เดอะเลิฟเวอร์...ขอรักนี้สัมฤทธิผล (ต่อ)

    ห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น พลุกพล่านไปด้วยผู้คน

    ช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ อันเป็นเทศกาลที่สำคัญอย่างนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไรที่ผู้คนจะออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากเป็นพิเศษ

    แปลกอยู่อย่างเดียวก็คือหัวใจของชลิดา

    แต่แรกเธอต้องการจะมาเดินซื้อของขวัญให้ญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

    แต่มาตอนนี้สิ่งที่เธอต้องซื้อเพิ่มขึ้นก็คือชุดสวย ๆ สักชุดหนึ่ง และเครื่องสำอางค์ดี ๆ สักชุดหนึ่ง

    เป็นออร์เดอร์ที่เกินมาโดยที่เธอไม่ตั้งใจ เมื่อไม่ตั้งใจเลยเกิดอาการรู้สึกเก้อเขินขณะเลือกชุดสีชมพูหวานเจี๊ยบ หรือแม้แต่ชุดเขียวใสชุดนั้น

    ทำไมเธอจึงรู้สึกแปลก ๆ ก็ไม่ทราบ

    อาจจะเป็นเพราะว่า เธอไม่เคยต้องเลือกเสื้อผ้าเพื่อให้ “คนอื่น” พอใจมาก่อนก็เป็นได้
    …..

    “งานปีใหม่ปีที่แล้ว..ผมบอกกับตัวเองว่าเป็นงานที่สนุกที่สุด และมีผมมีความสุขที่สุดกว่าทุก ๆ ปี..”

    เธอยังจำประโยคคำพูดของเขาได้..
    “ก็งานเขาจัดดีนี่คะ..”

    “นั่นก็แค่ส่วนหนึ่งครับ..แต่อีกส่วนหนึ่งก็คืองานนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอใครคนหนึ่ง..”

    เธอรู้สึกหน้าแดง..
    “ใครคะ?..”

    เขาเงียบไป เหมือนจะเกิดอาการหน้าแดงเหมือนกัน..
    “คุณชลิดาไงล่ะครับ..”

    ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาได้..พร้อม ๆ กับลมหายใจของเธอที่กลั้นเอาไว้ก็ระบายออกมา..

    “แหม…”

    …………

    ชุดสีเขียวใสเป็นชุดที่เธอชอบ มันเป็นผ้าบางเบาที่สวยงาม การออกแบบก็ดูดีทำให้คนค่อนข้างสูงอย่างเธอดูไม่โย่งยื่นหน้าเกลียดจนเกินไป

    แต่ติดตรงที่มันเขียวไป..เขียวคล้ายปีกแมลงทับ..เขาอาจจะไม่ชอบก็ได้ ผู้ชายอย่างเขา..คงชอบผู้หญิงที่แต่งตัวเรียบ ๆ มากกว่า

    ผู้ชายทุกคนมักจะชอบให้ผู้หญิงพิเศษของเขาแต่งตัวเรียบ ๆ ไม่ใช่รึ? ในนิยายเรื่องหนึ่งเคยบอกเธอไว้ว่าอย่างนั้น

    การแต่งตัวด้วยสีสันที่โดดเด่นเกินไป เขาอาจจะไม่ชอบที่จะเดินควงด้วยก็เป็นได้

    เอ..หรือเขาชอบ??
    ……

    “วันนั้นผมจะไปรับนะครับ ไม่เกินหนึ่งทุ่มตรง..”
    “จะดีหรือคะ..ในงานฉันคงไม่รู้จักใครเลย..”
    “งั้นคุณก็เอาเพื่อนไปด้วยสิครับ..หากคุณไม่ไว้ใจผม..”
    “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ..ดิฉันเกรงว่าคุณจะไม่สนุก เพราะต้องมัวมาคอยเทคแคร์ฉันอยู่..”
    “ผมยินดีนี่ครับ..”
    “งั้นก็ตามใจเถอะค่ะ..ว่าแต่ว่า..คุณแน่ใจนะคะ..ในสิ่งที่คุณทำอยู่นี่..”
    “ทำไมคุณถามอย่างงั้นล่ะครับ?”
    “ก็เกือบปีที่ผ่านมา..ไม่เห็นคุณมาพูดจาหรือทำอะไรอย่างนี้เลย..”
    เขาหัวเราะ..เสียงหัวเราะของเขาทุ้มนุ่ม ฟังเพลินดี
    “คุณก็รู้นี่ครับ ว่าผมรับราชการอยู่ เวลาส่วนใหญ่ผมอยู่ในต่างประเทศ…และอีกอย่าง..ผมก็เพิ่งจะสะสางเรื่องบางเรื่องได้สำเร็จ..”
    “คุณหมายถึงอะไร?”
    “แฟนเก่าผม..”
    “ดิฉันไม่ยักรู้ว่าคุณเคยมีแฟนมาแล้ว..”
    “ก็รู้เสียเดี๋ยวนี้เลยครับ..แต่ตอนนี้เราเลิกกันแล้ว..”
    “เพราะ?”
    “เราไปกันไม่ได้ครับ..”
    “เหตุผลของคุณแย่จัง..”
    “จะให้คุยเรื่องยาว ๆ อย่างนี้ทางโทรศัพท์ ก็คงจะได้แต่เหตุผลแย่ ๆ อย่างนี้ล่ะครับ..เอาเป็นว่า วันงานเราเจอกัน คุณอยากรู้อะไรผมจะเล่าให้คุณฟังหมด ว่าแต่คุณเถอะครับ..ไม่ต้องไปเที่ยวงานปีใหม่กับใครเหรอ?”
    เธอพยายามนึกถึงหน้าผู้ชายสองสามคนที่รายล้อมเธออยู่ในเวลานี้ แต่ละคนไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเธอเลย ยิ่งนึกถึงหน้านายธเนศร์เฒ่าหัวงูคนนั้นแล้วยิ่งขนลุก
    “ดิฉันยังไม่มีแฟนค่ะ..”
    “ขอโทษครับที่ดูเหมือนจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณ..”
    “ไม่เป็นไรค่ะ..”
    “งั้นวันนั้น..ที่เราได้พบกัน..ผมคงมีความสุขมาก..”
    “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดค่ะ..”
    ……..

    ชุดที่เธอเลือกซื้อเป็นชุดสีฟ้าอ่อน..ผ้ายังคงบางเบา หากการออกแบบนั้นดูเรียบร้อยและมิดชิดมากกว่า

    เธอไม่ค่อยชอบชุดนี้เท่าชุดสีเขียว แต่เธอเชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่คงชอบชุดนี้มากกว่าชุดนั้น

    เมื่อมีชุดสีฟ้าก็ต้องมีเครื่องสำอางค์ที่มีสีที่แมชกัน

    เธอมีดวงตาที่โต ลูกตาดำ ขนตางอนพองาม คิ้วอาจจะบางไปหน่อยแต่ก็ช่วยคำเน้นหน้าผากที่โค้งนูนได้รูป

    เธอไม่ค่อยชอบเครื่องสำอางค์..ส่วนใหญ่หน้าของเธอจึงถูกปล่อยให้ว่าง และจะแต่งหน้าเฉพาะไปร่วมงานสังคมเท่านั้น

    เธอนึกถึงบัชออนสีฟ้า..ลิฟสติกสีเข้ม และอายชาว์โดว์สีขรึม

    เฮ้อ..ทำไมถึงยุ่งยากอย่างนี้..
    ……..

    อาจเป็นเพราะด้วยเธอถอนหายใจแรงไปหน่อย เลยเรียกความสนใจจากชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมา

    ใบหน้าขาวใส คิ้วมุ่นขมวดเล็กน้อย..กัดริมฝีปากแดงสดนั้นเพื่อขบคิด เป็นรูปร่างหน้าตาที่เขารู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
    คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จัก

    เขาเป็นหนุ่มร่างสูง..ตัดผมสั้นด้วยทรงสมัยนิยม ใส่เสื้อคลุมทับเสื้อยืดสีขาว กางเกงผ้าหนาคุณภาพดีส่งให้บุคลิกของเขาให้ไม่มีที่ติมากขึ้น

    ไรเขียวที่เคราและหนวด ช่วยขับความเข้มของใบหน้าสมชายชาตรีให้แก่เขาจนน่ามองยิ่งขึ้น

    “ขอโทษครับ..” เป็นคำทักทายที่เขามีต่อเธอ
    ชลิดาสะดุ้งเล็กน้อย..หันมองซ้ายขวาให้แน่ใจว่าเขาทักเธอจริง ๆ
    “คะ?”
    “ถ้าเป็นการทักคนผิดผมก็ต้องขออภัยไว้ก่อน..ผมชื่อวรุต ส่วนคุณถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะชื่อคุณชลิดา?”

    เธอเพ่งมองหน้าเขา พยายามคิดว่าเขาคือใคร แต่ก็คิดไม่ออก
    “คุณรู้จักดิฉัน?”
    “แสดงว่าใช่คุณชลิดาแน่ ๆ คุณคงจำเด็กชายคนนั้นข้างบ้านของคุณไม่ได้..”

    เด็กชายข้างบ้าน…บ้านไหน? ใครหว่า?
    “ตอนเด็ก ๆ ผมใส่แว่น เพื่อน ๆ รวมทั้งคุณก็พากันเรียกผมว่าแว่น จำได้หรือยังครับ?”
    สมองปิ๊งขึ้นมาทันที
    ให้ตาย..ทำไมโตขึ้นนายแว่นถึงหล่อขนาดนี้???
    ……….

    ท่านเทพบุตรแห่งความรักหนอ..ไหงถึงแสดงอิทธิฤทธิถึงปานนี้

    ตั้งแต่แรกสาว และตั้งแต่เธอดูไพ่เป็น ..ท่านไม่เคยถูกเธอหยิบขึ้นมาสักครั้งเมื่อเธอดูไพ่ให้กับตัวเอง แต่พอขึ้นมาแล้วทำไมไม่ขึ้นทีละคน??

    นายแว่นหรือวรุตคนนี้ เป็นคนที่เธอสนิทสนมมาก ๆ เมื่อตอนเป็นเด็ก

    เขาเป็นเด็กผอมแห้ง ใส่แว่นกรอบดำ แต่นิสัยดีมาก

    เขาคอยเป็นลูกไล่ให้เธอตลอด และเมื่อถึงเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ ก็ได้เขานี่แหละที่คอยปกป้องเธอจากฝูงหมาบ้าง เด็กเกเรบ้าง

    แต่ด้วยเหตุผลทางบ้าน เธอต้องย้ายออกจากบ้านหลังนั้นไปอย่างฉุกละหุก ความสัมพันธ์ของเธอและเขาจึงหยุดยั้งอยู่เพียงแค่นั้น

    แล้วอะไรนี่เล่า...ท่านเทพฯ? เหตุไฉนท่านถึงพาเขากลับมาในยามที่เธอกำลังหวั่นไหวด้วยความรู้สึกแปลก ๆ กับผู้หนึ่งคนหนึ่งอยู่พอดี

    โอย..อกจะแตกตาย..
    ……….


    จากคุณ : Imagine - [ 23 ธ.ค. 46 16:34:20 A:202.5.83.108 X: ]