นาฏกรรมแห่งชีวิต
จุมพิตอ่อนหวานที่ปลุกเจ้าหญิงนิทราจากการหลับใหล
นิทานกล่าวขานถึงเส้นทางแห่งความรักระหว่างเจ้าหญิงกับเจ้าชาย
อุปสรรคทั้งหลายถูกฟันฝ่า ทุกเรื่องล้วนจบลงด้วยความรักที่สมหวัง
ฉันเองก็ใฝ่ฝันในฐานะเด็กสาวคนหนึ่ง ว่าสักวันเจ้าชายของฉันจะปรากฏตัว
หากมัน
ก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นในนิทานไม่
อากาศเย็นลง ความชื้นในอากาศหายไป ฤดูหนาวเยือนมาถึง ต้นเดือนพฤศจิกายนความหนาวเหน็บชักนำความหดหู่มาทักทายบรรยากาศโดยรอบ ฉันก้าวเดินไปตามทางเดินสายเล็กๆที่ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่ ลมหนาวพัดเอากลิ่นของอดีตทั้งที่แสนหวานและขมขื่นมาปะทะแล้วพัดผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นของอดีตอันหอมหวาน และแผลฉกรรจ์จากอดีตอันโหดร้าย ฉันสืบเท้าต่อพลางชำเลืองมองสิ่งที่อยู่ในถุง พร้อมถอนหายใจ
..
..
เปลือกตาของฉันค่อยๆเปิดรับแสงจากรอบข้าง ขับไล่ความสะลึมสะลือออกไปก่อนจะปรับภาพให้ชัด หลอดไฟสีขาว เพดานสีขาว ปรากฏแก่ครรลองสายตา กลิ่นยาฆ่าเชื้ออบอวลอยู่ในทุกอณูของอากาศ ฟื้นแล้วเหรอ เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่ใบหน้าคุ้นเคยจะโน้มเข้ามาใกล้ แววตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เป็นอย่างไรบ้าง ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่รึเปล่า ฉันยิ้มน้อยๆพร้อมส่ายหน้าแทนคำตอบ
ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ เกิดฉันเป็นโรคหัวใจ เห็นแบบนั้นแล้วช็อกตายใครจะรับผิดชอบยะ เธอทำเสียงเข้มเหมือนดุ หากตั้งใจเรียกเสียงหัวเราะจากฉันมากกว่า อ้อ! แล้วก็ไม่ต้องกังวลนะ ฉันโทรแจ้งทางบ้านแล้ว เดี๋ยวคุณแม่เธอก็คงมา ยังไม่ทันขาดคำ เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น ใบหน้าพอกเครื่องสำอางของหญิงมีอายุผู้หนึ่งใกล้เข้ามา
เพี้ยะ
หน้าฉันสะบัดตามแรงตบนั้น หูแว่วเสียงอุทานอย่างตกใจ มือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นนึกไม่ถึงว่าจะทำให้แก้มของฉันถึงกับชา
คุณน้าทำอะไรอย่างนั้นคะ กุ้ยอิงเขาเพิ่งฟื้นนะ ร่างสูงระหงก้มมองฉันที่บัดนี้คงมีรอยแดงปื้นใหญ่ประดับบนใบหน้า เดี๋ยวจะเอาน้ำ-แข็งมาประคบให้นะกุ้ยอิง แต่ก่อนที่เท้าคู่สวยจะก้าวออกไป เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น หยุดอยู่ตรงนั้นนะ ริมฝีปากสีแดงสดขยับขึ้นลง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น นี่มันเรื่องในครอบครัว กรุณาอย่ายุ่ง แต่กุ้ยอิงก็เป็นเพื่อนของหนูนะคะ เพื่อน เพื่อนประเภทหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิงอย่างเธอ สู้ไม่มียังดีซะกว่า ชิ! นายสมชาติเกิด เสียชาติเกิดน่ะสิไม่ว่า แม่คะ ฉันแผดเสียง มือทั้งสองจิกที่นอนจนบุ๋ม หยุดว่าแนนซี่เสียทีเถอะ แม่ไม่มีสิทธิ์มาว่าเขานะ พายุอารมณ์ที่คุกรุ่นในตัวฉันถูกถ่ายทอดออกมาทางคำพูด อ๋อ! เสียงนั้นเยาะเย้ยถากถาง นี่แกขึ้นเสียงกับฉันได้แล้ว- เหรอ สบายดีแล้วสินะ ไม่น่าเสียเวลามาหาเลย ลูกสาวหน้าโง่ที่ทำแต่เรื่องโง่ๆอย่างแกน่ะ เธอกล่าวพลางฉวยข้อมือที่พันผ้าพันแผลของฉันขึ้นมาบีบ แล้วนี่ล่ะ หลักฐานแห่งความงี่เง่าของแก จำใส่กะโหลกไว้ อย่าให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองนะ เธอปล่อยข้อมือฉันตกลงบนที่นอน ก่อนจะสะบัดหน้าจากไปอย่างไม่ใยดี
ปัง
สิ้นเสียงประตูปิด สิ้นสุดความอดกลั้นของฉันเช่นกัน มือข้างหนึ่งของฉันฉวยหมอนเขวี้ยงไปที่ประตู ตุบ
เสียงหมอนร่วงหล่นลงพื้น ใช่ซิ
ฉันมันโง่ ลูกสาวหน้าโง่ ไม่มีความดีสักอย่างเดียว ลำคอแห้งผาก เสียงฉันสั่นเครือ กุ้ยอิง แนนซี่ หรือชื่อจริงสมชาติเกิด เรียกเบาๆ นัยน์ตาพร่ามัว หยาดน้ำใสกลั่นออกมาจากดวงตาของฉันแล้วร่วงเผาะลงบนผ้าปูที่นอน ทีละหยดๆ ฉันโง่มากใช่ไหมแนนซี่ ที่ปล่อยให้เขาหลอกโดยไม่รู้ตัวน่ะ กุ้ยอิงใจเย็นๆก่อน ฟังนะ มันไม่เกี่ยวกับโง่ไม่โง่หรอก เธอแค่ด้อยประสบการณ์ แค่อ่อนไหวไปตามคำหวานของเขาเท่านั้น แต่เขาสิ เขาหลอกเธอ เขาต่างหากที่ผิด ไม่! ฉันเอง ฉันเป็นคนผิดเอง ฉันผิดมาตั้งแต่แรกแล้วที่เกิดมาเป็นลูกสาวไม่ใช่ลูกชาย ฉันกลืนก้อนที่จุกตรงคอก่อนจะพูดต่อ ลูกคนแรกของลูกชายคนโตของตระกูล สายตาของทุกคนในบ้านที่มองฉัน ตัวอับโชค! กาลกิณี! ปู่โทษพ่อ พ่อโทษแม่ แม่โทษฉัน ทั้งหมดนี้เพียงเพราะฉันเป็นผู้หญิงเหมือนที่แม่เป็น
ฉันหยุดหอบหายใจ แล้ววงแขนอบอุ่นก็โอบกอดฉันอย่าง อ่อนโยน ฉันซบหน้าลงบนหัวไหล่ของเขา ที่บ้านทุกคนเห็นฉันเป็นสิ่งของไร้ค่า ไม่มีใครสนใจหรือเอาใจใส่ เหมือนก้อนขยุกขยุยอะไรสักอย่าง ที่อยู่ตรงไหนก็ดูรกหูรกตาไปเสียหมด ฉันรู้สึกถึงมือที่กำลังลูบหัวฉันอย่างปลอบใจ ฉันนึกว่า ฉันจะดูมีค่าขึ้นถ้าสอบได้ที่ดีๆ ฉันพยายามจนสำเร็จ แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เหมือนเดิม เสียงฉันขาดหายเข้าไปในลำคอ ฉันไม่น่าเกิดมาเลย เสียงสะอื้นของฉันยังคงดังต่อไปท่ามกลางความสงบเงียบภายในห้องสี่เหลี่ยม
..
.
แสงสนธยาลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ฉันนั่งรับลมร้อนที่พัดเอื่อยๆเข้ามาทางหน้าต่างในห้องพัก สายตาเหม่อมองไปยังท้องฟ้ายามเริ่มราตรี แลเห็นนกฮูกตัวหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอยู่ภายนอก ฉันปล่อยความคิดให้ล่องลอยอยู่ในธารแห่งความทรงจำ สมองฉายภาพบ้านแจ่มชัด บ้านที่แต่ละคนมีหน้ากากเป็นของตนเอง หน้ากากแห่งอัธยาศัยไมตรีเมื่ออยู่นอกบ้าน หากเมื่อถอดออกก็คงเหลือเพียงความเหี้ยมเกรียมที่มอบให้ฉันอย่างเต็มใจ ค่าสูงสุดของฉันในบ้านเป็นได้แค่กระโถนรองรับอารมณ์เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ความต้องการให้ตัวเองดูมีค่ามากขึ้นยิ่งนานวันยิ่งลดน้อยลง แต่กระนั้นฉันก็ยังไม่หมดหวังที่จะคอยใครสักคนที่เห็นค่าของฉัน เอาใจใส่ฉัน หากจิตใจอันลึกลับซับซ้อนได้ฝังมันไว้ ณ จุดลึกสุด กลบด้วยท่าทีอันเฉยเมยต่อสิ่งรอบข้าง ทว่าก็ยังมีคนพยายามขุดมันขึ้นมา หน้าตากระจุ๋มกระจิ๋ม รูปร่างสะโอดสะองขัดกับผมยาวที่โดนลมพัดจนกระเซอะกระเซิง จนฉันอดรู้สึกขำไม่ได้ เธอเข้ามาทักฉันในวันแรกของชีวิตนักศึกษา แนนซี่เธอแนะนำชื่อใหม่ให้ฉันรู้จัก และไม่ยอมให้ฉันเรียกชื่อเดิมสมัยมัธยมต้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นหญิงประเภทสองเมื่อไปสอบเข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนอื่น
แนนซี่ทำให้ทัศนคติของฉันเปลี่ยนไป ไม่เฉพาะทัศนะที่ฉันมีต่อคนที่เป็นแบบเธอเท่านั้น ยังรวมถึงสิ่งอื่นรอบตัวอีกด้วย การย้ายมาอยู่หอพักคนเดียวกอปรกับการคบแนนซี่ทำให้ฉันเริ่มแสดงออกมาขึ้น ฉันละสายตาจากนอกหน้าต่างมามองรอยขีดสีซีดจางที่ข้อมือซ้าย นิ้วมือข้างขวาไล้ไปตามรอยนั้นอย่างแผ่วเบา ในใจหวนระลึกถึงผู้เป็นที่มาแห่งรอยแผลนี้ ร่างสูงสง่ากระตุกหัวใจของฉันให้เต้นผิดไปจังหวะหนึ่ง และคงเป็นจังหวะเดียวเท่านั้น เพียงถ้าเขาไม่หยุดสายตาลงที่ฉัน น้ำเสียงของเขา ท่าทีของเขาปลุกเร้าความฝันถึงเจ้าชายในวัยเด็กของฉันขึ้นมา บริสุทธิ์และสวยงาม แนนซี่เตือนฉันแต่ฉันไม่ฟัง เป็นเหตุให้เธออารมณ์ขุ่นมัวและงอนตุปัดตุป่องไปอีกพักใหญ่ สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนมาเป็นกำลังหนุนให้ฉันแทน
ฉันพบคนที่เห็นค่าของฉันแล้ว ฉันบอกตัวเอง ทว่าฉันคิดผิด การรู้ความจริงโดยบังเอิญทำให้วิมานแห่งความหวังเพียงหนึ่งเดียวของฉันพังทลาย ของเล่นคือค่าของฉันในสายตาของเขา มันช่างต่ำต้อยสิ้นดี ตกใจ เสียใจ น้อยใจ ความรู้สึกทั้งหลายหลั่งไหลมารวมกันก่อนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ฉันจินตนาการภาพที่แนนซี่เผอิญมาพบในวันนั้น ร่างของตัวเองที่แช่อยู่ในน้ำสีแดงจากข้อมือซ้าย ใบหน้าซีดเผือด จะว่าไปความรู้สึกในตอนนั้นก็ดีเหมือนกันนะ หนังตาที่หนักอึ้ง สุดท้ายทุกสิ่งก็ดับวูบลง ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่มีใครมาตีค่า หรือจะลองอีกครั้งดี?
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูฉุดสติของฉันกลับคืนมา ใครนะมาตอนหัวค่ำแบบนี้ ฉันบ่นอยู่ในใจ แอ๊ด
ประตูลั่นเอี๊ยดอ๊าด ไง กุ้ยอิง อ้าว! แนนซี่ ขอโทษนะที่มารบกวนตอนดึก ไม่เป็นไรๆ เข้ามาก่อนสิ ฉันเชื้อเชิญ รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นกล่องที่แนนซี่หอบหิ้วมาด้วย เป็นไง กลับมาพักที่หอ รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นบ้างไหม เธอถามก่อนวางกล่องลงบนโต๊ะ อืม ก็ดี แล้วนั่นกล่องอะไรน่ะ ฉันถามด้วยความสงสัย แต่น..แตน
แต๊น..อะไรเอ่ย เธอทำเสียงเหมือนเด็กขณะเปิดกล่องที่ถูกเจาะรูเป็นช่วงๆ เจ้าสิ่งภายในกล่องโผล่หัวชูคอขึ้นมา ดวงตากลมโตของมันเต็มไปด้วยความสงสัย
ว้าว! ฉันอุทานเสียงดัง เมื่อเจ้าลูกเป็ดเนื้อตัวขะมุกขะมอมเดินกระเตาะกระแตะอยู่บนโต๊ะ ส่งเสียงร้องก้าบๆ ไปซื้อมาจากไหนน่ะ แนนซี่ เปล่าซื้อ ฉันเก็บได้ต่างหาก เก็บได้เนี่ยนะ แล้วเธอจะทำยังไงกับมันต่อ ก็นี่แหละฉันถึงถ่อมาหาเธอ มาหาฉัน
แววตาเธอจ้องมาที่ฉันอย่างมีความหมาย โอ้! ไม่นะ แนนซี่ ฉันเลี้ยงมันไม่ได้หรอก ไม่เคยคิดจะเลี้ยง แล้วก็เลี้ยงไม่เป็นด้วย โธ่! กุ้ยอิง เธอก็รู้ว่าหอของฉันเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ ส่วนเรื่องวิธีเลี้ยงไม่ต้องห่วง ฉันซื้อมาแล้ว เธอชูหนังสือคู่มือเลี้ยงเป็ดให้ฉันดู ไม่ น้ำเสียงฉันเด็ดขาด น่า
กุ้ยอิง ถ้าเธอไม่เลี้ยงฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เธอจะใจดำขนาดปล่อยให้มันตายงั้นหรือ เธอส่งประกายตาโศกซึ้งแกมอ้อนวอน ก็ได้ เย้! สำเร็จ ฉันได้แต่ถอนหายใจ
..
..
ที่นอนยุบตัวลงตามแรงยืดหยุ่นของสปริง เจ้าเป็ดน้อยที่ไม่น้อยอีกต่อไปย่างเท้าเหยียบบนตัวฉันที่นอนแผ่อยู่บนเตียง ไง เจ้าตัวยุ่ง หิวแล้วเหรอ ฉันถาม มีเสียงก้าบเป็นคำตอบ อดีตเจ้าเป็ดน้อยที่เดินตามฉันตลอดเวลา นำเรื่องวุ่นๆมาให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน ไหนจะสายตาฉันขาดเธอไม่ได้นะที่คอยส่งมาเวลาฉันจะออกไปข้างนอกอีก ฉันลูบขนสีน้ำตาลแกมขาวของมัน แล้วยิ้มเศร้าๆ
เช้าวันต่อมา หลังจากการเดินทางอันระหกระเหิน ฉันอุ้มเจ้าเป็ดน้อยลงจากรถที่แนนซี่ขับ ไปซะ ฉันพูดกับมัน ก่อนปล่อยมันลงพื้นริมชายป่า นั่นไง เพื่อนๆของแก เป็ดป่าเหมือนแก มันเดินลึกเข้าไปในป่า มองสำรวจฝูงเป็ดที่หากินอยู่แถวนั้น ยังไม่ทันที่ฉันจะหันหลังกลับ มันก็เดินกลับมาหาฉันอีก ไปซะ ชิ่ว! ชิ่ว! ฉันโบกมือไล่มันแต่ไม่ได้ผล มันร้องก้าบๆอย่างสงสัยเมื่อเห็นฉันคว้ากิ่งไม้มา ไปซิ มันร้องอย่างตกใจพร้อมกับกระโดดหลบกิ่งไม้ที่หวดมา สัตว์ป่าอย่างแกควรจะอยู่ในป่า ไม่ควรมาอยู่กับมนุษย์ กิ่งไม้แกว่งไกวไปกระทบตัวมันอย่างแรง โอ๊ย มันจิกมือฉันอย่างโกรธแค้นก่อนจะเข้าไปรวมกับเพื่อนใหม่ของมัน ฉันมองรอยจิกบนหลังมือที่มีเลือดซึมออกมา ไม่นานหรอกมันจะลืมเรื่องโกรธแค้น และโบยบินอย่างเสรีในอิสระที่เธอมอบให้ แนนซี่กล่าว ขณะที่สายฝนเริ่มปรอยลงมายังความชุ่มชื่นแก่ผืนดิน กลับกันเถอะ เธอพูดพลางจูงมือฉันเดินไปที่รถ อ๊ะ ฉันอุทานเมื่อจู่ๆแนนซี่เซล้มลงไป เป็นอะไรมากไหม เธอสูดลมหายใจก่อนตอบ ไม่เป็นไรมากหรอก แค่รู้สึกตะครั่นตะครอนิดหน่อยน่ะ จากนั้นเธอก็รีบพาฉันไปขึ้นรถ
.
..
ดอกไม้สีขาวในถุงชวนให้ฉันนึกถึงเขาและเจ้าเป็ดน้อย มันสอนฉันหลายอย่าง สอนให้ฉันรู้ว่าชีวิตนี้มีค่าต่อมันมากมาย มันจะตายถ้าไม่มีฉัน ดังนั้นฉันต้องมีชีวิตต่อไป สอนให้ฉันรู้จักเสียสละและเจ็บปวดเพื่อบางสิ่งที่ถูกต้อง ฉันมารู้ภายหลังว่าที่จริงแล้วแนนซี่ซื้อมันมาให้ฉันโดยเฉพาะ ฉันอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนเขาบ้าง อย่าดูถูกตัวเอง จงมีความสุขกับชีวิตแม้ฉันจะจากไปแล้วก็ตาม คือประโยคสุดท้ายจากปากของเขา แนนซี่ ฉันมาเยี่ยมแล้ว เอาดอกไม้ที่เธอชอบมาด้วยนะ ฉันนำดอกไม้ออกมาจากถุง วางตรงป้ายหินเบื้องหน้า หลับสบายดีมั๊ย น้ำอุ่นๆไหลออกมาจากหางตา ผ่านร่องแก้มของฉัน ภาพรถหักหลบแล้วเสียหลักจนพลิกคว่ำยังจารึกติดตรึงอยู่อย่างไม่จางหาย ฉันได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศล่ะ ฉะนั้นคงมาเยี่ยมเธอไม่ได้พักนึง ฉันนั่งลง เพื่อชดเชยล่วงหน้า วันนี้จะอยู่เป็นเพื่อนถึงเย็นเลยนะ ลมหนาวยังคงพัดต่อไป แต่ฉันไม่รู้สึกถึงมันเลย
.
..
จบบริบูรณ์
จากคุณ :
อาชาไร้ชื่อ
- [
3 ธ.ค. 46 19:10:27
A:168.120.12.57 X:
]