เมื่อวาน บอ (เพื่อนสาวที่แสดงนำไปหลายเรื่อง เช่น เรื่องพี่) ได้โทรมาระบายความคับข้องใจ เรื่องน้องสาวคนเล็ก ที่เธอรักปานลูกในไส้ จะเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต โดยเดินทางไปคนเดียว เธอเป็นห่วงจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดร้ายไปสารพัด เธอโทรมาถามขั้นตอนการเดินทาง ข้อควรระวัง สิ่งที่ต้องเตรียม + ระแวง กังวล คิดร้ายล่วงหน้า
ฉันไม่เคยเห็นเธอกังวลมากขนาดนี้ เคยแต่เห็นเธอ Cool จนอยากจะยกมือไหว้ เพราะตลอดมา ฉันต่างหาก ที่โดดซบความ Cool ของเธอ แต่นี่ ความรักที่ท่วมท้น ทำให้บอ จอม Cool ขมังเวช เสียศูนย์ได้ถึงเพียงนี้
ฉันปลอบบอให้คิดในแง่ดี และแนะนำสิ่งที่ฉันรู้ให้บอรับทราบ เพื่อการเตรียมพร้อม
*
*
บ้านฉันเป็นบ้านในแบบฉบับ " ถีบหัวลูกส่ง" ขนานแท้และดั้งเดิม
พ่อแม่ฉันใจแข็งมาก มากจนฉันคิดว่า หากฉันมีลูกเอง ฉันยังมิอาจใจแข็งกับลูกได้ขนาดนั้น
พ่อแม่ ส่งฉัน น้องรอง และน้องสาม ไปอเมริกา ตั้งแต่ฉันอายุเกือบ 15 ปี เหลือแต่น้องเล็กซึ่งได้อยู่กับพ่อแม่ที่เมืองไทย ส่วนสามสิงห์น้อย เมื่อแรกเหยียบสหรัฐ ก็อยู่กับคุณน้า แต่พอพ่อแม่ดอดไปเยี่ยม เห็นสภาพแล้ว ให้สงสารลูกจับใจ จึงจัดการย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนลูก ออกนอกเมือง แล้วปล่อยให้สามสิงห์เผชิญชะตากรรมอย่างกระทันหัน เมื่อฉันอายุได้ 16 ปีกับหนึ่งเดือน
ฟังดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ด้วยความที่พ่อแม่เชื่อใจคน พ่อแม่ฝากให้คนดูแล แต่ขอโทษในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครดูแลหรอก เราต้องดูแลกันเอง (และต้องปิดปากเงียบตลอดมา จนเมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งเฉลยให้แม่ทราบ และฉันก็เห็นความเสียใจในแววตาแม่)
ฉัน
ในฐานะพี่ใหญ่ จากเด็กเมื่อวานซืน กลายเป็น Lady of the house ไปเพียงชั่วข้ามคืน
ฉันจะเล่าข้ามๆ เพราะสาระรายละเอียดมากมายมหาศาล เดี๋ยวจะยาว ฉันจะเจาะเป็นเหตุการณ์ก็แล้วกัน
พอย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียน แถมไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล ฉัน
ผู้ซึ่งหุงข้าวไม่เป็นและไม่ชอบอาหารฝรั่ง ฉันกินอะไรไม่ได้ นอกจากนมวันละกล่องเล็กเท่านั้น นอกนั้นมันกินไม่ลงจริงๆ หนึ่งเดือนเต็มที่กินแต่นมวันละกล่อง ฉันผอม จนกางเกงที่ใส่ หลุดตูดแล้วหลุดตูดเล่า
ฉันผอมโดยไม่รู้ตัว หลังจากหนึ่งเดือน พอปรับสภาพจิตใจได้ ฉันเริ่มหัดหุงข้าว และหัดทำกับข้าว ตอนนี้ฉันพร้อมแล้ว ที่จะทิ้งความเป็นเด็ก และสวมความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องดูแลตัวเองและน้องๆ ให้เรียนจบและอยู่ให้รอดปลอดจากภัย
ฉันต้องปรับความคิดใหม่หมด และต้องคิดให้ได้เอง สถานการณ์มันบีบบังคับให้ต้องเป็นไป ขณะที่น้องๆ เข้า สมาคม โน้น นี้ ของโรงเรียน เช่นสมาคมภาษาฝรั่งเศส สมาคมคราริเน๊ต ฉันต้องอยู่โยง ไปไหนไม่ได้ ต้องคอยจัดการในบ้านให้เรียบร้อย เพราะที่อยู่ เป็นบ้าน ที่มีคนเช่าหลังบ้านอยู่ด้วย คือต้องเป็น Land lady ด้วย
ฉันคิดเอาเองว่า หากฉันมีกิจกรรม ฉันจะไม่มีเวลาดูแลน้องๆซึ่งแต่ละคนต้องการการดูแล ชี้นำ สั่งสอน และต้อนให้อยู่ในกรอบ หากฉันใช้ชีวิตวัยรุ่น เกิดน้องๆเดินผิดทาง หรือฉันดันผิดเสียเอง พ่อแม่จะเสียใจ ภาระหนักจึงตกอยู่ที่สิงห์น้อยวัย 16 ปี อย่างไม่อาจปฏิเสธ
ไหนจะการบ้านการเรือน ตัดหญ้า จัดการเรื่องเงินทอง จัดการเรื่องค่าประกันต่างๆ ไปโรงเรียนน้องในฐานะผู้ปกครอง พาตัวเองไปโรงเรียน ในฐานะปกครองตัวเองและน้อง คนในสำนักงานที่โรงเรียน เขาก็งงงงเหมือนกันนะ แต่เขามองฉันด้วยสายตายกย่อง
ตลอดระยะเวลาที่สวมบทผู้ปกครอง ฉันต้องงัดความเป็นผู้นำ มาครอบสวมหัวตลอดเวลา ฉันขึ้นชื่อว่าอึดที่สุด จะไม่มีใครได้เห็นน้ำตา ไม่ว่าจะต้องฝ่าความรันทดแค่ไหน ฉันจะไม่ให้น้องเห็นความอ่อนแอ มิฉะนั้น ภาวะผู้นำฉันอาจสั่นคลอน
จากความรู้สึกกดดันในทุกเรื่อง มองย้อนไป ฉันและน้องๆ ผ่านคมหอกดาบมาได้ ถือว่าไม่ใช่เพราะโชคอำนวย แต่ฉันและน้องๆ ต้องมีพลังฝ่ายดีคอยดักหน้าดักหลัง ให้อยู่กับร่องกับรอย และพาตัวเองกลับบ้านมาให้พ่อแม่ชื่นชมได้อย่างไม่เสียยี่ห้อ
จากปัญหาที่เข้ามาทดสอบตลอดเวลา ทำให้ฉันเป็นคนที่แก้ปัญหาเก่ง สมองแล่นปรู๊ดๆ ราวกับติดจรวด กับภาวะผู้นำที่ตัวเองสวมอยู่ ทำให้ฉันฝ่าฟันปัญหาได้อย่างเด็ดขาด
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนอายุประมาณ 18-19 ปี ฉันขับรถด้วยความคะนอง ฉันเห็นรถตำรวจเร่งความเร็วมาทางขวาแล้วล่ะ แต่ด้วยความบ้า ฉันแถขวาอย่างกระทันหัน รถตำรวจคันยักษ์พุ่งชนฉันเต็มแรง รถฉันเสียการควบคุม พุ่งเข้าลานจอดรถด้านขวามือ และหยุดลงได้ เพราะรถไปติด ที่กั้นหน้ารถตรงที่จอดรถ ประตูด้านขวายับ เปิดประตูไม่ออก ตำรวจจอดรถลงมาขอโทษ และบอกว่า ไม่รู้ว่าเขาจะผิดหรือไม่ แต่ไม่นาน ฉันก็ได้ใบสั่งและกล่าวโทษว่าขับรถโดยประมาท
Guilty or not guilty ? ศาลนั่งหน้าตูมถามขึ้นลอยๆ จะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ นอกจาก Guilty ศาลใช้ฆ้อนทุบโต๊ะ แล้วเซ็นต์ยุกยิก ยื่นเอกสารให้ฉันติดต่อนอกห้อง
โทษที่ได้รับคือ ต้องเข้าโรงเรียนจราจร กี่ชั่วโมงจำไม่ได้ เสียค่าซ่อมรถตำรวจ 400 เหรียญ ซึ่งขอบอกว่า รถตำรวจน่ะ ไม่มีระคายผิวเลย ส่วนฉัน
ฐานไม่มีประกันภัยรถยนตร์ ต้องหาอู่ซ่อมเอง ได้รถเก่า วิ่งๆ ล้อแทบหลุด วิทยุเปิดได้คลื่นเดียว มาใช้เป็นเดือนๆ สภาพอนาถามาก
เมื่อทางอู่โทรมาให้ไปรับรถ รถที่อู่ปั้นขึ้นใหม่ ดูไม่ดีเลย สีที่พ่นก็ไม่เท่ากัน ฉันเจรจากับอู่ อู่ไม่รับผิดชอบ ฉันจำใจเอารถออกและจ่ายเงิน
จากสภาพรถที่ไม่เรียบร้อย ในเมื่อเจรจากันดีดีไม่รู้เรื่อง ฉันจึงยื่นฟ้องศาลประชาชน เรียกร้องค่าเสียหาย
ถึงวันนัด ที่ศาลในแอลเอ ฉันเดินเข้าห้องเบิกความด้วยรู้สึกระทึก ในห้องมีคนเป็นร้อย รอให้ศาลเรียกเป็นคดี คดีไป ถึง Case ของฉันแล้ว เจ้าหน้าที่เบิกตัวโจทก์และจำเลย ขึ้นยืนที่โพเดี่ยม ศาลซักถามเรื่องราว พร้อมดูรูปถ่ายประกอบสำนวน ซักไปซักมา ศาลทุบโต๊ะ ให้จำเลยต้องรับรถไปซ่อมให้ใหม่ โดยไม่คิดเงินอีกจนกว่าโจทก์จะพอใจ
ฉันชนะ!
(มีต่อ ยังจบไม่ลง ไม่รู้ด้วยว่าจะจบยังไงดี @ , @!)
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 46 17:20:56
จากคุณ :
น้าสือสาว
- [
2 ธ.ค. 46 11:00:49
]