ธารณาธร

    ธารณาธร

    เสียงอาชาทะยานโผนฝ่าความมืดดังก้องไปทั่วป่า แม้จะรวดเร็วปานใดก็มิอาจบรรเทาความร้อนรุ่มในจิตใจของชายผู้บังคับบังเหียนนั้นได้ จิตใจของเขาทั้งรีบร้อนและว้าวุ่น หมายจะไปให้ถึงจุดหมายโดยไว
    ‘เวลากาลเหลือน้อยนัก หากกิจข้าจักต้องสำเร็จในเร็วไว’ รำพึงกับตนพลางสอดส่ายสายตาหาเส้นทางที่จะไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุดโดยมิได้แวดระวังภัยอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า
    วืด! ฉึก! ฮีร์~!!! ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าสู่ร่างสูงใหญ่ ยังผลให้ร่างนั้นร่วงลงจากอาชาที่กำลังตื่นกลัวกระแทกพื้นอย่างแรง ภาพเริ่มพร่าเลือน ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา
    “ไม่… ไม่… ข้าต้อง….” ความเงียบเข้าปกคลุมเมื่อสิ้นเสียงที่แผ่วหายไปพร้อมสติที่ดับวูบลง
    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    รัตนโกสินทร์ พ.ศ.2546
    “น้องครับๆ ช่วยมารวมตัวกันก่อนนะครับ” เสียงตะโกนของรุ่นพี่ที่ดังขึ้นแข่งกับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังสนั่นของรุ่นน้องเฟรชชี่ทั้งหลายที่กำลังตื่นเต้นกับการได้ลงสนามจริงเป็นครั้งแรก
    “น้องช่วยส่งหัวหน้าทีมมารับแผนที่และอุปกรณ์จากพวกพี่กันก่อนนะครับ” รุ่นพี่ปี 3 คณะวิทยาศาตร์ที่มีหน้าที่คุมน้องก็ยังคงตะเบ็งเสียงต่อไป แต่ก็เริ่มได้ผล เพราะเหล่าปีหนึ่งเริ่มเงียบลงบ้าง พร้อมจับกลุ่มฟัง
    “เฮ้ย! นุ! ฟังพี่เค้าพูดรึเปล่า เค้าเรียกหัวหน้าทีมไปรับอุปกรณ์แล้วนะ มัวแต่โม้อยู่ได้”
    “เออน่า ได้ยินแล้ว หูไม่หนวกซักหน่อยกำลังจะไปอยู่เนี่ย ผมขอตัวไปก่อนนะครับสาวๆ” หนุ่มนุ หรือภาณุ พิทยาธร โบกไม้โบกมือให้สาวๆก่อนเดินตามเพื่อนตัวสูงใหญ่ไปหารุ่นพี่
    “นี่ครับน้อง ทีมน้องเป็นเบอร์ 12 นะครับ พร้อมเมื่อไหร่ออกสำรวจได้เลย” รุ่นพี่กล่าวพร้อมส่งอุปกรณ์ให้
    “ขอบคุณมากครับ” นุกล่าวอย่างสุภาพ แล้วหอบอุปกรณ์ที่ได้รับแหวกผู้คนออกมา
    “มา เดี๋ยวเราถือเอง” วัชระเพื่อนตัวใหญ่ของภาณุพูดพร้อมดึงเอาถุงของพะรุงพะรังออกไปโดยไม่รอคำตอบ
    “Thanks ว่ะ”
    “จิ๊บจ๊อย ของพวกนี้ให้นายถือคนเดียวนะ รับรองไปไม่ถึงไหนแน่ ดูดิตัวก็เล็กอย่างนี้ กินบ้าง ออกกำลังกายบ้างเด่ะ”
    “ไรๆ หาเรื่องรึไง ก็ใครจะไปตัวใหญ่ยักษ์อย่างนายล่ะ” ร่างบางแหวกลับพลางคิดในใจ ใช่สิ คนมันตัวเล็กนี่ เล็กมาแต่กำเนิดด้วย จะกินจะออกกำลังกายยังไงมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก
    “มัวแต่คิดอะไรอยู่นุ รีบไปได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวถึงที่ตั้งเต็นท์มืดพอดี” วัชระพูดพร้อมเร่งร่างบางให้ออกวิ่งไปตามลูกทีมก่อนไปตามเส้นทางสำรวจทันที
    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    สายลมเย็นพัดต้องผิวกาย ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดลงเหลือเพียงแสงจากจันทร์และหมู่ดาวที่ยังคงส่องสว่าง กองไฟที่จุดไว้หน้าหมู่เต็นท์เริ่มมอดลงเรื่อยๆพร้อมกับฟืนที่กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างช้าๆ ณ เวลานี้ ทุกคนต่างหลับสนิท ล่องลอยไปตามสายธารแห่งฝัน เหลือเพียงหนึ่งที่ยังคงชื่นชมและดื่มด่ำในความงดงามของธรรมชาติ ค่ำคืนกลางป่าอันเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงของเหล่าแมลงตัวเล็กๆ ลมหวีดหวิวพัดผ่านยอดไม้ ช่างเป็นบรรยากาศอันสงบนักในความคิดของภาณุ เขาพลิกตัวไปปิดตะเกียงเล็กๆในเต็นท์ก่อนจะล้มตัวนอนลง ขณะที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับนั่นเอง ท่วงทำนองเศร้าสร้อยก็แว่วเข้าสู่โสตประสาท ชวนให้ค้นหาผู้ขับขานบทเพลงนี้ยิ่งนัก ภาณุดังตกอยู่ในภวังค์แห่งเสียงเพลง กว่าจะรู้สึกตัวอีกที เท้าของเขาก็พามายังป่าลึกเสียแล้ว เบื้องหน้านั้นปรากฏร่างชายผู้หนึ่งนั่งพิงอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ดวงตาปิดสนิท หากยังคงขับขานบทเพลง
    ”นิราศเอยจำจรจำนรจาก จำต้องพรากน้องยาน่าใจหาย
    เหลือพี่อยู่ผู้เดียวแสนเปลี่ยวกาย เพียงมลายสลายสิ้นทั้งชีวี
    ต้องโดดเดี่ยวเปลี่ยนฤทัยในไพรกว้าง มิรู้ทางวิถีจรพบยาหยี
    ฟ้าอับแสงมิรู้กาลแม้วันปี แต่จิตพี่ยังคงร่ำพร่ำถึงนาง
    ภาพน้องยาอยู่สนิทแนบชิดใกล้ ยังคงติดตรึงใจไม่รู้สาง
    โอ้จากน้องจากจิตจากนวลปราง หอมนวลน้องหอมจางลางเลือนไป
    อยากขอเพียงอีกครั้งหนึ่งได้ใกล้ชิด อยากจะขอเพียงเสี้ยวนิดได้ชิดใกล้
    ขอแค่เพียงได้เห็นหน้ายอดดวงใจ ขอเทพไท้…”
    เนิ่นนานกว่าเจ้าของบททำนองจะรู้สึกถึงการเข้ามาของบุคคลอีกผู้หนึ่ง เสียงขับขานชะงักลง พร้อมกับสายตาคมที่เปิดขึ้น จับจ้องเข้าไปภายในดวงตาสว่างใสของภาณุ ยังความประหลาดใจให้กับทั้งคู่ยิ่งนัก ผู้หนึ่งสงสัยระคนแปลกใจกับบุคคลตรงหน้าในชุดโบราณประหลาดตา อีกผู้หนึ่งก็แปลกใจที่ได้พบกับเด็กหนุ่ม นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบมนุษย์ผู้ใด หากแม้จะพบก็กลับไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เมื่อคนเหล่านั้นไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของตัวเขา แล้วเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ล่ะ…
    “เอ็งเป็นใคร” เสียงห้าวผิดกับยามที่ครวญเพลงเมื่อครู่ดังมาจากชายหนุ่มผิวคล้ำ ร่างกำยำเต็มไปด้วยรอยสัก ผมสั้นกุดทรงปีก และเครื่องแต่งกายแบบไทยโบราณ
    “เอ่อ… ผม… ผมเป็นนักศึกษาที่มาสำรวจที่นี่ครับ บังเอิญได้ยินเสียงเพลงก็เลยเดินมาดู”
    “เอ็งเห็นข้า เอ็งได้ยินเสียงข้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อย้ำความมั่นใจให้กับตนเอง
    “ครับ? ก็…เห็นนี่ครับ” ภาณุตอบอย่างไม่เข้าใจ หากอีกฝ่ายกลับไม่ใส่ใจในคำตอบเท่าใดนัก ขณะนี้ในใจนั้นเขาเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวัง การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มตรงหน้าดุจดังหยดน้ำที่หยดลงสู่โคนต้นไม้ที่แห้งผาก คนนี้ๆสามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของเขา รับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของเขา หากชะตาเขายังมีทางให้ทอดยาวออกไป เด็กคนนี้แหละที่จะพาเขาออกเดินไปสู่จุดหมายแห่งปลายทางนั้น
    “แล้ว… คุณเป็นใครหรือครับ มาทำอะไรมืดๆคนเดียว” ภาณุเริ่มเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างด้วยความสงสัยใคร่รู้
    “ข้าคือขุนสัจจาภักดี มหาดเล็กในพระเจ้าตาก”
    “เฮ้~ คุณ! อย่าล้อเล่นสิ ผมถามดีๆนะ แล้วแต่งตัวอย่างนี้จะไปเล่นละครที่ไหนรึไง”
    “ใยข้าจักต้องล้อเอ็งเล่น ข้าพูดจริงทำจริง มิเคยเอื้อนเอ่ยวาจาเท็จอันใด แลการแต่งตัวข้าไม่เป็นเยี่ยงในการละคอนใด” สิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวสร้างความหวั่นใจแก่ภาณุอย่างมาก ที่จริงเขารู้สึกเสียวสันหลังตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาบริเวณนี้แล้ว การแต่งกายและคำพูดของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำเขาหวั่นมากขึ้น แต่คนอย่างภาณุ พิทยาธรไม่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว
    ‘ไม่น่ะ~ อาจจะเป็นคนที่บ้าประวัติศาสตร์มาก หรือรุ่นพี่ที่คิดจะแกล้ง ไม่ก็คนสติไม่เต็มแหง ถ้าเป็นวิญญาณก็ต้องตัวโปร่งแสงสิ เอ… จะว่าไป ดูดีๆมันก็โปร่งนา… ไม่หรอกตอนนี้มันมืดดูไม่ค่อยออกหรอก อย่าคิดมากสิ วิญญาณน่ะก็ต้องลอยได้เท้าไม่ติดพื้นใช่มะ… ไม่ติด… ไม่ติด… ไม่…’ ภาณุมองไปยังเท้าของชายตรงหน้า พร้อมความสับสนในสมองตนเอง ‘เท้าไม่ติดพื้น’ ‘ใช่ ไม่ติด’ ‘ไม่ติดก็หมายความว่า…’
    “ผีหลอก!!!!!!!!!!!” คิดได้ดังนั้นภาณุก็รีบเผ่นจากไปทันที หากแต่คิดหรือว่าแค่วิ่งแล้วจะหนีผีได้
    “แฮ่กๆๆ” ภาณุวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมายังบริเวณที่พัก พลางคิดในใจ
    ‘นี่เราเข้าไปในป่าลึกขนาดนี้เลยหรอเนี่ย วิ่งซะแทบแย่’ หลังจากพักเหนื่อยสักครู่ ก็เงยหน้าหน้าแล้วก้าวเดินต่อไป แต่…
    “ใยเอ็งจึงวิ่งหนีข้า” ภาพชายหน้าคร้ามเข้มปรากฎขึ้นตรงหน้า หน้าตาที่ปกติดูโหดอยู่แล้ว มาทำหน้าเครียดอย่างนี้หน้ายิ่งดูน่ากลัวขึ้นเป็นร้อยเท่า ภาณุที่พึ่งผ่านการวิ่งด้วยสถิติความเร็วที่สูงที่สุดในชีวิต แทบจะหัวใจวายอยู่ซะตรงนั้น พลางนึกว่าตัวเองที่ไม่เคยจำบทสวดอะไรได้เลย ทีนี้จะทำยังไงดี
    “ข้ารู้ เอ็งกลัวที่ข้าเป็นวิญญาณ หากข้ามิได้ทำอันตรายอันใดแก่เอ็งมิใช่รึ” ภาณุฟังไปพลางคิดตามไป ‘มันก็จริงล่ะนะ’
    “ข้าเพียงอยากให้เอ็งฟังเรื่องของข้า จักได้หรือไม่” ขุนสัจจาภักดีพยายามเอ่ยอย่างเป็นมิตรที่สุด แม้ภาณุจะไม่รับรู้ถึงความเป็นมิตรนั้นก็ตาม แต่ก็จำใจฟัง กระทั่งได้ความมาว่า ขุนสัจจาภักดี เป็นมหาดเล็กในพระเจ้าตากสิน วันหนึ่งได้รับคำสั่งให้ติดตามพระยาสรรค์ไปอยุธยาเพื่อตรวจสอบข่าวลือ และการก่อการกบฏ แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับพวกกบฏ และจะยกพวกมาปล้นพระราชวัง ขุนสัจจาภักดีจึงรีบควบม้านำข่าวมาบอกแก่พระเจ้าตาก แต่ระหว่างการเดินทาง ถูกดักฆ่าโดยพวกโจรป่าซะก่อน วิญญาณจึงมีห่วงไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้
    “แล้วคุณมาบอกผมทำไมหรือครับ”
    “เพราะมีเพียงเอ็งผู้เดียวเท่านั้นที่รับรู้ถึงการมีตัวตนของข้า” อ้อหรอ อย่างนี้เรียกว่ามีตัวตนเนอะ ภาณุคิดไปเรื่อยเปื่อย
    “แล้วยังไงต่อล่ะครับ ผมฟังแล้วให้ผมไปได้รึยัง”
    “เอ็งจะไปเอ็งก็ไปเถิด หากข้าจักไปกับเอ็งด้วย”
    “หา! จะตามไปทำไมเล่า”
    “เพราะข้าไม่สามารถไปที่อื่นได้ เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ข้าติดอยู่ในป่าไม่สามารถออกไปไหนได้”
    “หมายความว่ายังไง คุณอยู่ที่นี่มาเป็น 100 ปีแต่ไม่สามารถออกไปได้ แล้วอีกะแค่ผมเห็นคุณแค่นี้ทำให้คุณออกจากที่นี่ได้ แต่มาเกาะอยู่กับผมแทนรึไง ไม่เอาด้วยหรอกนะ ถ้าจะให้มีผีมีวิญญาณมาตามตลอดไปอย่างนี้น่ะ”
    “ถึงเอ็งไม่ต้องการ แต่ข้าก็ไม่สามารถทำกระไรได้ แต่ประเดี๋ยว เอ็งว่ากระไรนะ 100 ปีเช่นนั้นหรือ”
    “ใช่ ความจริง 200 กว่าๆได้แล้วมั้ง ผมจำไม่ได้ แล้วพระเจ้าตากน่ะก็เสด็จสวรรคตไปแล้วด้วย”
    “เสด็จสวรรคต!!! ด้วยเหตุอันใดเล่า”
    “เยี่ยมจริงๆ มาถามคนที่ตกสังคมเป็นนิตย์อย่างผมเนี่ยนะ ที่จำได้รางๆ รู้สึกว่าถูกสำเร็จโทษเพราะทรงมีพระสติไม่ปกตินะ”
    “ว่ากระไรกัน ตอนที่ข้าจากมาพระองค์ยังมีพระสติดีอยู่ เรื่องนั้นเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น พระองค์ยังให้ข้าไปจัดการสอบสวนหาผู้ปล่อยข่าวนี้เลย”
    “เรื่องนั้นผมไม่รู้ด้วยหรอกนะ ก็เรียนมาอย่านี้นี่นา ความจริงเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอก”
    “แล้วผู้ใดเป็นผู้ตัดสินพระองค์”
    “รัชกาลที่1น่ะ”
    “รัชกาลที่1?”
    “อ้อ ลืมไป ไม่ใช่สมัยคุณนี่ เอ่อ ตอนนั้นพระองค์มีพระนามว่าอะไรนะ ยาวๆ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกอะไรซักอย่างนี่แหละ”
    “สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกระนั้นหรือ”
    “ใช่ แล้วพระองค์ก็ถูกอัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่” ขุนสัจจาภักดีจมอยู่ในความคิดของตนสักครู่ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
    “เอ็งจักพาข้าไปยังพระราชวังหลวงได้หรือไม่”
    “พระราชวังหลวง???”
    “ใช่ ที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา”
    “คุ้นๆว่ามี แล้วจะคุณไปทำไมหรอ???”
    “สิ่งที่ข้ารอคอยที่จะกระทำตลอดเพลาที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็คือนำสาสน์ไปส่งยังพระราชวังหลวงให้ได้ หากเป็นดังที่เอ็งกล่าวมา แม้จะสายเกินไป กระนั้นข้าก็ยังต้องการไปยังพระราชวังหลวงอยู่ดี”
    “ถ้าอย่างนั้นคุณรอไปก่อนได้มั้ยล่ะ 2 อาทิตย์นี้ผมไม่ว่างตลอดเลยนะเนี่ย”
    “เช่นนั้นจักตามใจเอ็ง ว่าแต่… ตั้งแต่สนทนากันเองยังมิได้บอกนามเอ็งแก่ข้าเลยนะ”
    “อ้าว หรอ ผมชื่อภาณุครับ เรียก ‘นุ’ เฉยๆก็ได้ ส่วนคุณชื่ออะไรนะ ขุนๆอะไร”
    “ขุนสัจจาภักดี”
    “ชื่อยาวจังเลย ไม่มีที่สั้นกว่านี้หรือครับ”
    “กานต์”
    “กานต์? งั้นต่อไปนี้ผมเรียกคุณว่าคุณกานต์นะครับ”
    และแล้ว 1 คน กับอีก 1 ตน ก็เดินทางกลับไปยังเต็นท์ที่พัก พอหัวถึงหมอนปุ๊ปภาณุก็หลับไปทันที อาจจะเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งหนี และประสบการณ์หวาดผวา นายกานต์นั่งอยู่ข้างๆภาณุพลันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย…
    “ภาพน้องยาอยู่สนิทแนบชิดใกล้ ยังคงติดตรึงใจมิรู้สาง
    โอ้จากน้องจากจิตจากนวลปราง หอมนวลน้องหอมจางลางเลือนไป”
    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

    จากคุณ : cain - [ 30 พ.ย. 46 17:57:48 A:168.120.12.22 X: ]