MY LAST VALENTINE
ฉันค่อยๆเอาปลายช้อนตักวุ้นส่วนที่เป็นกะทิออก แล้วจึงตักวุ้นใสๆ สีสวย เข้าปาก ฉันทำอย่างนั้นสลับกันไป จนวุ้นหมดถ้วย ใครๆมักสงสัยว่า ทำไมฉันจึงไม่ซื้อวุ้นที่ไม่มีกะทิสลับชั้นมากิน .... จะได้ไม่ต้องตักทิ้งไปอย่างนั้น ฉันมักยิ้มให้ แทนคำตอบเสมอ
2 ปีก่อน ฉันเคยซื้อวุ้นแบบนี้มาลองชิม แต่ฉันไม่ชอบส่วนที่เป็นวุ้นกะทิ เขาคนนั้นจึงกินส่วนที่เป็นวุ้นกะทิแทนฉัน ทีแรกฉันคิดว่าเขาคงชอบ เขาถึงกิน แต่มารู้ที่หลังว่า เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบวุ้นกะทิเหมือนกัน มันทำให้ฉันคิดถึงเขาทุกครั้งที่เห็นวุ้นแบบนี้ และอดไม่ได้ที่จะซื้อมัน
แต่มาวันนี้ ฉันไม่มีเขาคนนั้นอีกแล้ว .... . . .
( May 2001 ) ฉันได้เจอเขาครั้งแรก ในวันปฐมนิเทศน์ของคณะที่ฉันเรียนอยู่ วันนั้นฉันได้เจอเพื่อนเก่าๆมากมาย และเขาก็เป็นเพื่อนกับเพื่อนเก่าของฉันเอง
เสร็จจากการปฐมนิเทศน์ เพื่อนของฉันแนะนำให้เรารู้จักกัน ฉันถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้เรียนที่มหาลัยเดียวกันกับฉัน แต่เพิ่งเข้าปี 1 เหมือนกัน ตอนนั้นฉันมองดูเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเจอคนที่ดูเป็นคนเฉยเมยและเย็นชาขนาดนี้มาก่อน เพื่อนๆชวนกันไปทานข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อจะได้คุยกันให้หายคิดถึงหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เกือบ 2 ชม.บนโต๊ะอาหาร เขาไม่พูดอะไรซักคำ ดูเขาไม่สนใจเลย ว่าใครจะพูด จะถาม หรือเล่าสู่กันฟังเรื่องอะไรไปบ้าง เพื่อนๆเองก็ดูไม่แปลกใจกับสิ่งที่เขาเป็น ทุกคนพูดคุยกันสนุกสนาน มีเพียงฉัน ที่นั่งจ้องเขา เหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยังไงยังงั้น
หลังจากที่เจอกันวันนั้น... ฉันกับเพื่อนๆของเขาดูจะเข้ากันได้ดี ทั้งๆที่เพื่อนเขาเป็นผู้ชายทั้งหมด แต่เราก็สนิทสนมกันได้เร็ว (คงเป็นเพราะฉันเองก็ไม่เหมือนผู้หญิงซักเท่าไหร่ล่ะมั้ง) ส่วนเขา.. ก็ยังคงดูเฉย...ย เหมือนเดิม
( June 2001 )ตอนเปิดเทอม..
หลังเลิกเรียน - ถ้าวันไหนที่เราว่างตรงกัน พวกเราจะนัดมาเจอกัน มากินข้าวด้วยกัน ฉันจึงได้เจอเขาอยู่บ่อยๆ ฉันมักเป็นฝ่ายทักทายและพูดคุยกับเขาอยู่ฝ่ายเดียวทุกครั้งไป
( July 2001 )1 เดือนผ่านไป..
ฉันกับเพื่อนๆที่มหาลัยเดียวกัน เพิ่งตกลงกันได้ว่าจะอยู่หอ แทนการเดินทางไปกลับ ที่ทั้งไกลทั้งเหนื่อย ( แต่เขากับเพื่อนๆ อยู่หอกันตั้งแต่แรกแล้ว )
มหาลัยของฉันกับมหาลัยเขาอยู่ใกล้ๆกัน หอพักแถวนั้น จึงมีนักศึกษาของมหาลัยฉันกับมหาลัยเขาปะปนกันไป แบบครึ่งต่อครึ่งทีเดียว หอพักที่ฉันอยู่ก็เช่นกัน
วันนี้ฉันทักทายเขาอย่างเคย เขาตอบรับฉันว่า หวัดดี ฉันที่กำลังจะทักทายเพื่อนคนอื่นต่อ ถึงกับหยุดชะงัก.... เพื่อนคนอื่นๆก็เช่นกัน เราทุกคนมองเขาเป็นตาเดียว แต่เขากลับเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันกับเพื่อนๆ มองหน้ากันไปมาอย่าง งงๆ แล้วต่างคนก็ต่างเฉยกันไป ( เก็บไว้ค่อยไปงงต่อที่หลัง ประมาณนั้น )
กลับหอไปวันนั้น ฉันก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้อีกครั้ง ยังอดรู้สึกดีใจไม่ได้ นี่ก็ 2 เดือนมาแล้วที่เรารู้จักกัน ในที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปากพูดกับฉันเสียที
หลังจากวันนั้นมา ฉันกับเขาก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น บ่อยขึ้น จนกลายเป็นว่าเรา 2 คน กลายเป็นคู่หูกันไปเลย ถึงวันไหนเพื่อนๆจะไม่ว่างมาเจอกัน แต่เขามักมากินข้าวกับฉันอยู่บ่อยๆ พอเริ่มสนิทกัน ฉันถึงได้รู้ว่า เขายังมีน้องสาวอีก 1 คน อยู่ที่บ้าน กำลังเรียนม.ปลาย และเขาก็ดูจะรักน้องสาวของเขามากเลยทีเดียว เขามักหาเวลาว่างเพื่อจะไปรับไปส่งหรือพาน้องสาวมากินข้าวด้วยกันเสมอ เพราะน้องสาวเขาไม่ค่อยแข็งแรง และมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เกิด ต้องเข้าออกโรงพยาบาลจนเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
เย็นวันหนึ่ง.. เขาโทรมาหาฉัน และขอให้ฉันไปงานศพเป็นเพื่อนเขาหน่อย ฉันถึงได้รู้ว่าน้องสาวของเขาเสียชีวิตแล้ว ตอนที่เขามารับฉัน ฉันเห็นตาเขาแดงก่ำ ฉันสงสารเขาจับใจ แต่เพราะความรีบร้อน เราจึงยังไม่ได้พูดอะไรกัน จนเมื่องานเลิก เขาเดินไปยืนพิงเสาและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ฉันเดินไปหาเขา ได้แต่ยืนเป็นเพื่อนเขา แต่ไม่รู้จะพูดยังไง เขาหันมากอดฉันและร้องไห้อย่างหนักจนฉันรู้สึกได้ถึงการสะอื้นของเขา ไปๆมาๆฉันเองก็พลอยร้องไห้ไปกับเขาด้วยเหมือนกัน
เมื่อไม่มีน้องสาว.. เวลาเกือบทั้งหมดของเขา ก็ให้กับฉัน
นานวันไปฉันเริ่มสังเกตเห็นว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อฉัน มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเวลาที่ฉันเห็นเขาปฏิบัติต่อน้องสาวของเขา ความอ่อนโยนและความห่วงใยที่เขามีให้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ฉันยังเคยนึกเลยว่า ถ้าฉันมีพี่ชายแบบนี้ ฉันคงรักพี่ชายของฉันไม่น้อยเลย แต่ละวันที่ผ่านไป ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหาเข้ามา เขาจะคอยแก้ปัญหาให้ฉันเสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไร วิชาไหนที่ฉันเรียนไม่เข้าใจ เขาจะเอาไปอ่านแล้วมาอธิบายให้ฟัง ทั้งๆที่บางวิชา เขาไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ เวลาไปกินข้าวด้วยกัน บนโต๊ะจะมีแต่อาหารที่ฉันชอบ วันไหนที่ฉันไปหมกอยู่ที่ร้านหนังสือ ฉันจะมีเขาอยู่ด้วยทั้งวัน คอยพาฉันไปทานข้าวกลางวัน เพราะเวลาที่ฉันเข้าร้านหนังสือ ฉันจะเพลินจนลืมเวลาเสมอ
( September 2001 ) ช่วงสอบ Final ของปี 1 เทอม 2 ฉันต้องดูหนังสือหนัก จึงอดนอนหลายคืนติดกัน ทำให้วันหลังๆของการสอบฉันเริ่มไม่สบาย หลังสอบเสร็จวันสุดท้าย ฉันมีไข้ขึ้นสูง ฉันได้เขามาคอยดูแล ให้ฉันทานข้าว ทานยา เอาผ้าชุบน้ำมาแปะหน้าผากให้ เขานั่งเฝ้าฉันไป อ่านหนังสือสอบไป มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ที่จะมีใครซักคนมาคอยดูแลเราแบบนี้
( 14 February 2002 ) ปีนี้ฉันได้ของขวัญวันวาเลนไทน์จากเขาเป็นคนแรก ฉันคิดว่าเขาเห็นฉันเป็นเพื่อน จึงให้เพราะความเป็นเพื่อน ฉันเลยไม่คิดอะไรนอกจากดีใจที่เขานึกถึงเพื่อนอย่างฉัน
ยิ่งนานวันไป สิ่งต่างๆที่เขาทำให้มา ยิ่งสะสมเป็นความรู้สึกที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนฉันพูดได้ว่า เขารักฉันมากกว่าเพื่อนคนไหนๆ ฉันมีความสุขมากที่มีเพื่อนอย่างเขา
10 เดือนมาแล้ว
ที่ความเป็นเพื่อน ระหว่างฉันกับเขา ยังคงดำเนินไปด้วยดี ...
( 14 March 2002 ) เย็นวันนั้น เขามาหาฉันอย่างเคย ท่าทางเขาเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ทำท่าเหมือนจะพูดแล้วก็ไม่พูดอยู่หลายครั้ง ฉันถามเขาว่ามีอะไรรึเปล่า เขาจึงบอกฉันว่า เขารักฉัน รักมากกว่าความเป็นเพื่อน และเขาอยากให้ฉันเป็นแฟนกับเขา ฉันทำอะไรไม่ถูก ตกใจก็ตกใจ งงก็งง แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรไป ได้แต่เดินกลับห้องไป ฉันสับสน เพราะฉันไม่เคยคิดว่าคนที่ดีพร้อมอย่างเขา จะมาสนใจผู้หญิงอย่างฉัน ทั้งๆที่ฉันไม่ใช่คนที่ดีอะไร และฉันก็ดูไม่เหมือนผู้หญิงสักนิด
ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะบอกเขา ว่าอยากให้คบกันเป็เพื่อนอย่างเดิม แต่ด้วยการหว่านล้อมต่างๆนานาจากเพื่อนๆ และคำถามจากเพื่อนๆที่ว่า เขามีอะไรไม่ดี ถึงคบเป็นแฟนไม่ได้
( 21 March 2002 )ฉันกลับไปคิดอยู่ 1 สัปดาห์ ฉันก็หาคำตอบไม่ได้ว่า เขามีอะไรไม่ดีฉันถึงคบเขาเป็นแฟนไม่ได้ - ฉันจึงตอบตกลง - ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันยังเห็นเขาเป็นเพียงเพื่อน แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาเสียใจ
จากคุณ :
TheOne
- [
8 ธ.ค. 46 01:26:42
A:203.118.80.221 X:
]