*~*สุรางคศิลา*~*(ตอนอวสาน)

    บทนำเเละตอนที่๑

    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2499541/W2499541.html
    ตอนที่๒
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2522286/W2522286.html
    ตอนที่๓
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2539345/W2539345.html
    ตอนที่๔
    http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2561691/W2561691.html
    *****
    ตอนที่๕…

    “เสด็จพ่อ..ข้ามิยอม”

    สุรเสียงสาวใสของวรองค์เเบบบาง ตรัสขึ้นดังก้องทั่วทั้งตำหนักน้อยอย่างตระหนกหทัย

    ..สายเนตรเเสดงความขุ่นเคืองยิ่ง ทันทีที่ทรงทราบว่า..
    จักต้องอภิเษกด้วยองค์กัมพูปตีที่ทรงเเสนชิงชัง..ในวันพรุ่งที่กำลังจักมาถึงในอีกมิกี่สิบชั่วยามข้างหน้า..

    “อย่างไรเสีย..เจ้าก็จักต้องอภิเษก หาไม่เเล้ว..อิศวรปุระจักต้องลุกเป็นไฟ”

    ผู้พระบิดาก็ทรงครุ่นเครียด..ด้วยหทัยหนึ่งก็ยังทรงสงสารพระราชธิดา..ในขณะที่อีกครึ่งก็ทรงห่วงใยในบ้านเมืองของพระองค์เช่นกัน

    “ผู้ใดกัน..เป็นผู้นำความนั้นมาเเจ้งเเด่พระองค์เพคะ..”

    วรองค์บางระหงตรัสเอ่ยถาม..สีพระพักตร์ละมุนยามนี้พลันสลดซีดเผือด

    “ราชคุรุ ยัชญวราหะพราหมณ์พึ่งกลับมาจากเข้าเฝ้า
    ที่ยโสธระธานี..เเล้วในวันพรุ่งองค์วรมันจักเสด็จมาที่นี่..”

    เพียงทรงยินนามเเห่งบุรุษที่ทรงสิเน่หา
    …ราวกับมีประกายเทียนปรากฏในความสับสนมืดมนภายในพระทัย
    ..ทรงเชื่อมั่นว่า..ยัชญวราหะพราหมณ์ผู้เป็นที่พึ่งสุดท้าย..จักต้องช่วยพระองค์ได้เป็นเเน่..

    “เสด็จพ่อ..มิว่าอย่างไรข้าก็มิขออภิเษกด้วยองค์วรมันผู้กระหายสงคราม.เพคะ”

    “เเล้วอิศวรปุระเล่า…จักทำเช่นไร..เจ้าก็เเจ้งเเก่หทัยดีมิใช่หรือว่า.พระนิสัยเเห่งองค์กัมพูปตีเป็นอย่างใด..มีหรือจักทรงยอม..”

    “เเต่….” สุรเสียงใสของพระธิดาเตรียมจักเอ่ย หากเเต่ถูกชิงตรัสตัดความ

    “นี่เป็นคำสั่งข้า..เจ้าจักต้องยอมอภิเษกกับพระองค์..มิมีข้อเเม้อื่นใด”

    คำตรัสเเห่งองค์พระชนกชรา..บังคับเฉียบขาด..เมื่อทรงเอ่ยโอษฐ์ออกมาเเล้วมิมีคืนคำ..

    “จงเห็นเเก่อิศวรปุระ เถิด..ชาณวีร์”

    พระชนกนาถทรงตรัสพลางหันองค์เสด็จกลับโดยมิทรง
    เหลียวเเลพระราชธิดาที่อยู่เบื้องหลัง ด้วยมิปราถนาจักทอดพระเนตรร่างบางที่ทรุดองค์ลงบนพื้นพรมอย่างหมดอาลัย

    …ด้วยเกรงพระทัยจักอ่อนคลายลงด้วยความสงสาร..

    …อย่างไรเสีย…อิศวรปุระต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด..เเม้เเต่หทัยของพระธิดา..

    ครั้นลับวรองค์ของพระบิดา..ยุวเรศจึ่งซบพระพักตร์ลงบนหัตถ์น้อยอย่างวิตกกังวลยิ่ง.

    .ยามนี้ในพระทัย เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายที่พลุ่งพล่าน..จนยากจักระงับ

    ..จักมีหนทางหลีกเลี่ยงหรือไม่…หรือ ต้องจำใจยอม…

    เสี้ยวเเห่งความคำนึงนั้น
    ..พลันนึกถึงนามเเห่งราชคุรุ ยัชญวราหะพราหมณ์..

    ..บุรุษผู้เอ่ยฝากรักเเด่ข้า..ย่อมจักต้องมิยอมทนนิ่งดูดาย..

    เเล้ววรองค์อรชรก็พลันผุดลุกขึ้น…เร่งเสด็จออกไปนอกตำหนักน้อยโดยไว

    ..โดยมิใส่พระทัยว่า..ม่านเเห่งราตรีด้านนอกนั่นจักเริ่มโรยตัวมืดสนิทเพียงไร..

    ๕๕๕๕๕๕

    ศศิมณีเเห่งรัตติกาล..พรายเเสงนวลใยกลางหมู่ ดาราดูจักราเเสงลงในราตรีนี้ด้วยถูกบดบังด้วยหมู่เมฆาลอยล่อง..ที่เริ่มจักเกาะกันเป็นกลุ่มหนาทึบ..

    สายลมกรรโชกยะเยียบต้องฉวีนวลยะเยือก
    ..หากเเต่มิได้ทำให้ยุวองค์อรที่กำลังเร่งเสด็จสาวบาทลัดเลาะเร้นองค์ออกจากราชฐานในยามวิกาลจักย้อท้อรอรา..

    เเม้เเต่คมหนามในอุทยานก็ยังมิอาจทำให้ทรงหยุดชะงักบาทได้…โดยเบื้องบนมีเพียงเเสงจันทร์สลัวนำทาง

    ในความมืดเงาไม้ไหววูบโอนเอน…ส่งเสียงเสียดเอียดออดน่ากลัวคลับคล้ายกับเสียงกำศรวลไห้ของนางปิศาจ
    ..ยอดหญ้าพริ้วสะบัดไปตามลม หากเมิลมองเพียงผิวเผิน
    ก็ละม้ายหัวอสรพิษขยับโงนเงน..

    ..อุทยานน้อยที่เปรียบดั่งสวนสวรรค์ยามทิวาวัน..ยามนี้ช่างเเผกกันลิบลับ

    เมื่อทรงเสด็จผ่านพ้นเเนวโนทยาน…เบื้องพักตร์จึ่งปรากฏเป็นมรรคาสายสั้นโรยกรวดทอดยาวไปสู่ราชเทวาลัย.สลัวรางอยู่ใต้เเสงนวลจันทรา

    ..เส้นทางข้างหน้าก็ยังมิเห็น..เเม้ทอดพระเนตรไปด้านหลังก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมนอันธการ..

    ..เเต่ก็ยังทรงเลือกที่จักเร่งสาวบาทไปเบื้องหน้า
    ..ด้วยทรงเเน่พระทัยว่า..สิ่งที่ทรงเชื่อมั่นจักต้องเป็นไปตามที่ทรงดำริ..

    “..ยัชญวราหะจักต้องช่วยข้าได้เป็นเเน่…”
    เพลานี้ก็ทรงได้เเต่ ปลอบพระทัยของพระองค์เองเช่นนั้น..

    ๖๖๖๖๖๖๖๖๖

    เรือนน้อยในหมู่ไม้ข้างภวาลัยยังคงมีเเสงประทีป..
    เเสดงว่าพราหมณ์หนุ่มเจ้าของเรือนยังมิได้สู่ห้วงนิทราในราตรีนั้น..

    ร่างสูงสง่าเปลือยอกกว้างคร้ามคล้ำ..มีเพียงภูษาขาวพันรัดรอบเอวซ้อนทับด้วยผ้าไหมชายพู่เนื้อนิ่ม

    กำลังทอดตาอ่านทวนพระเวทในตำราบนตั่งเตี้ย..
    อากัปกิริยาภายนอกประหนึ่งว่าพราหมณ์หนุ่มกำลังตั้งใจ
    จดจ่อกับกองตำราใบลานนั้นเป็นอย่างยิ่ง..

    หาดเเต่ในหทัยนั้น..ร้อนรนวุ่นวายราวกับถูกไฟลนเผาผลาญ..

    ด้วยรู้เเน่ว่าความที่ตนทูลถวายกษัตริย์เเห่งอิศวรปุระ จักต้องนำความทุกข์โศกมาสู่พระทัยของยุวเรศชาณวีร์

    ..อนงค์นางเดียวที่ตนกำลังพยายามหักใจ..เลิกร้างเยื่อใยสิเน่หา เพื่อเเลกมาซึ่งความรุ่งโรจน์ในฐานันดรศักดิ์เเห่งพราหมณ์

    …คลับคล้ายกับมีลางประหลาดผุดขึ้นในห้วงคำนึง.
    .ว่าราตรีนี้..ราชธิดาชาณวีร์จักเสด็จมา..ทำให้ในภายในใจของพราหมณ์หนุ่มเริ่มกระวนกระวาย..ว้าวุ่น

    “คุรุ…ท่านยังมินอนอีกหรือ..”

    กุมารน้อยติสสะ..ขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ พลางเอ่ยถามอย่างห่วงใย

    “ข้ายังมิง่วง..”

    คำตอบห้วนสั้นจากผู้เป็นอาจาริยะทำให้ดรุณน้อยรู้สึกเเปลกใจ…อีกทั้งในดวงหน้าคมคายก็มิมีรอยยิ้มเเย้มดังเช่นเคย..

    ทว่าก่อนที่กุมารผู้เป็นศิตย์จักเอ่ยถามความใดต่อไป..
    พลันมีเสียงตบประตูไม้ริมซุ้มเเก้วด้านนอกตัวเรือนโดยเเรง..เป็นจังหวะเร่งกระชั้น..

    “ประเดี๋ยวข้าจักลงไปดู..ว่าผู้ใดมา”

    ติสสะกุมารถลาออกไปยังนอกชาน…ชะโงกหน้ามองออกไปยังนอกเรือน ครั้นเมื่อเห็นเค้าวงพักตร์นวลละมุนที่เคยคุ้นตา ก็พลันเอ่ยร้องขึ้นอย่างยินดี..

    “คุรุ..พระธิดาชาณวีร์เสด็จมา..

    เพียงยินพระนามนั้น…คุรุพราหมณ์ก็ถึงกับรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง..

    “อย่าให้พระองค์เสด็จเข้ามา…”

    คำสั่งกร้าวสั้น..ทำให้ดรุณน้อยพลันสะดุ้งถอยหลังออกมา..ด้วยสุ้มเสียงของคุรุในเพลานี้ดูเฉียบขาดผิดธรรมดา..

    “…ยัชญวราหะพราหมณ์..ท่านอยู่ข้างในนั้นใช่หรือไม่.
    .ข้ามีเรื่องร้อนใจนัก..”

    สุรเสียงใสจากด้านนอกเรือนตรัสร้องเรียกหาพลางพยายามใช้หัตถ์น้อยนุ่มฟาดตบลงไปบนบานประตูให้กระชั้นถี่ยิ่งขึ้น

    ..ทว่าก็ยังมิมีเสียงเอ่ยตอบจากผู้ที่อยู่ด้านใน…ประหนึ่งเจ้าของเรือนมิได้ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์…

    ลมราตรีเริ่มกรรโชกเเรงยิ่งขึ้น….จนวรองค์บางหนาวสั่นสะท้าน

    ..ทิวเเถวยอดหมู่ไม้ไหวโยกโอนเอนไปตามเเรงวายุ..พร้อมกับเสียงคำรามครางครืนมาจากฟากฟ้าเเดงเบื้องบน..

    “คุรุ…ฝนกำลังจักตก..”

    กุมารน้อยผู้ศิตย์ที่นั่งอยู่เคียงใกล้..หน้าดวงประทีปแก้ว..เปลวไฟวิบวับเต้นระริก..หากเเต่ใบหน้าคมเข้มของคุรุในเเสงสลัวรางยังเรียบเฉย.

    .ทอดตาอ่านตำรานั้นประหนึ่งจักสะกดทุกตัวอักษรให้จำเจนใจ..

    “รับพระธิดาให้เสด็จเข้ามาในเรือนเถิด…ข้างนอกลมเเรงนัก”

    ดรุณน้อยขยับกายจักผุดลุกขึ้นจากที่นั่งหน้าโคมประทีป…ขณะที่กำลังจักเร่งลุกขึ้นก็ต้องพลันหยุดชะงัก..เมื่อผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งนิ่งมานาน เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงเเข็งกร้าวดุดัน

    “หากเจ้ามิเชื่อคำข้า…ก็จงออกไปเเละมิต้องกลับเข้ามาในเรือนอีก..”

    ครานี้ดวงหน้ากลมเเป้นเจื่อนลงไปถนัดตา…ทว่ายังยืนละล้าละลัง

    “ดึกดื่นนักเเล้ว ไปนอนเสีย…”

    กุมารน้อยรีบทำตามคำสั่งโดยไว..ด้วยเกรงคุรุของตนจักโกรธกริ้วไปยิ่งกว่านี้

    ..ครั้นเมื่อลูกศิตย์รีบคลานถอยออกไปจากห้องเเล้ว..พราหมณ์หนุ่มจึ่งถอนหายใจยาว..ก่อนที่จักลุกเดินไปยังนอกชานอย่างช้าๆ ราวกับกำลังใคร่ครวญความที่อยู่ในใจ..

    …จักต้องทำอย่างใดดี.
    .นางจึ่งจักยอมอภิเษกกับองค์วรมัน…

    พิรุณโปรยเม็ดเเล้ว…..ทว่า เสียงตบประตูก็ยังคงดังเเข่งกับเสียงสายฝนที่กำลังกระหน่ำพร่างพรม

    “ยัชญวราหะพราหมณ์..เปิดประตูรับข้าเถิด..”

    “พระองค์มีกิจอันใด…จึ่งได้เสด็จมาถึงเรือนข้าในยามวิกาลเช่นนี้”

    คำเอ่ยทูลถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบจากผู้ที่อยู่นอกชาน…ทำให้วรองค์น้อยที่หนาวสั่นอยู่ข้างประตูไม้ใต้ซุ้มเเก้วเอ่ย ตรัสตอบไปอย่างร้อนรน

    “ก็เรื่องที่องค์วรมันทรงประสงค์จักอภิเษกกับข้า..ในวันพรุ่งพระองค์จักเสด็จมาที่นี่..ท่านช่วยข้าทีเถิด”

    “จักทรงอภิเษกกับองค์กัมพูปตี..ไยมิน่ายินดีเล่า”

    คุรุพราหมณ์หนุ่มเอ่ยทูลย้อนถาม..เเม้ว่าดวงหน้าคมเข้มในเเสงประทีปสลัวรางเรียบเฉย…หากเเต่ยอมฝืนซ่อนความเจ็บปวดแปลบไว้ภายในใจ

    “วัชระ…ไยเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น”

    สุรเสียงใสละมุนตรัสเอ่ยตัดพ้ออย่างเสียพระทัย…จนลืมไปว่าบุรุษที่ทรงตรัสด้วยเป็นคุรุของพระองค์

    “ข้ามีนามว่า ยัชญวราหะพราหมณ์..มิใช่ วัชระ ดังที่พระองค์ทรงเคยรู้จัก”

    “นี่เจ้าเป็นอันใดไป…ไยมิคิดจักช่วยข้า.เจ้าก็รู้ดีอยู่มิใช่หรือว่า ข้าหาได้สิเน่หาในองค์วรมันเเม้เเต่น้อย”


    “หากทรงอภิเษกกับองค์ราเชนทรวรมัน.มิช้าก็จักทรงรักเเละภักดีไปเอง..”

    “เจ้ายังรักข้าอยู่หรือไม่..เเล้วไยจึ่งปล่อยให้ข้าทุกข์ทรมานใจเช่นนี้”

    สุรเสียงตรัสปนกรรเเสงไห้..คร่ำครวญ..พลางทรุดองค์ลงกับบันไดพื้นศิลาหน้าเรือน..หยาดน้ำใสพร่างร่วงหล่นลงมาตามกิ่งก้านของซุ้มเเก้ว..เปียกปอนจนชุ่มโชกทั้งวรองค์

    ...วรองค์บางหนาวสะท้านยะเยือกเข้าถึงในหทัย..ที่พลันสลายลงด้วยความผิดหวัง..

    “เพลานี้มิเหมือนเมื่อคราวนั้นเเล้ว…โปรดเข้าพระทัยด้วย”

    ประโยคสั้นหากเเสดงความชัด..เพื่อตัดเยื่อใยสายสิเน่หาให้สะบั้นลงโดยไว..

    ..หากกระนั้น ผู้เอ่ยทูลก็ยังรู้สึกรวดร้าวมิเเผกกัน
    ..ทว่ากลบเกลื่อนด้วยสีหน้าเฉยชา..

    คราใดที่หทัยเผลอพ่ายโอนอ่อนตาม…พราหมณ์หนุ่มจักต้องพยายามเรียกสติกลับคืนด้วยกระเเสรับสั่งท้าทายขององค์กัมพูปตี

    ..เพียงเเค่นี้หากยังมิอาจตัดสายสิเน่หาที่มีต่อนางนั้นได้..เเล้วจักมีชัยเหนือข้าได้อย่างไรกัน..มิมีทาง !!”..

    “เสด็จกลับไปเถิด…ข้าคงมิอาจจักช่วยพระองค์ได้..”
    คำสั้นเอ่ยประหนึ่งขับไล่ไสส่ง..

    ราชนรีองค์น้อยทอดองค์อิงกับบานประตูไม้ขดวรองค์บางด้วยความหนาวเหน็บ..ปล่อยให้ธารใสจากปลายเนตรหลั่งรินอาบนวลปรางละมุนคละเคล้ากับหยาดวรุณโปรยร่วง

    ..มิมีคำตรัสใดเอ่ยออกมาจากโอษฐ์บางระเรื่อนอกจากเสียงกำศรวลสะอื้นครวญไห้..

    “ไหนเจ้าเคยเอ่ยวาจา ว่าจักรักข้ามิมีเสื่อมคลาย..”

    ร่างสูงในอาภรณ์พราหมณ์ทอดถอนหทัยยาว..พยายามฝืนใจให้หนักเเน่นปานหินผา..เเม้นจักพยายามก็เเสนยากเย็นยิ่ง..

    …หักอื่นฤาหักได้..ไยหทัยจึ่งสุดหัก..

    “อย่าทรงถือสาอันใดเลย..ครานั้นข้าอาจจักเอ่ย โดยยังมิได้ทันยั้งคิด”

    ประโยคสั้น..ราวกับมีดคมกรีดลึกลงในหทัยที่ร้าวรานให้ยิ่งเจ็บปวดยิ่งขึ้น
    ..วรองค์อรชรเอนอิงกับบานประตูอย่างสิ้นหวัง..พระพักตร์ผ่องเผือดซบลงบนขั้นบันไดศิลาอันหยาบเย็นชื้นด้วยละอองฝน กรรเเสงสะอื้นไห้เเข่งกับเสียงฟ้าคำรามครางครืน

    ..พลางฟาดหัตถ์น้อยทุบลงไปบนบานประตูโดยเเรงราวพายุกราดเกรี้ยว..เกษาสลวยเเผ่สยายยุ่งเหยิง

    “เเสดงว่าที่เจ้าเอ่ยออกมา ก็ล้วนเเล้วเเต่หลอกลวงข้าทั้งนั้นหรอกหรือ..”

    มิมีเสียงเอ่ยทูลตอบกลับ…มีเพียงเสียงพายุกรรโชกพัดหมู่ไม้..กรีดหวีดหวิว..สะท้านเข้าไปถึงหทัย

    “ตอบข้า.วัชระ..จงตอบข้ามา…”

    สุรเสียงสาวใสเริ่มเเห้งเเหบ..ปนสะอื้นโหยไห้..ตรัสถามคาดคั้นเอาความจริงจากบุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยฝากฝังรอยรักไว้ในหทัยของพระองค์..

    “ทรงกลับไปเถิด…ข้าคร้านจักตอบความใดกับพระองค์เเล้ว..”

    ประหนึ่งพราหมณ์หนุ่มจักเอ่ยตอบด้วยความหน่ายรำคาญ…ทว่าลึกลงไปในใจ..กำเเพงเเห่งความเข้มเเข็งกำลังถูกทำลายลงด้วยเเรงพายุรักที่ยังเหลือหลงอยู่..

    ..หากยังขืนอยู่ต่อไป..มิช้าคงจักต้องใจอ่อนเป็นเเน่..

    เเสงสลัวของโคมประทีบ..ทำให้วรองค์บางที่อยู่ด้านนอกบานประตูสามารถทอดพระเนตร..ร่างสูงอาภรณ์ขาวกำลังเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย..ในดวงหน้าคมเข้มเรียบเฉยเย็นชา มิมีเเม้เพียงสายตาที่จักเหลือบเเลมองมายังพระองค์..

    หยาดวรุณโปรยกระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย..เฉกเดียวกับน้ำใสปลายเนตรที่หลั่งรินจากหทัยที่ร้าวเเหลกสลาย..เมื่อความรักเเละหวังของพระองค์พลันถูกทำลายเพียงชั่วข้ามคืน..

    ***
    มีต่อ...

    แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 17:10:15

    แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 46 11:03:13

    จากคุณ : อชันฏา - [ 30 พ.ย. 46 10:03:55 ]