถึงมา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วทำไมไม่เอาร่มมาด้วย คำถามต่างๆผุดขึ้นมาในหัว แต่สิ่งที่เขาได้รับฟังกลับมากลับทำให้คำถามทั้งหมดหยุดลง “อยู่ๆลูกก็โทรมา มีเรื่องรึเปล่า แม่เป็นห่วงนะ” เขานิ่งสักพัก แล้วโผเข้าไปกอดแม่ น้ำใสๆไหลรินลงมาจากตา พร้อมคำขอโทษมากมายที่ขึ้นมาแทนในใจ “ผมขอโทษ ผมรักแม่ครับ” สายฝนยังคงกระหน่ำเทลงมา ท้องฟ้ามืดสนิทลง อากาศเริ่มเย็นลงมาอีก แต่เขาทั้งสองกลับรู้สึกอบอุ่นไปด้วยความรัก ความผูกพันธ์

    ยามเปลี่ยวเหงาต้องการใครสักคน ใครเล่าทนปลอบเราไม่หนีหาย
    ใครเล่าอยู่กับเราจนวันตาย ไม่เสื่อมคลายความรักมีต่อเรา
    ใครที่คอยดูแลเอาใจใส่ ไม่มีใครที่ไหนดีเช่นเขา
    ใครที่คอยห่วงใยในตัวเรา ยามเราเศร้านึกถึงท่านคุณมารดา


    -2544-

    ------------------------------------
    นี่ก็งานส่งครูวันแม่ (รู้สึกว่าเราจะเขียนต่อเมื่อครูสั่งจริงๆแฮะ)

    จากคุณ : cain - [ 30 พ.ย. 46 09:46:43 A:168.120.12.149 X: ]