เพราะเธอตระหง่านอยู่กลางใจ(จบ)

    บังเอิญคืนนี้เป็นวันเสาร์
    จึงไม่แปลกที่จะมีผู้คนมาเที่ยวดื่มคุยกันมาก เรียกได้ว่าทุก
    โต๊ะจะมีคนนั่ง
    มีบางคนขึ้นไปร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง บางคนขึ้นไปขอ
    เล่นกีตาร์ในเพลงโปรดของตัวเอง
    เราคุยกันไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วย
    เสียงดนตรีและเสียงพูดคุย
    แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราละความสนใจจากกันและกันไปได้
    เสียงของเธอยังคงแจ่มใส แจ่มใสกว่าที่เคย
    “ก่อนอื่นขอถามสักข้อ เรื่องนี้ค้างคาใจฉันมานานแล้ว..” เธอเริ่มขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
    “ควรจะถามผมตั้งนานแล้ว..” ผมหมายความอย่างนั้นจริง ๆ
    เธอนิ่งไปครู่…
    “คุณรักฉันหรือเปล่า?”
    เป็นจังหวะเดียวกับที่ดนตรีเปลี่ยนเพลงใหม่  เสียงรัวนิ้วบน
    สายกีตาร์ดังบาดหัวใจ บทเพลงแห่งความเปลี่ยวเหงาเริ่ม
    บรรเลงขึ้นอีกบทหนึ่ง
    “ผมรักคุณเสมอมา..”
    เธอยิ้ม ดวงตาฉายแววอะไรอย่างหนึ่งที่ผมอ่านไม่ออก
    “แล้วคุณไม่ถามฉันหรือว่าฉันรักคุณหรือเปล่า?” เธอวาง
    แก้วในมือ มองนิ่งมายังผม
    ผมเงียบ..ความหนักใจเพิ่มเข้ามาในหัวใจมากยิ่งขึ้น
    “คุณยังไม่ตอบคำถามของฉัน..”
    “ก็ในเมื่อผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว..ผมจะถามย้ำซ้ำเติมไปทำไม?”
    “คุณแน่ใจหรือว่าคุณรู้?..” เธอย้อนถามทันที
    “คุณไม่รักผมหรอก ถ้าคุณรัก คุณคงไม่โทรข้ามประเทศ
    ไปขอเลิกกับผม..”
    เธอหัวเราะเสียงค่อนข้างดัง
    “ถ้าฉันบอกคุณอย่างที่คุณบอกฉันบ้างล่ะ ว่าจริง ๆ แล้วคุณ
    ไม่ได้รักฉันหรอก ถ้ารักฉันจริง คุณคงไม่เลือกที่จะไปจาก
    ฉัน ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวนานนับปี..แล้วคุณจะว่าอย่างไร?”
    “ผมไปเพื่ออนาคตของเรา..”
    “อ้อ..ใช่สิ คุณอธิบายความจำเป็นของคุณให้ฉันฟังเป็นครั้ง
    ที่ร้อยแล้วนี่นะ แต่คุณรู้ไหม?..เพราะเหตุผลนี้แหละที่ทำให้
    อนาคตของเราไม่มีกันและกัน..”
    “เพียงแค่คุณอดทน..”
    “เหรอ..คุณคิดว่าแค่ฉันอดทนแค่นั้นก็พอเหรอ..”
    “เสียงคุณเริ่มดังแล้วนะ..” ผมเตือน
    “รับรองว่าไม่ดังกว่าเสียงเพลงนั่นแน่..” เธอพูดเสียงเรียบ
    “คุณปล่อยให้ฉันอยู่อย่างโดดเดี่ยว ปล่อยให้ฉันสู้ชีวิตแต่
    เพียงผู้เดียวในสังคมที่แปลกใหม่ ฉันเหมือนเด็กโง่ ๆ คน
    หนึ่งที่ต้องพึ่งตัวเองตลอดเวลานับแต่ก้าวออกมาจากรั้ว
    มหาวิทยาลัย ฉันมีเพียงแต่คุณเท่านั้นเป็นที่พึ่ง แต่คุณก็ไม่
    อยู่กับฉัน..”
    ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร เธอก็พูดต่อมาเหมือนสายน้ำที่ไหล
    อย่างต่อเนื่อง
    “คุณรู้ไหมฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง กว่าฉันจะได้งานทำ กว่า
    ฉันจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมนั้นได้ ฉันต้องใช้ความอดทน
    สักเท่าไร..”
    ประโยคท้ายทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
    “ฉันมีเพียงคุณ คุณที่อยู่ไกลมาก เป็นที่พึ่งทางใจ ฉันทำ
    ทุกอย่างเพื่อที่จะรอคุณ แต่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญเปล่า..”
    “ผมไม่เข้าใจ..”
    เธอหัวเราะลงคอเหมือนเย้ยหยัน
    “ฉันปฏิเสธชายหนุ่มมากมายที่มารุมล้อมฉัน หยิบยื่นสิ่งดี
    ๆ ให้กับฉัน เพียงเพราะฉันมั่นใจความรู้สึกของตัวเอง และ
    เชื่อในความรู้ของคนที่ฉันรัก..”
    “คุณกำลังหมายความว่าอะไร?..”
    “คุณคงไม่รู้ ว่าเมืองที่คุณเรียนอยู่ มีเพื่อนสนิทของฉันอยู่ที่
    นั่นอยู่คนหนึ่ง..”
    ผมอึ้ง
    “เขาเขียนจดหมายเล่าพฤติกรรมของคุณให้ฉันฟัง
    ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่คุณไปจีบผู้หญิงไทยคนหนึ่ง เทียวรับเทียวส่งอยู่นานนับเดือน..”
    ใจผมกระหวัดถึงแสงสุนันท์ เพื่อนสาวของผมคนหนึ่งที่
    สนิทกับผมตอนที่เรียนอยู่ที่นั่น เราไม่มีอะไรกันมากไปกว่า
    คำว่าเพื่อน เพื่อนที่เป็นคนไทยเหมือนกัน จากบ้านจาก
    เรือนมาเรียนเหมือนกัน จึงสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคน
    อื่น ๆ
    แต่ผมยังไม่แก้ตัว..รอให้เธอพูดให้จบเสียก่อน
    “เขาเล่าแม้แต่ตอนที่คุณขอความรักจากผู้หญิงคนนั้น…”
    จบเพียงแค่นั้น..เธอดื่มไวน์หมดแก้วอีกครั้ง เมินไปทาง
    เวที พร้อมกับสูบบุหรี่จนแก้มตอบ
    ผมเห็นน้ำตาของเธอซึมออกมา แต่เพียงนิดเดียวก็แห้ง
    หายไป
    ……

    เสียงเพลงเปลี่ยนไปตามอารมณ์ผู้เล่น ผู้ร้อง และตาม
    ความต้องการของผู้ฟัง
    สายน้ำตกจำลองยังคงรินไหล ดอกไม้สีแดงสดต้องหยาด
    น้ำที่กระเซ็นมาอยู่ริก ๆ
    ผมสูดลมหายใจอีกครั้ง เพื่อจะพูดในสิ่งที่ควรพูดเช่นกัน
    “เรื่องนั้นผมมีคำอธิบาย..แต่ยังก่อน..”
    “ที่ผมอยากจะพูดบ้างก็คือ คุณรู้ไหมว่าผมไม่ได้ต้องการจะ
    ไปจากคุณเลย…ถ้าผมไม่รักคุณมากล่ะก็ ต่อให้จ้างผม
    เท่าไรผมก็จะไม่ไปเรียนต่อ..”
    “คุณก็รู้ เรารักกันในลักษณะที่ต้องปกปิดครอบครัวของคุณ
    ไม่ให้รับรู้ตลอดเวลา เหตุผลก็คือคุณกลัวคุณพ่อของคุณ
    รับผมไม่ได้ รับผู้ชายลูกข้าราชการเล็ก ๆ คนหนึ่งที่มีฐานะ
    ยากจนกว่าบ้านของคุณคนนี้ไม่ได้..”
    “ตลอดเวลาเราต้องหลบซ่อน ผมต้องส่งคุณแค่จุดที่คุณ
    บอกให้ส่ง เพื่อไม่ให้คุณพ่อของคุณรู้ ผมต้องแอบ
    โทรศัพท์หาคุณแล้วรอให้คุณโทรกลับมา คุณรู้ไหมว่าผม
    รู้สึกอย่างไรตลอดเวลาที่ผมต้องทำอย่างนั้น..”
    “ผมดูถูกตัวเอง ผมรังเกียจตัวเอง ผมไม่มีอะไรคู่ควรกับ
    คุณเลยแม้แต่สักนิด ในขณะเดียวกันผมก็ภาคภูมิใจในตัว
    เอง ว่าขนาดไม่มีอะไรนี่แหละ ผมยังสามารถครองหัวใจ
    ของลูกสาวรัฐมนตรีไว้ได้..”
    “สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ ผมต้องถีบตัวเองให้ขึ้นไปเท่าเทียม
    กับคนที่ผมรักให้ได้ ผมจะต้องสร้างฐานะให้ใกล้เคียงคุณ
    ให้ได้ เพื่อผมจะได้มีเกียรติพอที่จะไปขอคุณแต่งงานกับ
    คุณพ่อของคุณ..”
    “นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องดิ้นรน ตรากตรำอ่านหนังสือ
    สอบชิงทุนจนสามารถไปเรียนต่อได้..”
    “แต่ผลปรากฎว่า คนที่ผมรัก กลับโทร.มาขอเลิกกับผม
    ด้วยเหตุผลเพียงว่า “ฉันเสียใจ…” “
    “คุณบอกกับผมว่าคุณเสียใจ เสียใจที่ต้องเลิกกับผม เพราะ
    คุณมีผู้ชายอีกคนที่ดีกว่า..”
    …….

    ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองอีกครั้ง
    แม้รอบข้างยังอึงอลไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุย
    เป็นความเงียบที่งันสนิท ราวกับจะดึงเราทั้งสองให้จมลึกไป
    สู่ขุมนรก
    “แล้วเรื่องที่แสงสุนันท์เล่ามา คุณไม่มีคำอธิบายบ้างรึ?”
    ผมอุทานอะไรคำหนึ่งออกมา
    “เพื่อนคุณคนนั้นชื่ออะไรนะ?”
    “แสงสุนันท์..”
    ผมทิ้งหลังตัวเองพิงพนักเก้าอี้ดังโครมใหญ่
    อย่างนี้นี่เอง..
    ……..

    แสงสุนันท์เป็นเพื่อนหญิงเพียงคนเดียวที่ผมสนิทสนมด้วย
    ที่สุดขณะไปเรียนอยู่ที่เมืองนอก
    เธอดีกับผมมาก มากจนบางครั้งผมก็อึดอัด
    เธอมักชวนผมไปเที่ยวกับเธอสองต่อสอง แม้ผมไม่ค่อยจะ
    เต็มใจนัก
    แต่ด้วยผมเห็นเธอเป็นผู้หญิงไทยเพียงคนเดียว คงจะเหงา
    และต้องการเพื่อนที่พูดจาภาษาเดียวกัน ผมจึงไม่ได้คิด
    อะไรมาก
    มีอยู่วันหนึ่งเธอให้ผมไปส่งเธอจนถึงที่พัก เธอพยายาม
    เหนี่ยวรั้งให้ผมค้างที่นั่น
    แต่ผมเห็นว่าไม่เหมาะ..และอีกอย่างไม่ผมอยากจะผิดกับ
    ผู้หญิงคนที่ผมรัก ผมจึงได้ปฏิเสธเธอไป
    ครั้งนั้นทำให้เธอโกรธมาก พูดใส่หน้าผมว่าผมไม่มีทางที่จะ
    ได้แต่งงานกับคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของผมได้แน่
    เธอยังท้าอีกว่าแล้วคอยดู..
    จากนั้นเธอก็หายไป
    ……
    ใครจะรู้ล่ะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนกับธารารัตน์
    การปั้นแต่งเรื่องราวในจดหมายนั้นก็เพื่อวัตถุประสงค์
    บางอย่างของเธอ
    ความจริงที่มีเพียงครึ่งถูกเพิ่มเติมให้มากขึ้นตามความรู้สึก
    ริษยาของเธอเอง
    เพราะผู้หญิงคนนี้น่ะหรือ ที่ทำให้ความรักของผมและธารา
    รัตน์ล้มครืนลง???
    ……
    ธารารัตน์แสดงอาการรับรู้ว่า "ผู้หญิงคนนั้น" ที่แสงสุนันท์เล่ามาในจดหมายเป็นเพื่อนรักของเธอนั่นเอง ด้วยการทำแก้วไวน์หลุดมือ
    "เพล้ง.."
    "จริงหรือนี่???"
    ...........

    แม้เธอจะเมาแต่เธอก็ยังไม่มีอาการซวนเซให้เห็น
    ฝีเท้ายังเนิบนิ่ง คอยังเชิดระหงส์ สมกับเป็นธิดารัฐมนตรี
    รัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์ และศาลสั่งล้มละลายไปตั้งแต่สองเดือนแรกที่ผมบินไปจากเมืองไทย
    นี่เอง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เธอจึงต้องพึ่งตัวเองในทุกอย่าง ตลอดเวลาที่ผมไม่ได้อยู่กับเธอ
    “คุณไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้เลยสักนิด..”
    “ฉันกลัวคุณจะเป็นห่วงฉันจนเรียนไม่จบ..”
    ผมพยายามข่มความโกรธของตัวเองเต็มที่
    “มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาปิดบังกัน!! “ เสียงของผมดังจนเธอตกใจ
    “ แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น..” พักใหญ่ที่เดียวกว่าผมจะควบคุมอารมณ์ได้
    “คุณพ่อหนีไปพร้อมกับทิ้งภาระทุกอย่างไว้กับคุณแม่ ท่าน
    คิดมากจนเป็นโรคประสาทต้องเข้ารักษาตัวในโรง
    พยาบาล ฉันต้องไปอาศัยอยู่กับคุณอาพักหนึ่ง หลังจากได้
    งานทำแล้วจึงแยกมาอยู่คนเดียวจนทุกวันนี้..”
    ผมสงสารเธอจนต้องฟุบหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเอง..
    …….

    ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเราต่างไม่
    สื่อสารกันให้กระจ่าง
    ระยะทางเป็นอุปสรรคที่แท้จริงของความรักอย่างนั้นหรือ??
    ไม่ใช่..ระยะทางเป็นแค่ตัวเสริม หากความมั่นคงของจิตใจ
    ต่างหากเล่า ที่ปรวนแปรไปตามเหตุการณ์จนก่อให้เกิด
    เหตุการณ์นี้ขึ้น
    “แล้วคนที่คุณบอกว่าคุณรักเขา..ตอนที่คุณโทร.มาขอเลิก
    กับผม ตอนนี้เขาอยู่ไหนแล้ว?..”
    “ฉันทำให้เขาเสียใจ จนเขาต้องทิ้งฉันไปเองในที่สุด..”
    “แสดงว่าคุณไม่ได้รักเขา..”
    “ใช่..นั่นเป็นคำตอบที่ฉันเพิ่งมั่นใจเมื่อฉันตกลงเลิกกับคุณ
    ไปแล้ว เขาเข้ามาแทนที่คุณไม่ได้..”
    “แล้วทำไมคุณไม่กลับมาหาผม?”
    “คุณคิดว่าคนอย่างฉัน จะโทร.ไปขอคืนดีกับคุณ ด้วยเหตุที่
    ว่าเลิกกับแฟนใหม่ได้แล้วงั้นรึ?”
    …….

    เธอเปิดประตูรถเก๋งคันเล็ก ๆ ของเธอ ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ
    เงยหน้าขึ้นสบตาผม แล้วยิ้มให้ผมเล็กน้อย
    ดวงตาของเธอบอบช้ำ ไม่ใช่จากการหลั่งไหลของน้ำตา
    เป็นสายน้ำ หากเพราะการกลั้นทำนบนั้นไม่ให้ทะลายลงมา
    “เราควรจะเริ่มต้นกันใหม่..ในเมื่อเราสองคนยังรักกันอยู่..”
    เธอส่ายหน้า
    “ฉันทำผิดกับผู้ชายถึงสองคนมาแล้วในชีวิตของฉัน ฉันจะ
    ไม่ยอมทำอย่างนั้นอีกแล้ว และเขาคนที่ฉันจะแต่งงานด้วย
    เขาก็เป็นคนดี เขารักฉัน และที่สำคัญ…”
    “คุณคิดว่าคุณก็รักเขา??”
    “ใช่.. ฉันจะต้องรักเขาให้ได้ เท่ากับที่เขารักฉันเช่นกัน!!”
    …….

    ผมปิดประตูรถให้เธอ คำพูดหลายอย่างเอ่อล้นอยู่ที่ปากแต่
    ไม่ได้พูดออกมา
    เธอกำลังจะไปจากผมอย่างถาวร ผมไม่สิทธิแอบคิดแอบ
    หวังอีกแล้ว ว่าวันหนึ่งเธอจะกลับมา
    “คุณก็ควรจะทำให้ได้เหมือนฉันเหมือนกัน..”
    “ควรจะรักผู้หญิงของคุณที่รักคุณอยู่ในเวลานี้ให้มาก เปิด
    ใจให้หมด ทุ่มเททุกอย่างให้กับเธอ อย่าทำให้เธอเสียใจ
    เหมือนกับฉัน..”
    “เราแค่เริ่มคบกันได้ไม่กี่เดือน..” ผมพยายามอธิบาย
    “งั้นเวลาที่มีจากนี้ไป คุณก็ไม่ควรจะทำให้มันสูญเปล่า..”
    “ฉันจะยินดีมาก ที่ได้ข่าวว่าคุณจะแต่งงาน..”
    ……..

    รถของเธอวิ่งอยู่ข้างหน้า บนถนนที่ค่อนข้างว่างยามดึกของ
    คืนนั้น ผมตามเธอไปด้วยความเป็นห่วง
    เหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้ง ฝนที่ไม่ได้ตั้งเค้า ก็เทพรำลงมา
    เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง
    ผมกระวิบไฟเตือนให้เธอระมัดระวัง ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะ
    ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ดีกว่านั้น
    แต่เธอคงนึกว่าผมเรียกให้เธอหยุด เธอจึงจอดรถเข้าข้างทาง
    ผมจอดตาม ตัดสินใจออกไปคุยกับเธอให้ทิ้งรถไว้ แล้วให้
    ผมไปส่ง
    แต่เมื่อไปถึง ภาพที่ผมเห็นกลับทำให้ผมยืนงัน
    หญิงสาวคนหนึ่ง นั่งร้องไห้จนตัวงออยู่ในรถ
    เธอสะอื้นจนตัวสั่นสะท้าน ใช้กำปั้นทุบไปที่พวงมาลัยรถแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างสุดฝืน
    ผมยืนหลั่งน้ำตาไปกับสายฝน…
    ……

    “ส่งฉันแค่นี้แหละค่ะ..ขอบคุณ”
    เธอหยุดยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าคอนโดฯ แห่งหนึ่ง แถวชานเมือง
    “รู้ไหมฉันสบายใจมากเลย จากการที่เราได้พบกันวันนี้..”
    “สิ่งที่ค้างคาใจมาเป็นปี มันได้หลุดหายไปหมดแล้ว..”
    “ขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉัน..ต่อนี้ไป คุณควรจะทำเพื่อตัวเองได้แล้ว..”
    “เราสองต่างมีเส้นทางเป็นของตนเอง เป็นเส้นทางที่เราได้
    เลือกกันไปแล้ว ฉะนั้นจงก้าวต่อไปให้มั่นคงที่สุด..”
    “คุณจะอยู่ในหัวใจของฉันเสมอ..ลาก่อนค่ะ..”
    ……….

    ภาพหญิงสาวร่างสูงคอระหงษ์ผินหลังเดินหายไปจากสาย
    ตาของผมในกลางดึกคืนนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึก
    ของผมไม่รู้วาย
    นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงต้องนึกถึงเรื่องนี้ในตอนดึก ๆ
    เสมอ
    เป็นเสมือนอนุสรณ์ของหัวใจที่ยังคงสว่างไสว สง่างาม และ
    ทรงคุณค่า
    ตั้งตระหง่านอยู่กลางใจอันดำมืดของผม
    ไปชั่วชีวิต..
    …….

    จากคุณ : Imagine - [ 2 ธ.ค. 46 23:26:20 A:202.5.82.148 X: ]