เมื่อทานตะวันบาน (ในใจ)

    บรรยากาศงานรับปริญญาเต็มไปด้วยความครึกครื้นและอบอุ่น บรรดาญาติมิตรของบัณฑิตใหม่พากันมาแสดงความยินดี ท่ามกลางความสวยงามของไม้ดอกหลากหลายสีสันที่ทางมหาวิทยาลัยปลูกไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ อากาศเย็น ๆ ของเมืองเหนือในช่วงต้นปีเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ความอบอุ่นของครอบครัวและเพื่อนพ้องของบัณฑิตใหม่จางหายไปได้เลย...

             กันยวีร์ ก็เป็นหนึ่งในบัณฑิตใหม่ที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องล้อมหน้าล้อมหลังถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้ประหวั่นกับแสงแดดยามสายที่เริ่มแผดแรงกล้าขึ้นทุกทีแม้แต่น้อย  จนกระทั่งใกล้เที่ยงครอบครัวของหล่อนจึงขอกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมและปล่อยให้หล่อนอยู่ถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ต่อด้วยเข้าใจว่าหล่อนคงอยากจะอยู่กับเพื่อน ๆ ให้นานที่สุด เพราะต่อจากนี้ไปไม่รู้ว่าจะต้องแยกย้ายกันไปที่ไหนบ้าง ช่วงเวลาที่เหลืออยู่จึงมีความหมายมากสำหรับหล่อนและบัณฑิตใหม่คนอื่น ๆ

             ขณะที่กำลังถ่ายรูปหมู่กับเพื่อน ๆ อยู่นั้นเอง หล่อนก็บังเอิญไปสบตากับผู้ชายคนหนึ่งเข้า...คนที่หล่อนคิดว่าในชีวิตนี้คงจะไม่เจอเขาอีก... เขาเดินตรงเข้ามาหาหล่อนพร้อมกับช่อดอกทานตะวันช่อเล็ก ๆ ในมือ

             "...พี่วัต..." หล่อนครางชื่อนั้นออกมาเบา ๆ เบาเสียจนหล่อนเองก็เกือบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน แต่คนตรงหน้านั้นก็ยังคงเดินเข้ามาหาหล่อนใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา...

             ชายหนุ่มมาหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้ดูเป็นสาวขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ทำผม รวมทั้งท่าทางที่ดูเรียบร้อยขึ้น แตกต่างจากเด็กกะโปโล ห้าวทะโมนที่เขาเคยเห็นเมื่อสามปีก่อนมากมายนัก

             "ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่นะจ๊ะ" เขาว่าพลางยื่นช่อดอกไม้ในมือให้อย่างเขิน ๆ กันยวีร์เอื้อมมือไปรับอย่างไม่ค่อยมั่นใจ จริง ๆ หล่อนไม่มั่นใจว่านี่หล่อนกำลังฝันหรือว่ามันเป็นเรื่องจริงกันแน่

             "ขอบคุณค่ะ...พี่วัตมาได้ยังไงคะ" หล่อนถามไปตามที่อยากรู้ เพราะเท่าที่หล่อนรู้มา ปริวัตต์ รุ่นพี่ที่คณะของหล่อนคนนี้ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่ต่างประเทศอีกสามปีจึงจะจบและกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยนี้

             "พี่ลามาน่ะสิ งานรับปริญญาของวีร์ทั้งทีนี่นา" เขาตอบเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่หล่อนเคยได้ยิน เพราะเท่าที่หล่อนเคยรู้จักรุ่นพี่คนนี้มา เขาไม่เคยเห็นหล่อนเป็นผู้หญิงเลยสักครั้ง

             กันยวีร์เข้าปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยนี้เมื่อเขาอยู่ปีสาม ทั้งคู่ได้รู้จักและสนิทสนมกันเนื่องจากกันยวีร์ไปสมัครเป็นสมาชิกชมรมอาสาที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานอยู่ในขณะนั้น

            "เย็นนี้วีร์ต้องไปทานข้าวกับที่บ้านหรือเปล่า" เขาถามหลังจากที่ถ่ายรูปคู่กับหล่อนไปสองใบ กันยวีร์เอียงคอมองหน้าเขาอย่างสงสัย

            "ค่ะ พี่วัตมีอะไรเหรอคะ"

            "ทานข้าวกับที่บ้านเสร็จแล้ว เราไปกินนมกันมั้ย พี่คิดถึงร้านนมหน้ามอน่ะ" ปริวัตต์ตอบยิ้ม ๆ โดยไม่ได้สบตากับคู่สนทนาแต่อย่างใด

             "พี่อยากไปทบทวนบรรยากาศเก่า ๆ ไม่ได้มานานแล้ว ว่าไง ไปกับพี่ได้รึเปล่า" เขาหันมาถามหญิงสาวข้าง ๆ อีกครั้งเหมือนไม่ต้องการให้หล่อนปฏิเสธ

             "ได้สิคะ พวกแนน โต้ง เก่ง นัท ก็คงอยากไปเหมือนกัน นั่นไง มาพอดีเลยค่ะ" หล่อนชี้ให้เขาหันไปดูเพื่อน ๆ ร่วมชมรมของหล่อนที่กำลังวิ่งกันเข้ามาหาเมื่อรู้ว่าปริวัตต์กลับมา

             "พี่วัต!!! ดีใจจังเลยที่พี่กลับมา อย่างงี้ต้องไปฉลองกันหน่อย" เก่ง แกนนำของกลุ่มเอ่ยทักอย่างดีอกดีใจ คนอื่น ๆ ก็พลอยเออออด้วยความดีใจไม่ต่างกัน

            "เอาสิ เมื่อไหร่ดี พรุ่งนี้เป็นไง" ปริวัตต์ยิ้มหัวให้กับน้อง ๆ ทุกคน แต่หันมาสบตากับกันยวีร์เหมือนต้องการบอกอะไรบางอย่าง

             "ได้เลยพี่ พวกผมจะล้างท้องรอ มะรืนไม่ต้องตื่นเช้าแล้วเมาได้เต็มที่ งานนี้ไม่เมาไม่เลิกรานะพี่นะ" เก่งว่าเสียงลั่นราวกับจะประกาศว่าตัวเองเป็นไทแก่ตัวแล้ว

             ปริวัตต์พูดคุยกับกลุ่มน้องชมรมอีกสักพัก ก็ขอตัวกลับโรงแรมโดยอ้างว่าเพิ่งเดินทางมาถึงก็ตรงมาที่นี่เลยยังไม่ได้พักผ่อนและนัดแนะเวลาและสถานที่สำหรับการเลี้ยงฉลอง แต่ก่อนกลับเขาก็ไม่ลืมที่จะกระซิบกับกันยวีร์

             "คืนนี้พี่จะไปรอหน้าโรงแรมนะ" กันยวีร์ได้แต่มองตามร่างสูงโปร่งนั้นไปอย่างไม่เข้าใจและความรู้สึกที่สับสนแปลก ๆ ที่หล่อนเองก็อธิบายให้กับตัวเองไม่ได้



             เมื่อสี่ปีก่อนสมัยที่หล่อนยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง หล่อนเข้าชมรมทำกิจกรรมมากมายจนกระทั่งได้มาสนิทสนมกับเขา...ปริวัตต์...ชายหนุ่มมาดขรึมผู้มีตำแหน่งเป็นถึงประธานชมรมอาสาแต่กับหล่อนแล้วเขาไม่เคยวางมาดขรึมใส่ หากยังคอยยั่วโมโห กวนอารมณ์หล่อนให้ขุ่นอยู่ร่ำไปอีกด้วย จนหัวใจของเด็กสาวเริ่มหวั่นไหวกับการเอาใจใส่ดูแล และห่วงใยในบางครั้ง และการแหย่ให้หล่อนโมโหแล้วก็ง้อด้วยวิธีการง้องอนแบบแปลก ๆ ของเขา จนกระทั่ง...

             "เฮ้ย ไอ้เก่ง เพื่อนเอ็งคนนั้นที่เป็นหลีดคณะเราน่ะ น่ารักดีว่ะ"

            "พี่สนใจเหรอ ผมติดต่อให้เอาป่าว"

            "จะดีเหรอวะ"

             ตั้งแต่นั้นมา กันยวีร์ก็แอบเห็นเขาคุยโทรศัพท์ไปยิ้มไปอยู่หลายครั้ง แนน เพื่อนสนิทของหล่อนเองก็คอยเอาเรื่องที่ปริวัตต์ไปไหนมาไหนกับน้องคนนั้นมาเล่าให้ฟัง จนหล่อนเกิดความไม่มั่นคงทางใจ และคิดจะตัดใจจากเขาโดยวิธีการงี่เง่าที่คิดออกในตอนนั้น คือ การหลบหน้าและไม่ยอมพูดจากับเขา จากวัน เป็นสัปดาห์ จนปริวัตต์รู้สึกผิดสังเกตในพฤติกรรมของรุ่นน้องคนสนิทที่ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน หนำซ้ำยังทำมึนตึงกับเขา ถามคำตอบคำ จนเขาต้องเอ่ยปากถามในที่สุดในวันสุดท้ายของการสอบของเขา ซึ่งหมายถึงวันสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้

             "วีร์ เป็นอะไร ทำไมพักนี้ไม่ค่อยพูดกับพี่เลย" เขาถามขึ้นในคืนหนึ่งขณะที่คนอื่น ๆ ยังอ่านหนังสืออยู่เพราะยังสอบไม่เสร็จ แต่เขากับกันยวีร์สอบเสร็จแล้ว

             "ไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่ขี้เกียจพูด ไม่รู้จะพูดอะไร"

             "แน่ใจนะ วีร์ไม่พูดกับพี่มาเป็นอาทิตย์แล้วเนี่ยนะ ไม่เป็นอะไร"

             "ทำไมล่ะ แค่วีร์ไม่พูดด้วย พี่วัตก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลยนี่"

             "เดือดร้อนสิ อย่างงี้มันก็เท่ากับว่าพี่เสียน้องสาวไปคนนึงเลยนะ"

             กันยวีร์ไม่ตอบอะไร เอาแต่นิ่งเงียบ นี่เขาคิดกับหล่อนเพียงแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นจริง ๆ มีเพียงหล่อนเท่านั้นที่คิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวมาตลอด คิดมาถึงตรงนี้น้ำอุ่น ๆ ก็รื้นขึ้นมาที่ขอบตา แต่หล่อนก็ยังไม่ยอมให้มันไหลออกมาในตอนนี้ ถ้าเขาเห็นความจริงในใจทุกอย่างของหล่อนก็ต้องถูกเปิดเผยแน่ ๆ แล้วมันจะน่าอายขนาดไหน

             "วีร์มีอะไรจะบอกพี่มั้ย" เขาถามเสียงอ่อนลง หวังว่าจะได้ยินความในใจอะไรบางอย่างจากหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ ...หญิงสาวที่เขาคิดว่าเขาผูกพันและสนิทสนมยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยรู้จักมา... หากคำตอบคือความเงียบ นิ่ง และนาน...จนเขาถอดใจ

             "ตกลงว่าไม่มีอะไรจะบอก ไม่มีอะไรจะพูด ตามใจ ถ้าวีร์อยากให้มันจบอย่างนี้...ก็ตามใจ" เขาลุกเดินจากไปพร้อม ๆ กับน้ำตาที่ร่วงเผาะของกันยวีร์ และนาทีนั้นเองที่หล่อนตัดสินใจว่าจากนี้ไปหล่อนจะลบชื่อของผู้ชายคนนี้ออกจากใจ ในเมื่อเขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว อีกนานกว่าจะกลับมา และถึงเวลานั้นหล่อนก็คงจะไปเรียนต่อเหมือนกัน ยังไงเสียก็คงไม่มีวันได้เจอะเจอกันอีก เอาเถอะแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นที่หล่อนจะร้องไห้ให้กับเขา

             ...และถึงวันนี้...เขากลับมาหาหล่อน กลับมาพร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ ของหล่อนที่มันเริ่มเกาะกุมหัวใจนับแต่วินาทีแรกที่เห็นเขา ตัวเขาเองก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป ...มันคงเป็นแค่อาการชั่ววูบเท่านั้น...หล่อนบอกกับตัวเอง



             เข็มนาฬิกาข้อมือของชายหนุ่มชี้บอกว่าเวลาขณะนี้เลยสี่ทุ่มมาหลายนาทีแล้ว เขายังคงยืนชะเง้ออยู่ที่ลานหน้าโรงแรมที่พักของกันยวีร์ แต่ไม่มีแม้แต่เงาของหญิงสาวที่เขาเฝ้าคอยเดินออกมาจากโรงแรมเลย ปริวัตต์ส่ายหน้าแล้วยิ้มกับตัวเอง...นี่เขาคงจะคิดอะไรผิดไปสินะ กันยวีร์คงไม่มีความรู้สึกแบบเดิมให้กับเขาอีกแล้ว...

             "จะกลับแล้วเหรอคะพี่วัต" เสียงใส ๆ แว่วมาจากด้านหลังของเขา ปริวัตต์รีบหันกลับมามองและได้พบกับสิ่งที่เขารอคอยมาเกือบชั่วโมง เขาปรี่เข้าไปหาหล่อนพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

             "นึกว่าวีร์จะไม่ยอมไปกับพี่ซะแล้ว" หญิงสาวยิ้มให้อย่างที่เขาไม่เคยนึกว่ารอยยิ้มของหล่อนจะทำให้หัวใจของเขาชุ่มชื้นได้ถึงเพียงนี้...สิ่งนี้กระมังที่เขาโหยหามานานกว่าสามปี

             "ไปสิคะ พี่วัตจะเลี้ยงทั้งที พลาดไปก็เสียดายแย่" หล่อนว่าน้ำเสียงร่าเริง เหมือนอย่างที่เขาเคยได้ยินมาจนเจนหู หากแต่วันนี้คนพูดนั้นไม่ใช่กันยวีร์เด็กกะโปโลคนเก่าที่เขาเคยรู้จักอีกแล้ว



             ร้านนมเล็ก ๆ อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยนักเต็มไปด้วยนักศึกษาและผู้คนมากหน้าหลายตาแน่นร้าน กันยวีร์เยี่ยม ๆ มอง ๆ เข้าไปในร้านแล้วหันมาทำหน้าแหย ๆ

             "สงสัยจะไม่มีที่แล้วล่ะค่ะ พี่วัต" ปริวัตต์ยิ้มกับคำพูดนั้นแล้วเดินไปพูดอะไรกับเจ้าของร้านสองสามคำ แล้วก็เดินมาที่หล่อนพาเข้าไปหลังร้าน ซึ่งเป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ มีโต๊ะตั้งอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะนั้นมีแจกันปักดอกทานตะวันไว้หนึ่งดอกและเทียนที่ถูกจุดไว้แล้ว

             กันยวีร์ขมวดคิ้วเรียว ๆ ของหล่อนเป็นเชิงถามผู้ชายตัวสูงที่เดินนำเข้ามา หากได้เพียงรอยยิ้มอบอุ่นเป็นคำตอบ หล่อนจึงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งคู่นั่งลงและสั่งเครื่องดื่มแบบที่เคยสั่งกันประจำ

             "วีร์ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ...สวยขึ้น" เขาชวนคุย แต่วลีสุดท้ายนั้นเหมือนเปรยกับตัวเองมากกว่า

             "ค่ะ เวลาเปลี่ยนไป อะไร ๆ ก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปทั้งนั้นแหละค่ะ พี่วัตเองก็เปลี่ยนไปนะคะ" หล่อนตอบกลับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ หากทำให้คนฟังนั้นรู้สึกใจแป้วไปไม่น้อย

            "วีร์อาจจะคิดว่าพี่เปลี่ยนไป แต่มีอย่างหนึ่งที่พี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ" เขามองสบตาหล่อนนิ่ง

             "แล้วพี่ก็อยากจะรู้ว่าวีร์จะเหมือนพี่รึเปล่า" กันยวีร์ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในคำพูดของเขา

             "อะไรคะ?" หล่อนต้องถามออกมาในที่สุด ด้วยความอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก...เขายังคงเห็นหล่อนเป็นน้องสาวไม่เปลี่ยนแปลงอย่างนั้นสินะ...

             ปริวัตต์หยิบกล่องสีเหลี่ยมกำมะหยี่สีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาเปิดมันออกแล้วหยิบสร้อยข้อมือสีเงินเส้นบางมีจี้ห้อยรูปดอกทานตะวันออกมา แล้วบรรจงสวมลงบนข้อมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะแข็งขืน

             "อะไรกันคะพี่วัต" หล่อนพึมพำออกมาได้แค่นั้นเอง

             "สามปีที่ผ่านมา พี่เหงา ไม่เคยรู้สึกเหงาอย่างนี้มาก่อนเลยเชื่อมั้ย พี่จะบอกวีร์ตรง ๆ เลยก็แล้วกันนะ ตลอดเวลาที่พี่ไม่มีวีร์อยู่ข้าง ๆ พี่ถึงได้รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับวีร์ พี่รู้ว่ามันไม่ใช่แค่พี่ชายกับน้องสาว พี่...บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่พี่คิดว่าพี่...เอ่อ...พี่ รัก วีร์" เขาพรั่งพรูความรู้สึกในใจออกมาหมดสิ้น จนประโยคสุดท้าย เขาเน้นชัดถ้อยชัดคำ และชัดเจนในความรู้สึก กันยวีร์ได้แต่นั่งนิ่งไม่เชื่อหูตัวเอง นานจนปริวัตต์ต้องแตะมือหล่อนเบา ๆ เป็นการเรียก

            "วีร์...ไม่เชื่อพี่เหรอ พี่พูดจริง ๆ นะ แล้วพี่ก็อยากจะรู้ว่า วีร์จะเป็นเหมือนพี่รึเปล่า" ไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมาจากปากบางของหญิงสาว หากมีเพียงรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของเขาชุ่มชื้นทุกครั้งที่ได้เห็น และเขาก็เชื่อมั่นว่าเขาจะได้เห็นรอยยิ้มอย่างนี้จากผู้หญิงที่เขารักตลอดไป...



    แต่งเล่น ๆ แก้กลุ้มน่ะค่ะ ก็เลยเอามาให้อ่านฆ่าเวลาสำหรับ ...หนุ่มน้ำพริกเผาฯ ภาคสอง ไงคะ


    จากคุณ : มดตะนอย - [ 8 ธ.ค. 46 14:29:40 A:203.147.20.26 X: ]