ละไว้...ในฐานที่เข้าใจ

    ไฟพุ่งขึ้นข้างกระทะ แสดงว่ามันแรงไปหน่อย หากปล่อยไว้ผัดกระเพราไก่กระทะนี้คงเป็นกระเพราดินปืน
    เขาหรี่ไฟลง..เติมน้ำซุบที่ต้มทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า..เหยาะซีอิ้วขาว น้ำตาลเล็กน้อย แล้วตามด้วยเกลือป่นพอติดปลายนิ้ว
    อาหารที่เขาปรุงจะไม่เติมน้ำปลา เพราะน้ำปลาจะทำให้อาหารมีกลิ่นแรง จนดับกลิ่นอื่น ๆ ไปซะหมด
    จากนั้นก็เป็นน้ำมันหอย..
    แล้วจึงขยุ้มกระเพราสดจากชามเล็ก ๆ ที่ปริ่มน้ำ สลัดให้น้ำเสด็จก่อนหนึ่งครั้ง แล้วใส่ลงไปในกระทะ
    เขาเร่งไฟให้แรงขึ้นในช่วงท้าย
    แล้วหันหลังไปจามพรืดด้วยความฉุน..
    ก่อนจะเทใส่ชาม..
    “กระเพราไก่โต๊ะสี่…” เขาเรียกเด็กเสริฟ
    จากนั้นก็เตรียมปรุงอาหารจานต่อไป
    …….

    เด็กเสริฟคนนั้นแปลกหน้าสำหรับเขา
    เป็นเด็กสาว ร่างอวบ อายุคงเกินสิบสี่ปีมาได้ไม่นานนัก
    เธอไว้ผมสั้นแค่คอ ผิวขาวผ่องเหมือนคนเหนือ
    ดวงตาดำ คิ้วเข้ม ไม่แต่งหน้า
    น่ารักเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป
    “พี่คะ..โต๊ะสองสั่งต้มยำทะเลเพิ่มอีกที่หนึ่งค่ะ..”
    เธอบอกเขาเบา ๆ
    เขาพยักหน้ารับทราบ
    ……….

    ต้มยำทะเลนั้น ถ้าไม่รู้วิธีการทำที่แท้จริง จะมีกลิ่นคาว
    ขั้นแรกต้องเตรียมกุ้ง ปลาหมึก และปลา ตลอดจนหอยที่ลวกแล้ว เตรียมไว้ให้พอเหมาะ
    ตั้งกระทะให้ร้อน..ใส่น้ำมันเล็กน้อย
    ใส่ของทะเลเหล่านั้นลงไป แล้วรีบใส่น้ำพริกเผา..ผัดให้พอหอม
    อีกเตาหนึ่งตั้งน้ำซุป และเครื่องต้มยำรอเอาไว้
    กะเวลาให้ดี เมื่อได้ที่ก็เอาเทรวมกัน
    จากนั้นก็ปรุงรส
    ถ้าชอบน้ำข้น ควรใส่นมสดรสจืด ขณะผัดกับน้ำพริกเผา เวลาทานจะได้รสความมันของนม มากกว่าใส่ลงไปในน้ำเฉย ๆ
    เคล็ดลับเหล่านี้..เป็นความลับส่วนตัว ที่เขาไม่เคยบอกใคร
    จะบอกใครไปทำไม เพราะมันทำให้เขาเรียกเงินเดือนได้ตามต้องการ และจำกัดชั่วโมงทำงานของตัวเองได้ตามร้องขอ
    พ่อครัวฝีมือดี ๆ อย่างนี้ หายากมาก โดยเฉพาะในธุรกิจร้านคาราโอเกะเล็ก ๆ เช่นนี้
    เด็กเสริฟคนเดิมเข้ามายกต้มยำชามนั้น
    คราวนี้เขามีเวลามองเธอได้เต็มตา
    แล้วรู้สึกหน้าแดงวูบขึ้นมาเฉย ๆ
    …….

    คงไม่มีใครเชื่อ ว่าพ่อครัวมีฝีมืออย่างเขา เพิ่งจะมีอายุได้ยี่สิบห้าปีในปีนี้
    เด็กหนุ่มร่างเล็ก ผอมโย่ง ผิวดำผมหยิก เวลายิ้มเห็นแต่ฟันเรียงเป็นแถว
    เงยหน้าจากก้นควายที่ต้องเดินตามขณะไถนา ก็มาเจอเตาไฟและกระทะร้อนตอนเป็นลูกมือให้แก่ญาติคนหนึ่งตั้งแต่อายุไม่ครบสิบห้าปีดี
    ด้วยเพราะเขาเป็นคนขยัน และมีความจำดี ทำให้เขาได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาปรุงอาหารจากญาติคนนั้นมาได้เกือบทั้งหมด
    ลืมบอกไป ญาติของเขาเคยเป็นกุ๊กในโรงแรมระดับห้าดาวมาแล้ว และแยกออกมาเปิดร้านขายอาหารเอง
    วิชาฝีมือที่เขาได้มา ทำให้เขามีงานทำ มีเงินใช้ และสามารถแบ่งปันไปให้พ่อกับแม่ที่บ้านนอกใช้ได้อีกเดือนละหลายบาท
    แม้เขาจะถูกไล่ออกจากร้านของญาติคนนั้นด้วยความผิดที่เขาไม่ได้ทำ แต่เขาก็ยังสำนึกในพระคุณอันนี้อยู่
    และกะว่าหากเขาจะแต่งงาน เขาจะพาแฟนของเขาไปกราบญาติคนนั้นในวันหนึ่ง
    เด็กหนุ่มวัยอย่างเขา..ว่างขึ้นมาก็อยากจะมีแฟนเป็นเหมือนกันนี่นา..
    …….

    ยามว่างจากการทำครัว เขามักจะถือโอกาสมานั่งรับแอร์อยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงิน
    ฟังเพลงจากที่แขกร้อง บางครั้งถึงกับขยับปากไปด้วยหากเพลงไหนเขาพอร้องได้
    ดีที่ร้านคาราโอเกะเล็ก ๆ อย่างนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ร้องเพลงสตริง(ถ้าไม่ฮิตจริง ๆ) โดยมักจะร้องเพลงลูกทุ่งมากกว่า
    มีหลายครั้งตอนหัวค่ำ ขณะนั้นลูกค้ายังไม่เข้าร้าน เขามักจะคว้าไมค์มาร้องเสียเอง โดยยอมเสียเงินหยอดเหรียญครั้งละเพลงสองเพลง โดยมีพนักงานเสริฟ ซึ่งก็คือเพื่อนร่วมงานของเขาคอยปรบมือและส่งเสียงเชียร์
    เขาร้องเพลงเพราะดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าแขกหลาย ๆ คน
    อย่างเช่นแขกโต๊ะสี่วันนี้ ร้องไม่เป็นสรรพรสขลุ่ย แต่บังเอิญที่เป็นแขกแค่โต๊ะเดียว เลยมีโอกาสได้ร้องหลายเพลง
    ยิ่งเมายิ่งร้องไม่เป็นภาษา
    อีกทั้งยังหันมายั่วเย้ากับพนักงานเสริฟ..เด็กใหม่คนนั้นด้วยถ้อยคำและพฤติกรรมที่หยาบโลนมากยิ่งขึ้น
    คราวนี้ถึงกับจับหน้าอก
    เธอร้องกรี๊ด
    เขาผวาพรวดเดียวถึง เงื้อมือกะจะซัดโครมให้เต็มเบ้าตา
    แต่เจ้าของร้านร้องห้ามไว้ได้ทัน
    ไม่งั้น..ไม่เขาก็มัน..ต้องม้วนลงไปกองกับพื้นแน่ ๆ
    ……

    แขกโต๊ะนั้นไปแล้ว มีเขามองตามด้วยดวงตาที่น่ากลัว
    เขาก็ไม่รู้ตัวเอง ว่าทำไมถึงเจ็บแค้นได้ขนาดนั้น
    เขาแค่รู้ว่ามันไม่ถูก ไม่ถูกที่จะมาทำกริยาราวสัตว์ป่ากับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ทำมาหากินไปวัน ๆ อย่างนั้น
    แค่คุณมีเงินเท่านั้น คุณก็มีฐานะเป็นลูกค้า ลูกค้าที่ได้เป็นพระราชาตลอดกาลอย่างนั้นล่ะหรือ??
    เขาว่ามันไม่ใช่
    ลูกจ้างอย่างเขา หรืออย่างเธอ ก็ควรมีสิทธิที่จะได้รับความยุติธรรมบ้าง
    อย่างน้อยคำว่า “ขอโทษ” ก็ยังดี
    “ขอบคุณค่ะพี่..”
    เธอ..ยกมือขึ้นไหว้เขา
    “อย่างนี้หนูไม่เอาแล้ว..หนูคงลาออกไปหางานอื่นทำดีกว่า..”
    เขาได้แต่ยิ้ม..แม้อยากจะปลอบใจเธอแต่ก็พูดอะไรไม่เป็น
    เธอเพิ่งทำงานมาได้สองอาทิตย์..เธอก็โดนอย่างนี้ซะแล้ว
    ดีเหมือนกัน..เด็กหญิงบ้านนอกอย่างเธอ ไม่ควรจะมาทำงานอย่างนี้
    “แล้วจะไปทำงานอะไร?” เขาถาม
    เธอส่ายหน้า..”ไม่รู้เหมือนกันพี่..ไม่ได้งานที่ไหนก็กลับบ้าน..”
    แล้วเธอก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบน
    ……

    ร้านอาหารร้านนั้น เป็นตึกแถวสามชั้น ข้างล่างเปิดเป็นร้านคาราโอเกะ กั้นด้วยกระจกติดแอร์
    ข้างบนแบ่งเป็นห้องพักพนักงาน เขาเองอยู่ชั้นบนสุด
    ส่วนเธออยู่ชั้นสอง
    ได้ยินเสียงเธอปิดประตู..คงเข้าไปนอนร้องไห้
    เขาหันไปเห็นเด็กสาวอีกคนหนึ่ง ที่เป็นพนักงานเสริฟเหมือนกัน พอดียืนอยู่ใกล้ ๆ
    เธอมีอายุมากกว่า แม้จะไม่น่ารักกว่า แต่ก็มีประสบการณ์มากกว่า
    “ศรี..ขึ้นไปดูน้องมันหน่อยไป..อย่าให้มันเสียใจนัก การทำงานอย่างนี้..มันก็ต้องมีเรื่องอย่างนี้บ้าง..”
    เขาบอกเสียงเบา ๆ
    “แต่ถ้ามันคิดจะลาออก..ก็ไม่ต้องไปดึงมันไว้..เอ็งก็รู้ ทำงานอย่างนี้ไม่มีวันได้ดี..”
    …….

    วันเดือนเคลื่อนผ่าน..เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ลาออกอย่างที่ตั้งใจ
    เจ้าของร้านรู้ดี..เด็กสาวหน้าใสหุ้นอย่างนี้ เป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี
    กะอีแค่ถูกเกาะแกะเล็ก ๆ น้อย นาน ๆ ไปก็ชินไปเอง
    ถ้ามีลูกค้าติดมาก ๆ ได้เงินดี ๆ ถูกลุกล้ำมากกว่านี้ก็คงไม่ร้องสักแอะ
    เขาจึงหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ ทั้งขู่ทั้งปลอบใจ รวมทั้งขึ้นเงินเดือนให้อีกสองร้อยบาท
    อาจไม่ใช่เพราะว่าด้วยเงินที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว ที่ทำให้เธอตัดสินใจอยู่ แต่ด้วยเพราะเธอไม่รู้จะไปทำอะไรนอกไปจากนี้
    ดีไม่ดี เสือกับจระเข้จับมือกันเข้าจะหนักกว่านี้
    อยู่ที่นี่ อย่างน้อยยังมีพี่พ่อครัว ที่ใจดี และเข้าใจเธอทุกอย่าง
    แม้พี่เขาจะขี้เหร่เหลือเกินก็ตาม
    ……….

    จากคุณ : Harvester - [ 17 ธ.ค. 46 15:43:37 A:202.57.169.64 X: ]