ปริศนา คา ใจ (ลึก ลับ)

    อันเนื่องมาจาก ลักษณะนิสัยพิลึกพิเรนทร์ของฉัน ฉันจึงยังไม่มาต่อเรื่อง “ความสามารถ ที่รอการแกะกล่อง” แต่จะเล่าเรื่องแปลกๆ ที่พลัดหลงเข้ามาในชีวิตฉัน ดั่งระลอกคลื่นซัดโขดหินน้อยๆ ระลอกแล้ว ระลอกอีก ให้ปวงชนขนหัวลุก ได้อ่านเล่นเพลินๆ เพราะฉันตงิดๆ ว่ามีหลายคนรอให้ฉันเล่าเรื่องพรรค์นี้อยู่

    วันหนึ่ง ในครั้งเมื่อฉันอายุได้ยี่สิบต้นๆ ฉันกลับมาเมืองไทย พอดีมีเพื่อนพ่อป่วยอยู่ เราสองพ่อลูกก็เดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาล

    ห้องผู้ป่วยพิเศษ ที่เหนือกว่าพิเศษ คือเป็นพิเศษระดับ “ผู้ใหญ่” มานอนป่วยกัน ห้องพิเศษอย่างนี้ จึงกว้างขวาง และดูไม่ทะมึนเหมือนห้องปกติ

    ฉันกับพ่อ เดินเข้าไปในห้อง ก็พบกับผู้คนมากหน้าหลายตา นั่งกระจัดกระจายตามหลืบต่างๆของห้อง ฉันและพ่อ ไหว้กราดแบบนักมวย ในบรรดาแขกผู้มีเกียรติ มีหลายท่านที่ฉันไม่รู้จัก

    เมื่อไถ่ถามสาระทุกข์สุกดิบกันแล้ว เจ้าภาพก็จัดเก้าอี้ให้สองพ่อลูกนั่ง

    คนป่วยซึ่งท่านเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย นั่งยิ้มแต้ แจ่มใส พูดจาแคล่วคล่องว่องไว ท่านแนะนำให้ฉันกับพ่อรู้จักคุณลุงท่านหนึ่ง

    คุณลุงคนนี้ ท่านตัวใหญ่ นั่งค้ำไม้เท้าอยู่ใกล้ๆเตียงคนป่วย ท่านมองเราสองคนยิ้มๆ

    “ผมมารออาจารย์…” คุณลุงกล่าว

    ฉันและพ่อหันมอง ฉันงงนิดหน่อย ส่วนพ่อคงงงมาก

    “ผมทราบว่าอาจารย์จะมาวันนี้ จึงมารอ… ผมเป็นเพื่อนกับคุณชอ ตั้งแต่เรียนมัธยม” คุณลุงเอ่ยถึงพี่ชายพ่อผู้ล่วงลับ แล้วท่านก็เล่าความหลังให้พ่อฟังเป็นการสนุกสนาน

    ผู้ป่วยที่ร่าเริง เล่าเสริมว่า อันที่จริงแล้ว ท่านไม่รู้จักคุณลุงท่านนี้เลย แต่เมื่อครั้งที่ท่านอาการโคม่า จนคิดว่าตัวเองคงจะสิ้นชื่อแน่แล้ว จู่ๆ อาการก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ และคุณลุงท่านนี้ก็มาเยี่ยม พร้อมแนะนำตัวเอง

    ผู้ป่วยเล่าต่อว่า คุณลุงลึกลับท่านทราบด้วยวิธีการใช้สมาธิจิต แล้วท่านเห็นว่า มีผู้ป่วยที่น่าจะได้รับการช่วยเหลือ ท่านจึงส่งจิตช่วยจนพ้นวิกฤต แล้วท่านก็โผล่มาเยี่ยม

    ขณะที่นั่งฟัง พ่อมีอาการประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนฉันคิดในใจ “เอาล่ะ มันส์ล่ะทีนี้ เข้าทาง…ฮิฮิ”

    ทั้งหมดนั่งคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่คุยๆอยู่ คุณลุงก็แฉลบมาพูดกับฉัน แบบเหมือนนึกขึ้นได้ ทั้งๆที่เรื่องราวที่สนทนากันอยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เช่น คุยเรื่องงานของพ่อ อยู่ๆ คุณลุงก็หันมาบอกว่า “หนู ตอนนี้ มีชายคนหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ มาช่วยจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องชู้สาว” ซึ่งก็จริงอย่างที่ท่านพูด

    คุยๆไป อยู่ๆท่านก็โพล่งขึ้นอีกมาว่า “ลูกคนนี้มีจิตผูกพันกับพ่อแม่ตลอดเวลา คิดจะสร้างบ้าน ซื้อรถให้พ่อแม่ อยากให้พ่อแม่มีความสุข” พ่อ…หันมามองฉันนัยตาซึ้ง แล้วถามว่าจริงหรือ ฉันเขินๆ และตอบว่าจริง

    เหตุที่เกิดอาการซึ้งเพราะ ภายนอก ฉันดูเป็นลูกที่กบฏ คิดคด ดื้อด้าน แถมยังเห่ยมาก หาดีแทบไม่ได้ พ่อแม่คงถอดใจไปหลายรอบ แต่มาฟังเรื่องราวนี้ พ่อจึงพิศวงใจอย่างช่วยไม่ได้

    และเรื่องราวเหล่านี้ ฉันไม่เคยแพร่งพรายให้ใครทราบเลย แต่คุณลุงทราบ!

    การสนทนาดำเนินต่อไป อยู่ๆ คุณลุงก็โพล่งอีก “อาจารย์… เดินหน้าเรื่องงานต่อไป แล้วคอยดูความเจริญของลูกคนนี้”  แฉลบอีกแล้ว

    ช่วงนั้น พ่อกำลังจะถอดใจเรื่องงาน ไม่รู้ว่าคุณลุงรู้ได้อย่างไร คุณลุงโพล่งต่อ “ในมือเขา (ฉัน) มีต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาอยู่เต็ม บนเนินพฤหัส (ใต้นิ้วชี้)” แล้วคุณลุงผู้ซึ่งนั่งคนละมุมห้องกับฉันลิบๆ ก็บอกให้ลูกสาว ช่วยดูมือของฉัน --- “ดูซิ มีไหม…” ลูกสาวตอบว่า “มี”

    คุณลุงบอกให้ดูทั้งสองมือ แล้วพูดว่า “เห็นไหม มีทั้งสองมือ”

    ฉันเห็นได้ที จึงเล่าเรื่องพิศวง ที่คาใจมาหลายปีให้ท่านฟัง เผื่อท่านจะไขปริศนาได้บ้าง

    เมื่อฉันอายุ 19 ปี คืนหนึ่ง ในฤดูหนาว ฉันนอนคลุมโปงอยู่ในห้องนอน กำลังหลับอุตุ พลัน!  ให้รู้สึกหนักที่หน้าท้อง ฉันตื่นขึ้นเพราะความหนัก หนักเหมือนคนนอนทับทางขวาง ความกว้างของลำตัวสิ่งที่ทับฉันอยู่ก็เท่าๆกับคนปกติ ฉันนึก “อะไรหว่า หมอนข้าง??? ไม่ใช่ เราไม่มีหมอนข้างนี่หว่า แล้วมันอะไร” ในขณะที่กำลังคิดเพลินๆ สิ่งที่ทับฉันอยู่นั้น ก็ “เลื้อย!!!!!  ใช่ เลื้อย!!!!!!” ลงเตียงไปทางปลายเท้าฉัน แต่เป็นการเลื้อยสั้นๆ สั้นเท่ากับความยาวครึ่งตัวคน

    ทันใดนั้น ฉันก็คิดต่อ ทันที “ งู!!!????” งูใหญ่ขนาดนี้ มันเข้ามาทางไหนได้นี่ แล้วตอนนี้ มันจะออกไปรูไหน ถ้ายังไม่ออก แสดงว่ามันต้องกำลังอยู่ที่ข้างเตียงเราแน่ เป็นไง เป็นกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันเปิดผ้าห่มอย่างแรง แล้วเอื้อมมือเปิดไฟหัวเตียง เด้งขึ้นกึ่งนั่ง เตรียมกระโจน

    ว่างเปล่า!!!! บ๋อแบ๋????

    ฉันทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เอามือคลำพุง รุ่งเช้า ก็ลุกขึ้นไปโรงเรียน แล้วพุงฉันก็รู้สึกถึงความหนักอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ฉันเก็บปริศนาคาใจ จนวันนี้โอกาสดี อาจมีผู้มาไขความลึกลับ

    หลังจากคุณลุงฟังจบ คุณลุงก็บอกว่า ช่วงนั้นหนูใส่แว่นใช่ไหม ฉันบอกว่า ใช่

    พ่อคงคิดในใจ วันนี้ มันวันอะไร เจอแต่ความประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    พ่อบอกว่า พ่อไม่เห็นรู้เลยว่าฉันใส่แว่น เพราะปกติฉันไม่ใช้แว่น

    คุณลุงพยายามจะอธิบายอะไรบางอย่าง แต่คล้ายว่า เนื่องจากคนอยู่ในห้องมากหน้า จึงไม่สะดวกที่จะเฉลย แต่พูดอม อม ว่า “เพราะแว่นตา ที่มีกระจก จึงเป็นประตูที่เชื่อม ระหว่างมิติ” ท่านอยากจะพูดอะไรอีกมาก แต่ท่านพูดไม่ได้

    จากวันนั้น เกือบยี่สิบปีแล้ว ฉันไม่ได้พบกับท่านอีกเลย แต่ “รู้สึก” ว่า ท่านเสียหลังจากการพบกันได้ไม่นาน!

    คนป่วยก็เสียในเวลาไล่เรื่อยกับคุณลุง (หากคุณลุง ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฉันกล่าว ต้องขออโหสิกรรมด้วยค่ะ เพราะฉัน “รู้สึกอย่างแรง” ว่ามันเป็นเช่นนั้น)

    ต่อมา หลังจากที่พ่อตัดสินใจเชื่อคำบอกของคุณลุง ว่าให้เดินหน้าต่อเรื่องงาน พ่อก็ได้พบกับความสำเร็จสูงสุดของชีวิตการงาน ดั่งที่พ่อตั้งเป้าหมายไว้

    ส่วนฉัน ฉันก็ยังเป็นฉัน ที่กระด๊อก กระแด๊ก ไปวันวัน ยังไม่รู้สึกถึงความเจริญดังกล่าว ฉันรออยู่ว่าฉันจะเจริญในรูปแบบไหนกันหนอ ฉันรอที่จะเจริญ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จริงๆนะ

    หรือว่า เจริญในวัด ----->บนเมรุ!!!          @( >”<)@

    ตลอดชีวิต ฉันจะประสบแต่กับ บุคคล ที่มาเพื่อนำสารมาบอก แล้วก็ไม่ได้พบกันอีกเลย อย่างนี้หลายคนมาก และการเจอกับบุคคลเหล่านี้ มักจะเป็นการเจอกันในลักษณะแปลกๆ อย่างไรก็ตาม ฉันก็ขอ ขอบคุณทุกท่านที่มาเพื่อบอกข่าว

    ส่วนปริศนา นาคทับร่าง จนบัดนี้ ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่

    ประกาศ   : หากท่านใด ที่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และมีจิตเมตตา อยากช่วยไขปริศนาละก็ เชิญไขเลย ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ต้นไม้บนมือ คืออะไร นาคทับร่าง ความจริงคืออะไร        ได้โปรดเถิด    ( T oT)/\        ธุจ้า…

     

    จากคุณ : น้าสือสาว - [ 4 ธ.ค. 46 16:47:06 ]