(หากลืมไปแล้วว่าคราวก่อนว่าอย่างไร ก็ที่นี่)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2564557/W2564557.html
(ต่อมา...)
ที่บ้าน เป็นบ้านเก่าที่ซื้อต่อจากคนไทย เขาจะมีต้นไม้ที่โตแล้วและให้ผลแล้ว เช่น ต้นอาโวคาโด ซึ่งตกลูกทุกบ่อย เสียดายที่ต้นสูงเกินที่จะปีน ไม่อย่างนั้น ฉันและน้องๆ คงสนุกกับอาโวคาโดได้หลายเวอร์ชั่น นอกนั้นก็มีมะกรูด และพืชพันธุ์ต่างๆ แต่ไม้ยืนต้นที่เหล่าสิงห์น้อยคลั่งไคล้มาก คือมะกรูด
มะกรูดต้นใหญ่มาก ให้ทั้งใบ ให้ทั้งผล เราเด็ดเอามาทำอาหาร และใช้ผลมาหมักผมกันจนเกินเพลิน วันหนึ่ง คุณน้าบอกว่า เอาไปขายที่ตลาดไทยในแอลเอสิ เผื่อเขาจะซื้อ
เซลวูแมนสมยอม ทำหน้าที่โทรติดต่อลูกค้าทันที ลูกค้าสนใจ บอกว่ารับไม่อั้น เอาเลย เช้าตรู่วันเสาร์ เราเหล่าสิงห์สยอง จัดการเอาบันไดพาดต้นมะกรูด บ้างไปยืนบนขอบรั้ว ยืนเด็ดใบมะกรูด และผลมะกรูด จนแขนปวดแสบปวดร้อน หน้าดำเพราะแดดแรง ตกสาย อาบน้ำอาบท่า แล้วขับรถเข้าเมือง นำมะกรูดไปส่ง
สำหรับล๊อตแรก ไม่เลวเลย ขายได้ตั้ง 50 เหรียญแน่ะ พวกเราดีใจกันมาก นี่คือการค้าขายครั้งแรกในชีวิตของเรา หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆ แต่เจ้าของร้านกดราคา เราเห็นว่าไม่คุ้มกับความเจ็บปวดที่เราได้รับ เลยเลิกรูดมะกรูดกันไป
เวลามีผู้ใหญ่ไปอเมริกา เช่นเพื่อนของพ่อแม่ เราก็จะแสลนไปทักทาย เช่น ท่านมางานโน้น นี้ เรารู้เข้า ก็พุ่งไป แล้วเดินเข้าไปทักทาย ผู้ใหญ่เห็นเด็กน้อยเข้ามาทักอย่างคาดไม่ถึง ก็จะเอ็นดู และแล้ว ก่อนจาก ท่านก็จะให้สตางค์เราไว้ใช้ ฮูเร่
ได้อีกแล้ว
ชีวิตพี่น้องที่อยู่กันเองนั้น ฟังดูเหมือนจะเป็นความลำเค็ญ แต่แท้ที่จริงแล้ว ในวัยเด็ก ซึ่งยังไม่มีสีดำสนิม มาแปดเปื้อนหัวใจมากนัก ทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อุปสรรค หรือความรันทดที่เข้ามา มันก็แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป
ฉันกลับคิดว่า ชีวิตช่วงนี้ เป็นช่วงหนึ่งที่สนุกที่สุด เราเหล่าสิงค์คะนองนา เป็นพี่น้องที่เข้าใจกัน ขนาดมองตาก็รู้ว่าคิดอะไร แล้วทำได้เลย โดยไม่ต้องพูด ต้องบอก ต้องกล่าว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันและน้องๆ ไปโผล่ที่งานคอนเสริตเพลงคลาสิค ซิมโฟนีออเคสตร้า ฝรั่งแต่ละคนที่มาก็จะเป็นผู้ใหญ่ และแต่งตัวหรูหราราตรี
แต่สามสิงห์ เป็นเด็กกระเหรี่ยงน้อย หน้าตาไม่เข้ากับคอนเสริต แถมแต่งตัวก็ออกแนวหมีพูห์ กล่าวคือ ใส่สเวทเตอร์ กางเกงลูกฟูก ยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ยืนเด๋อด๋าอยู่หน้างาน ฝรั่งก็มองสายตาแปลกๆ พอเข้าไปนั่งฟัง ก็นั่งหลับๆ ตื่นๆ ฉันสงสารน้องเหมือนกัน แต่มันต้องทน เพราะดันเกิดมาเป็นน้องฉันเองทำไม
เหตุเพราะ ฉันดันไป Take class ประวัติศาสตร์เพลงคลาสสิค และหนึ่งในการบ้านก็คือ ต้องไปฟังเพลงคลาสสิคและเอาตั๋วมาให้ครูดูจึงจะได้คะแนน ----- คิดในแง่ดี โอกาสอย่างนี้ หาไม่ได้แล้ว หากไม่มีเหตุการณ์บังคับ มีรึ จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบเทศแท้ๆอย่างนี้
ที่อมริกา อะไรๆก็ต้องทำเอง เราจึงต้องเรียนรู้ การเปลี่ยนล้อรถยนตร์โดยปลอดภัย เราเปลี่ยนยางล้อรถกันอย่างคล่องแคล่ว และฉันก็พัฒนาฝีมือทำอาหารได้จนทุกคนออกปากชม
ทุกเสาร์ เราตื่นมา จะผลัดกันจัดเวรทำความสะอาดบ้าน เช่น วันนี้ เวรน้องรองตัดหญ้า ก็โน่น ไก่โห่ จะได้ยินเสียงเครื่องตัดหญ้าดังลั่น เพื่อนบ้านซึ่งยังหลับอุตุ โผล่มามองด้วยสายตาตำหนิ น้องก็ต้องหยุดตัดไป ส่วนฉันก็ล้างพรม ดูดฝุ่น ช่วงไหนมีแมลงสาบเยอะ ก็จะ บอม แมลงสาบสักทีหนึ่ง
วิธีการคือ ปิดประตูหน้าต่างทุกบานเว้นประตูหน้าบ้านบานเดียว และเปิดประตูห้องทุกห้องทิ้งไว้ เอาบอมไปวางตามจุดต่างๆแล้วสามสิงห์ ก็จะไปยืนประจำการ ณ.บอมของตน แล้วนับพร้อมกัน อะหนึ่ง อะสอง อะสาม กดตรงหัวบอม น้ำยาก็พุ่งขึ้น เราต้องรีบทะยานออกจากบ้านแล้วปิดประตู เพราะถ้าอยู่ หรือวิ่งไม่เร็วพอ ก็จะแถกเหงือก นอนสลบเสียเอง --------------------- ออกจากบ้าน ไปเที่ยวสักครึ่งวัน พอกลับบ้าน ศพแมลงสาบก็จะตายกลาดเกลื่อน เราก็ต้องมาเก็บกวาด
ปัจจุบัน ฉันและน้องๆ กลับมาอยู่เมืองไทย ทุกคนมีชีวิตที่เจริญตามวิถีทางของตัวเอง ชีวิตเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะมาจากครอบครัวเดียวกัน
ต่างก็มีเส้นทางที่เดินแยกแปลกกันไป แต่สิ่งหนึ่ง ที่เป็นดั่งพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีแร่ธาตุอาหารที่เป็นเชื้อชีวิต ให้เรา
สี่สิงห์สยองน้อย นำมาใช้ได้ไม่มีวันหมด เรา
สี่สิงห์ต้นไม้น้อย ได้รับอาหารพิเศษ จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ จากประสบการณ์ชีวิต จากความทุกข์และอุปสรรคอันมีค่า
*
*
*
ต้นไม้ที่โตโดยใช้สารเร่ง แล้วโตพรวดพราดผิดธรรมชาติ จะมีอายุสั้น และมีร่างกายที่อ่อนแอ แต่กับคน ฉันว่า มันตรงกันข้าม หากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง รู้จักการผ่อนสั้นผ่อนยาว และตัวเด็กเอง มีหัวเชื้อที่ดีพอ เด็กที่โตอย่างกระทันหัน จะมีความแข็งแกร่ง ทนแดดทนฝน กล้าสู้ได้ทุกสภาพดินฟ้าอากาศ มิหนำซ้ำ ยังกล้าที่จะเดินลุยไฟ มุดหินผา เพื่อตามล่าฝัน กล้าคิดแตกต่าง และกล้า
ที่จะเป็นตัวเอง!
ฉันกล่าวกับบอ หลังจากที่เธอแสดงความห่วงใยน้องสาวจนน่าสงสารว่า คนเราย่อมมีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป ไม่มีใครได้เรียนรู้อะไรจากความสุขหรอก ความสุขมีแต่จะทำให้เราหลงระเริง ในที่สุดก็ ติดสุข แต่เราจะเรียนรู้จากความทุกข์ ความทุกข์ทำให้เราแข็งแกร่ง เก่งขึ้น กล้าหาญขึ้น
เราจะเรียนรู้สัจธรรม ก็ต่อเมื่อมีทุกข์
เมื่อมีทุกข์ จึ่งรู้ว่าสุขนั้นมีค่า เมื่อมีทุกข์ สัญชาติญาณก็จะหาทางดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้พ้นทุกข์ นี่เอง เจ้าทุกข์ จึ่งได้เรียนรู้วิธีการเอาชีวิตรอด วิธีการปลดทุกข์ --------- นี่เอง เจ้าทุกข์ จึงได้เรียนรู้ และฉลาดขึ้น
ท่านพ่อแม่และผู้ปกครองที่รัก ท่านจงเปิดตาเปิดหัวใจให้กว้าง พิจารณาลูกหลานของท่านให้เข้าถึงความเป็นตัวตนของเขา แล้วท่านก็ค่อยๆปล่อยเด็กๆของท่าน ให้ได้ลิ้มรสความทุกข์ (อุปสรรค) ตามกาละเทศะ
ท่านจะภูมิใจในลูกหลานของท่าน เมื่อยามที่ท่าน จำเป็นต้องแสวงหาภพใหม่ ท่านจะได้มั่นใจว่า ลูกหลานของท่าน จะมีชีวิตรอดต่อไปในโลก ท่านจะได้ไปอย่างสิ้นห่วงบ่วงอาทร
ด้วยรักและหวังดี
จากคุณ :
น้าสือสาว
- [
วันรัฐธรรมนูญ 12:34:44
]