ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษนักอ่านด้วยนะครับ ที่หายไป 1 สัปดาห์ เนื่องจากเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ คนแต่งไปสอบ ส่วนอีกคนช็อค จากการไปตรวจหัวเข่าแล้วพบว่า เส้นเอ็นขาด ต้องผ่าตัด หมดไฟในการแต่งไปชั่วครู่ ตอนนี้จึงกลับมารายงานตัวตามปกติ ต่อไปจะพยายามลงสม่ำเสมอเช่นเดิม หากมีเหตุอันใดที่จะไม่ลงจะแจ้งให้ทราบนะครับ
เรื่องหัวเข่านี่แจ้งแล้วในกระทู้บทที่แล้ว เผื่อบางคนไม่เห็นนะครับ
ตุลาการลุกขึ้นประกาศอย่างเป็นทางการว่า เหวินเหม่ยชิง เป็นฝ่ายชนะผ่านเข้ารอบ เนื่องจาก ไต้ซือกระต่ายน้อย เป็นฝ่ายขอยอมแพ้เสียเอง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง บางคนว่าที่ไต้ซือกระต่ายน้อยพ่ายแพ้นั้น เนื่องจาก เหวินเหม่ยชิงเป็นอิสสตรี หลวงจีนย่อมมิอาจแตะต้องตัวสตรี ดังนั้น พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันสู้
บ้างก็ว่าความงามของเจ้าสำนักหันซานสั่นคลอนตบะฌาณของหลวงจีนชราจนสั่นไหว ในที่สุดมิอาจทนทาน ได้แต่รามือยอมรับความพ่ายแพ้ บ้างก็ว่ากระบวนท่าสุดท้ายของเหวินเหม่ยชิงแฝงพลังไร้สภาพคุกคามจนหลวงจีนชราพ่ายแพ้ในที่สุด ส่วนการที่เหวินเหม่ยชิงกล่าววาจาแสดงความขอบคุณหลวงจีนเฒ่านั้น ก็กระทำไปตามมรรยาทอันดีงามที่พึงกระทำ
การประลองคู่ต่อไปเริ่มได้ ขอเรียนเชิญสองฝ่ายบนเวที! คำประกาศอันนี้ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบสงบลง จื่ออิงในชุดพรตเต็มยศ เดินด้วยท่วงท่างามสง่า สะพายกระบี่ยาว เดินขึ้นสู่เวทีประลอง ซึ่งก็เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้คนรอบข้างได้มากทีเดียว
จื่ออิงนั้นหลังจากสำแดงพลังฝีมือสยบความอหังการของตั๋วล่ายสุก บวกกับบุคลิกภาพอันโดดเด่นของเขา ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกยกย่องชมเชย
ด้วยบรรยากาศเช่นนี้มิว่าผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ย่อมตกอยู่ในสถานะเป็นเบี้ยล่างโดยสิ้น?!
บุคคลที่ต้องเผชิญกับสถานะเช่นนั้นก็คือ
หยางซีเหมิน!
หยางซีเหมินเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่แปด แห่งพรรคดาวตก มิใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญ ท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงปรบมือสนับสนุนจื่ออิง ซึ่งสามารถสั่นคลอนจิตใจผู้คน เขาก็ได้ขึ้นสู่เวทีประลองแล้ว
คนผู้นี้อยู่ในวัยสี่สิบเศษ ผิวกายขาวนวล ใบหน้ารูปเหลี่ยม ขนคิ้วตั้งชัน ใบหน้าเหี้ยมหาญ ทุกย่างก้าวคล้ายราชสีห์เยื้องย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ จังหวะการก้าวย่างสม่ำเสมอ เป็นที่คาดคำนวณได้ถึงพลังฝีมือและสมาธิอันมั่นคง
จื่ออิงจ้องมองคู่ต่อสู้ตรงหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตัวมันก็มองออกว่าฝีมือของหยางซีเหมินผู้นี้เป็นของจริง!!! ถ้าเป็นก่อนหน้าที่มันจะค้นพบวิชาสุดยอด มันคงมิกล้าประมาทเลินเล่อ แต่ในเวลานี้มันกลับมิเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา จะมียกเว้นก็เพียงเหวินเหม่ยชิงผู้เดียว!
และก็มิได้เป็นเพราะกริ่งเกรงหรือชื่นชมในฝีมือของเจ้าสำนักหันซานแต่อย่างใด ที่เขาสนใจคือตัวนาง! ความงดงามจนยากหาที่เปรียบของนาง!
ในการประลองยุทธมีหลักบางประการที่ผู้ประลองมิอาจมองข้ามโดยเด็ดขาด นั่นก็คือ
.ห้ามมิให้ประมาท เลินเล่อ หรือมองข้ามฝีมือคู่ต่อสู้โดยเด็ดขาด!!!
ผู้ที่ประมาทเลินเล่อย่อมเป็นผู้พ่ายแพ้ในที่สุด
เวลานี้จื่ออิงมิใช่ประมาท และดูแคลนฝีมือของคู่ต่อสู้หรอกหรือ?
ท่านหยางเชิญ!
หยางซีเหมินไม่พูดมากความ หยิบฉวยอาวุธคู่มือ ห่วงคู่ดาวตก ที่สร้างชื่อเสียงให้มันกว่า 20 ปีขึ้นมา หยางซีเหมินผู้นี้ฝึกวิชาตั้งแต่เยาว์วัย เชี่ยวชาญพลังลมปราณ สามารถควบคุมห่วงสองอันในมือจู่โจมคู่ต่อสู้จากระยะไกล นอกจากนี้ยังสามารถใช้พลังลมปราณควบคุมห่วงที่ซัดออก ได้ราวกับใจนึก ความสูงส่งของฝีมือนับว่าถึงขั้น เก่งกาจจนหาตัวจับยาก
ห่วงเหล็กกล้าถูกมันถือเอาไว้ในมือ ห่วงเหล็กสีดำมะเมื่อมที่มีขนาดไม่ใหญ่โตไปกว่าฝ่ามือของมันเท่าไรนัก ตัวห่วงคล้ายแผ่รังสีการฆ่าฟันที่หนาแน่นออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงคือ
ผู้ที่ใช้มัน!
หยางซีเหมินที่สูงโปร่งผิวขาวนวล เวลานี้ผิวพรรณกลับกลายเป็นดำคล้ำ กล้ามเนื้อทั่วร่างเบ่งพองราวกับลูกหนัง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งปานพะเนินเหล็ก ทั่วร่างแผ่รังสีการฆ่าฟัน คุกคามจนทุกผู้คนแทบอึดอัดขาดใจ
วิชาที่มันใช้เรียกว่า "ลมปราณผนังเหล็ก" เป็นวิชาที่ผสมผสานระหว่างกำลังภายนอกและภายใน ผิวหนังของคนที่ใช้ต้องผ่านการฝึกฝนให้เหนียวแน่น และยืดหยุ่นเป็นอย่างยิ่ง พลังลมปราณที่ใช้ต้องสม่ำเสมอและมั่นคง อัดพลังลมปราณเข้าสู่ร่าง เพิ่มสมรรถภาพผิวหนังและกล้ามเนื้อจนถึงขีดสุด ผิวหนังภายนอกแข็งแกร่งปานเหล็กไหล พลังยุทธเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า
ทว่ามีข้อเสียอยู่ที่ สิ้นเปลืองพลังลมปราณอย่างยิ่ง เพียงสามารถใช้ในระยะเวลาอันสั้น หากใช้เนิ่นนาน ลมปราณจะอ่อนโทรม บังเกิดช่องโหว่ให้ผู้คนฉกฉวย ในที่สุดจะพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย
ฟุ่บ หยางซีเหมินไม่รีรอ เป็นฝ่ายลงมือก่อนโดยทันที ห่วงเหล็กกล้าในมือกลายเป็นประกายดุจดาวตก พุ่งวาบเข้าจู่โจมจื่ออิง ชั่วพริบตาข้ามผ่านระยะกว่าสามสิบก้าวจู่โจมเข้าใส่ลำตัวและศรีษะของเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง
จื่ออิงโยกร่างไปมา เคลื่อนกายขวางหลบหลีกจากห่วงเหล็กกล้าทั้งสอง เสียงแตกระเบิดดังสนั่น พื้นสนามที่เป็นหินแข็งแกร่งถูกห่วงเหล็กทั้งสองทะลวงเป็นหลุมขนาดใหญ่ จากนั้นประกายสีดำวูบ ห่วงทั้งสองพุ่งวาบเข้าใส่จื่ออิงอีกครั้ง ตลอดเวลาร่างของหยางซีเหมินหาได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด มันเพียงอาศัยพลังลมปราณควบคุมห่วงเหล็กทั้งสองเข้าจู่โจมจื่ออิงจากระยะไกล
จื่ออิงเห็นเช่นนั้น พลันพลิ้วกายถอยหลัง วิชาตัวเบาประดุจเมฆพลิ้ว ทั้งงดงามและแผ่วเบา สะกิดปลายเท้าคราเดียว ก็เคลื่อนกายถอยหลังไปกว่าสิบก้าว หลบหลีกการจู่โจมของห่วงเหล็กทั้งสองไปได้โดยง่าย เรียกเสียงโห่ร้องจากผู้ชมได้ไม่น้อยทีเดียว
หยางซีเหมินเห็นเช่นนั้น คิ้วทั้งสองพลันขมวดมุ่น มือซ้ายกรีดเป็นวง มือขวาต่อยออก ห่วงเหล็กทั้งสองแยกย้ายกันเข้าจู่โจม อันหนึ่งหมุนคว้างเป็นแนวโค้งอ้อมเข้าจู่โจมจากทางเบื้องหลัง อีกอันกลับควงสว่านอย่างรุนแรง เกิดเป็นกระแสพลังอันแหลมคมแกร่งกล้า พุ่งทะลวงเข้าใส่จากทางด้านหน้า
จื่ออิงยังคงอาศัยท่าร่างอันรวดเร็ว สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้างจนพลิ้วไหวราวกับปีกคู่หนึ่ง ร่างพลันทะยานเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า หลบหลีกจากห่วงเหล็กหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง
ห่วงเหล็กทั้งสองเมื่อพลาดจากร่างของเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง ก็พุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามันจะต้องกระแทกชนกันจนหักพังลง หยางซีเหมินเห็นเช่นนั้นมือสองข้างพลันประกบเข้าหา จากนั้นหงายฝ่ามือดันขึ้น ห่วงเหล็กเมื่อพุ่งเข้ามาจวนเจียนจะกระทบถูกกันพลันแปรเปลี่ยนทิศทาง พุ่งขนานตีคู่กันขึ้นสู่ท้องฟ้า เป้าหมายยังคงเป็นร่างของจื่ออิง
ครานี้เห็นทีจื่ออิงคงมิสามารถหลบหลีก เนื่องจากร่างลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ไม่มีที่ให้หยั่งเท้า คิดเปลี่ยนแปรกระบวนท่านับว่ายากเย็นแล้ว
ห่วงทั้งสองพุ่งแหวกอากาศดังสะท้านขวัญ ผู้ชมต่างอุทานออกมา บางคนเห็นว่าจื่ออิงคงต้องพ่ายแพ้ภายใต้กระบวนท่านี้อย่างแน่นอน ดรุณีน้อยหลายคนที่ชมดูอยู่ ต่างกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
ร่างที่ลอยคว้างของจื่ออิง เห็นได้ชัดว่ากำลังจะถูกห่วงทั้งสองอันเสียบทะลุร่าง พลันปรากฏการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ร่างทั้งร่างหมุนเป็นวงกลม ลำตัวขนานพื้น คล้ายใบพัดขนาดยักษ์ ก่อเกิดกระแสลมหนักหน่วงพุ่งปะทะจนตัวห่วงเชื่องช้าไปชั่ววูบ จังหวะนั้นเอง ร่างของจื่ออิงพลันหมุนคว้างออกห่าง สุดท้ายร่างม้วนเป็นทรงกลม กลับตีลังกาสามตลบยืนลงบนพื้นอย่างสวยงาม
ผู้ชมต่างโห่ร้องอย่างลืมตัว เสียงตบมือดังลั่น หยางซีเหมินขบกรามกรอดด้วยความแค้น ตัดสินใจใช้ไม้ตายประจำตัว กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงห่วงคู่ดาวตกนาม ดาวตกคู่อหังการ
มันเกร็งลมปราณถึงขีดสุด ร่างยิ่งมายิ่งเบ่งพองจนใหญ่โตยิ่ง ห่วงทั้งสองพุ่งอย่างเร่งร้อน ยิ่งมายิ่งรวดเร็วจนคล้ายประกายวิชชุ หรือดาวตกจริงๆ
จากคุณ :
ทีมแต่งนิยาย
- [
5 ธ.ค. 46 22:10:33
]