พอ.61 ( ต่อ )

    จริงอย่างพี่นุว่า  กว่าที่แฟมิเลียคันจ้อย จะพาพวกเรามาถึงที่หมายแรก ซึ่งเอโล่กับซา ต้องลงเป็นประเดิม อาวุธหนักที่เติมจนเต็มท้องก็พร่องไปกว่าครึ่ง   ระยะทางร่วมห้าสิบกิโลเมตรบนถนนลูกรังเพียบหลุม ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังขี่ม้าพยศข้อลำหนัก ที่กระโดดกระเด้งสะบัดกายสุดแรงกล้าม ผิดกันที่คาวบอยยังมีโอกาสร่วงรอด แต่พวกเรากลับไร้ทางเลือกอื่นนอกจากฝืนทนนั่งต่อไป
    “ ร่มรื่นดีนี่หว่า “  โย่งเปรยเบาๆ เมื่อเห็นที่พักของเพื่อน  กราดสายตาสามร้อยหกสิบองศาอย่างเร็ว และผมเห็นบ้านสองชั้นทาสีแดงครั่ง ครึ่งบนไม้ครึ่งล่างปูน สองหลังปลูกไม่ห่างกัน ถังเก็บน้ำฝนแฝดสามขนาดสี่คนโอบ มุมพืชสมุนไพร ไม้ดอกไม้ยืนต้น หูกวาง มะม่วง และอาคารยกใต้ถุนสูงด้วยเสาซีเมนต์กว่าสิบต้น มีสะพานไม้ทอดเชื่อมระหว่างประตูอาคารกับถนน ด้วยพื้นที่ที่เรากำลังขนย้ายสัมภาระกันอยู่นั้น เป็นที่ราบจากลาดเนินถนนที่ลดระดับลงมาประมาณสองเมตร
    “ เจ้าที่ไม่อยู่นะน้อง แต่ทิ้งโน้ตไว้ บ่ายสองจะกลับ รอก่อนแล้วกัน บ้านพักเปิดไว้เรียบร้อยแล้ว “  พี่นุตะโกนบอกความตั้งแต่ยังโหย่งเท้าลงบันไดบ้านพัก
    ไม่ใช้เวลาเกินจำเป็น เราก็จากเพื่อนทั้งสองมา ในรถไม่นับพี่นุ ก็เหลือเพียงสาม ผม ดอด และ โย่ง
    “ ไอ้กาดบัดดี้แกล่ะวะโย่ง นัดกันยังไง? “  ดอดถาม
    “ ถามใครไม่ทราบ? “  ผมงง
    “ อ๊ะ…ไอ้นี่ หูฝืดหรือไง ก็ได้ยินกันอยู่เนี่ย “  ดอดว่า
    “ ได้ยิน ชัดด้วย แต่ถ้าไอ้โย่งได้ยินมันก็บ้าแล้ว เมาแดดหรือเปล่า? มันไปนั่งหน้าคู่กับพี่นุโน่น ในกระบะหลังนี่เหลือแค่แกกับฉันเท่านั้น ไอ้ฝืด “
    “ เหรอ…ที่จริงมันน่าจะได้ยิน “  
    “ เออ  มันน่าจะได้ยิน แล้วแกเองก็น่าจะแสบซี่โครงจริงๆเว้ย “  
    “ ทำไม? “  ดอดข้องใจ
    “ นั่น…ก็เอาสีข้างเข้าถู  ไม่แสบก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว “  ในห้วงนึกผมมองเห็นฝุ่นคลุ้งจากริมคูแดงฮึ่มพอกับที่เห็นจากสายตาจริง  เมื่อแฟมิเลียแก่เก่าห้อสุดตีนราวม้าหนุ่มไปบนถนนลูกรัง สงสารก็แต่ผู้คนบนอานมอร์เตอร์ไซค์ที่ต้องวิ่งไล่หลังพี่นุเท่านั้น ปอดของเขาคงทรุดเอาง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งบุหรี่…ถนนกี่เส้นสายกันในประเทศนี้ ที่ทำร้ายระบบทางเดินหายใจของผู้ใช้ยวดยานสองล้อ
    หลุดจากลูกรัง เข้าสู่ถนนดำยางมะตอยขนาดสองเลน เราค่อยๆคืบใกล้สู่เขตชุมชน เลี้ยวซ้ายวกขวาประมาณสามถึงสี่ทบ เป็นอันถึงจุดหมายที่โย่งต้องลงก่อน ที่นั่น กาด ออกมารอรับคู่หูตั้งแต่ก่อนล้อจะหยุดหมุน
    “ นั่น… อยากรู้นัก ไม่ลงไปถามไอ้กาดมันล่ะว่ามาได้ไง “  ผมพูดในอารมณ์ขันปนประชด
    “ เชี่ยเอ๊ย…”  ดอดแบะปากตอบโต้
    ประเมินคร่าวๆด้วยสายตา ที่หมายของบัดดี้ลำดับสอง มีองค์ประกอบแทบจะไม่แตกต่างกับจุดแรกที่เพิ่งจากมาเมื่อสักครึ่งชั่วโมงก่อน  เห็นชัดโดยไม่ต้องเล็งซ้ำ คือ ที่นี่มีรั้วรอบขอบชิด และความหนาแน่นของบ้านเรือนร้านค้ามีมากกว่าในอัตราห้าต่อหนึ่ง  ร้านชำตั้งอยู่ริมถนนเยื้องมุมรั้ว  ถัดออกไปเพียงสองคูหา ตู้กระจกแขวนไก่นึ่งเคียงคู่ชิ้นหมูแดง ตั้งหราท้าต่อมหิว ฟากตรงข้ามเรียงรายด้วยร้านอาหารลานตา   มีทั้งร้านอาหารตามสั่ง ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ไก่ย่าง
    “ เปรมแหงๆ งานนี้ผีจับวางอย่างไม่ต้องเถียง “  ผมพูดกับดอดและกับตัวเอง
    “ นั่นสิ “  ดอดเห็นพ้อง
    เหมือนมวยถูกคู่  เหมือนดูคนรักหมาดใหม่  ราวไก่ได้ข้าวเปลือก  ไม่ว่าเพื่อนเราถูกเลือกให้มาลงที่นี่ด้วยพลังปิศาจอะไรก็แล้วแต่ ผมกับดอดเห็นว่ามันเหมาะสมกันดีแท้ ระหว่างจอมรับทานระวางสิบพุ่น * กับแหล่งกินที่ดื่มขนาดสิบห้าห้องแถวทอดแนวกระชั้นชิด  มองซ้ำอีกรอบ ก็ให้หายห่วงว่าโย่งของเราจะรันทดอดข้าวมากไหม เมื่อต้องไกลบ้าน บนระยะทางปริ่มสามร้อยกิโลเมตร   เวลาห้าเดือนครึ่งนับจากนี้ไป เป็นอันวางใจได้เต็มร้อย ว่าความอวบอัดที่คุ้นเคย จะไม่หายไปไหนให้เป็นภาระต้องปรับรูม่านตา
     พุ่น  : กะละมัง หรือ ชามอ่าง ชามโคม ขนาดใหญ่ / ปักษ์ใต้ใช้เรียก

    จากคุณ : ด.ช.นันท์ - [ 22 ธ.ค. 46 00:14:14 A:203.113.77.132 X: ]