คุณปลัดที่รัก


            ปัณฑารีย์เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว วราวงศ์ เธอได้รับการเลี้ยงดูมาแบบปลูกฝังให้มีความกตัญญู เธอจึงมีความมุ่นมั่นมากที่จะทำอย่างที่ได้รับการปลูกฝัง เธอพยายามเรียนจนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เพื่อให้พ่อและแม่ภูมิใจ และดีใจกับความสำเร็จของเธอ และเธอก็ถือว่าเป็นความกตัญญูเบื้องต้นที่เธอพอจะทำได้
            เมื่อเรียนจบปัณฑารีย์จึงขออนุญาตพ่อละแม่ของเธอ ไปอยู่ดูแลยายสิมาที่ต่างจังหวัดซึ่งไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนท่านเลยสักคนเดียว เมื่อพ่อแม่อนุญาต ปัณฑารีย์ก็เดินทางโดยรถทัวร์มายังอำเภอผักไห่ จังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นที่อยู่ของยายสิมา
            เธอใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงในการเดินทาง กว่าจะถึงที่หมายเธอก็ฟุบหลับไปหลายครั้ง(หัวกระแทกกระจกอีกต่างหาก) บ้านของยายสิมาอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณเจ็ดถึงแปดกิโล จึงต้องนั่งรถสองแถวต่อไปอีกกว่าจะถึงก็เล่นเธอจนเหนื่อยโทรม
            ปัณฑารีย์มาบ้านยายสิมาเมื่อหกปีก่อน เธอเข้าใจว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักถึงขนาดจะจำไม่ได้ว่าเป็นบ้านหลังไหน แต่เมื่อมาเห็นเข้าจริงๆ ก็งงไม่รู้ว่าบ้านหลังไหน เพราะบ้านเรือนไทยสองหลังที่มองอยู่เหมือนกันอย่างกับแกะ เธอลังเลอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจเปิดประตูรั้วเข้าไปภายในบ้านที่คุ้นตามากที่สุด
            ปัณฑารีย์หิ้วกระเป๋าอันหนักอึ้งมานั่งบนแคร่ใต้ถุนบ้าน เธอวางกระเป๋าไม่ค่อยเบานัก จึงทำให้ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่สูงกว่าเธอเกือบสองเท่าที่นั่งก้มๆเงยๆกับต้นไม้ในกระถางไม่ห่างแคร่ หันมาพร้อมกับคำถาม
           “คุณมาหาใคร”
           เขาสวมกางเกงสี่ส่วน ไม่ใส่เสื้อ จึงโชว์ความขาวของผิว และกล้ามเป็นมัดๆ ปัณฑารีย์เผลอมองแว็บหนึ่ง(นี่ขนาดแว็บนึงน่ะเนี่ย)  ก่อนจะเบือนหน้ากลับไป เธอคิดในใจว่าเขาคงเป็นคนแถวนี้มาช่วยยายสิมาดูแลบ้าน แต่ทำไมไม่ใส่เสื้อ แต่ต่างจังหวัดร้อนก็คงเป็นอย่างนี้แหละ
            “คุณคงมาช่วยดูแลต้นไม้ใช่ไหมค่ะ เชิญเถอะค่ะ ฉันไม่รบกวน”
            เธอไม่อยากบอกว่าเป็นใคร กะจะทำให้ยายตกใจเล่นสักหน่อย (ระวังเถอะแกล้งคนแก่ บาปกรรม)
            “ผมไม่ได้มาดูแลต้นไม้หรอกครับ ผมแค่ดูมันเฉยๆ” เขายิ้มและหัวเราะเบาๆ เธอจะเอายังไงกันแน่ เข้ามาในบ้านคนอื่นโดยไม่รู้จักเจ้าของบ้าน แล้วพูดอย่างกับเป็นเจ้าของบ้าน คงไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะไม่เคยเห็นหน้า แถมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ยังช่วยย้ำคำตอบของความสงสัยอันหลังนี้ได้
           “เหรอค่ะ งั้นฉันขอตัวไปหาเจ้าของบ้านก่อนนะค่ะ” ปัณฑารีย์ยิ้มให้ชายหนุ่ม เข้าใจผิดคิดว่าก็คงมาดูต้นไม้ไปปลูกที่บ้าน แหม...นอกจากหล่อแล้วยังรักธรรมชาติ ปลูกต้นไม้อีกต่างหาก
          “ไปหาเจ้าของบ้าน” เขาเลิกคิ้วสูง ทวนคำพูดของเธอเป็นเชิงถาม ชักงงกับผู้หญิงตรงหน้าที่ตีหน้าตายมาหลอกเขาหน้าตาเฉย
          “ค่ะ ขอตัวนะค่ะ” เธอคิดถึงยายจะแย่ อยากเจอหน้าขึ้นมาซะแล้ว จึงทำท่าจะวิ่งขึ้นไปบนบ้านที่ทำด้วยไม้ทั้งหลังนั้น ทว่าเสียงของชายหนุ่มรูปงามก็หยุดเท้าเธอไว้
          “เดี๋ยวครับ ผมงงไปหมดแล้ว” เขาเกาหัวแกรกๆ ยิ้มงงๆเดินเข้ามาใกล้
          “ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณเป็นใคร แต่ฉันมาหายายของฉัน ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านนี้ กรุณาอย่าทำให้ฉันเสียเวลา”
          ปัณฑารีย์เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเมื่อชายหนุ่มถามไม่เลิก เข้าใจว่าคงอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่เขาที่จะต้องรู้สักนิด
          “มาหาญาติเป็นเจ้าของบ้านนี้” เขาทวนคำพูด เหมือนกับคิดไม่ออกว่าจะถามว่าอะไร ก่อนจะหัวเราะออกมา ซึ่งเสียงหัวเราะนั้นก็ยิ่งทำให้ปัณฑารีย์หัวเสีย เพราะเหนี่อยกับการเดินทางแล้วยังต้องมาเจอคนแบบนี้อีก
           “หัวเราะอะไรไม่ทราบ ไม่เห็นไม่เรื่องตลก” เธอเริ่มทำหน้าบึ้ง
           “ตลกซิครับ เพราะผมเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เจ้าของที่คุณบอกว่าเป็นญาติ” เขาพูดทั้งที่ยังหัวเราะอยู่
           “คุณเป็นเจ้าของบ้าน แล้วๆ...” ปัณฑารีย์ทำหน้างง
           “แล้วยังไงครับ” เขาเอียงคอถามนิดๆ
           “ก็...” หญิงสาวหน้าแดง เพิ่งรู้ว่าตัวเองปล่อยไก้ตัวเบ้อเร้อ
           “ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่มีญาติหน้าตาแบบคุณ” เขาย้ำจนทำให้ปัณฑารีย์เอ่ยถาม
          “นี่ไม่ใช่บ้านยายสิมาเหรอค่ะ” ปัณฑารีย์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น
          “บ้านยายสิมาอยู่หลังโน้นครับ คุณคงสับสนแล้วล่ะ” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยัง บ้านทรงไทยที่เธอ และเขายืนอยู่  เขากลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นหญิงสาวหน้าเหมือนจะร้องไห้
          “หลังโน้นเหรอค่ะ ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่ได้มานาน” เธอยกมือไหว้ขอโทษ
          “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมช่วยหิ้วกระเป๋าไปส่ง” เขามาช่วยยกกระเป๋า เพื่อไปส่ง
          “ฉันหิ้วเองค่ะ” เธอไม่อยากรบกวนเขา แค่นี้ก็อายจนจะมุดแผ่นดินได้แล้ว แต่กระเป๋ามันก็ช่างเป็นใจเสียจริง มันหนักยิ่งกว่าตอนที่หิ้วมาซะอีก จึงทำให้เธอนิ่วหน้า ขณะที่ยกมันขึ้น
          “ผมหิ้วให้ดีกว่า”ด้วยความแข็งแรง ทำให้เขาดึงกระเป๋าไปถือไว้อย่างง่ายดาย
          “คุณจะไปบ้านยายของฉันด้วยชุดนี้เหรอค่ะ” ปัณฑารีย์ทัก เมื่อเขาจะไปทั้งที่ไม่ได้ใส่เสื้อ เขาคงลืม เพราะเมื่อเธอทักเขาก็รีบวางกระเป๋าไปดึงเสื้อที่พาดไว้ราวข้างบ้านมาสวม และทำหน้าที่เป็นคนแปลกหน้าที่มีน้ำใจต่อ
           ไม่กี่นาทีทั้งสองคนก็มายืนอยู่ที่หน้าบ้านเรือนไทยอีกหลัง ปัณฑารีย์ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนข้างๆ เพราะรู้สึกอายที่ไปทำอะไรเปิ่นๆ คนข้างๆตัวก็เหมือนจะเข้าใจจึงไม่ชวนคุย
           “ยายสิมาจ๋า” ปัณฑารีย์ทักทันที เมื่อเห็นหญิงชราที่จดจ่อกับการเก็บดอกมะลิ
          “ยายปัณ ยายรออยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว” หญิงชราโอบกอดหลานสาว จูบที่แก้มนวลด้วยความรัก ก็สมควรอยู่ที่ยายจะดีใจ จนออกนอกหน้า เพราะปัณฑารีย์เป็นหลานคนเดียวที่นึกถึงคนแก่อย่างท่าน จึงอาสามาดูแลทั้งๆที่วัยยังน้อย
          ชายหนุ่มที่หิ้วกระเป๋ามาก็รายงานยายสิมา ทำให้คนที่หน้าแตกไม่รับเย็บหน้าตึง มองค้อนคนตรงหน้า
          “คุณปลัดชวินนั่นเอง ขอโทษค่ะ อิฉันไม่ได้มอง ตาคนแก่ก็อย่างนี้แหละค่ะ นึกว่าหนุ่มที่ไหนมากับยายปัณแต่ก็นึกคุ้นหน้าเหมือนกัน” ยายสิมาพูดความรู้สึกที่สงสัยของนางแต่แรกขึ้นมา ทำให้หนุ่มสาวสองคนมองหน้ากัน เขายิ้มให้นิดๆ แต่ปัณฑารีย์ไม่เล่นด้วย
          “คงไม่ได้มาหาคุณยายนาน เลยจำไม่ได้ ผมนี่แย่จังครับ”
          “งานยุ่งนี่ ยายไม่ว่าอะไรหรอก”
          “งั้นผมก็กินปูนร้อนท้องซิครับเนี่ย”
          เขากับยายหัวเราะกันร่วน ทำให้ปัณฑารีย์พลอยยิ้มไปด้วย
          “ขึ้นบ้านเถอะ ปลัดถือกระเป๋าหนักแย่”
          ยายสิมาพูดพลางจูงหลานสาวขึ้นเรือน ปลัดชวินถือกระเป๋าตามอย่างรู้หน้าที่
          “ ปัณรู้จักคุณปลัดด้วยเหรอลูก” ยายสิมาถาม เมื่อปลัดช่างคุยกลับไปได้สักพัก
          “เพิ่งรู้จักเมื่อตะกี้เองค่ะคุณยาย นึกว่าบ้านเขาเป็นบ้านยายก็เลยเดินเข้าไป เจอปลัดของยายนั่งดูต้นไม้อยู่ หนูก็วางฟอร์มเป็นเจ้าของบ้านค่ะ เข้าใจว่าเป็นชาวบ้านแถวนี้ รู้ทีหลังหน้าแตกดังเพล้งไปตามระเบียบค่ะยาย”
          ยายสิมาหัวเราะอวดเหงือกที่ไร้ฟัน เมื่อหลานสาวเล่าจบ คิดในใจคงเป็นบุพเพกระมั้งจึงได้เจอหนุ่มที่สาวๆหมายปองโดยบังเอิญ
          “ยายอย่าหัวเราะปัณสิค่ะ ก็บ้านเหมือนกันอย่างกับแกะ คนไม่ได้มาตั้งหกปีจะจำได้ยังไง” ปัณฑารีย์แกล้งทำหน้างอน เมื่อยายไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหัวเราะเธอ
          “ถ้าไม่แน่ใจทำไมไม่ถามก่อน” ยายสิมาพูดกลั้วหัวเราะ
          “ก็คนมันรีบนี่จ๊ะยาย ก็เลย...”
          “ก็เลยไม่ได้ถาม” ยายสิมาหัวเราะอีกรอบอย่างอารมณ์ดี
          “แล้วทำไมบ้านเหมือนกันจังค่ะ” ปัณฑารีย์วกเข้าเรื่องที่สงสัย ทำให้ยายหยุดหัวเราะแต่ก็ยังยิ้มหน้าบาน
          “เขาว่าบ้านยายสวย ก็เลยขอแบบบ้านไปปลูก แถมบริเวณก็จัดคล้ายกัน เพราะมาเอาต้นไม้จากที่นี่ไปทั้งนั้น นอกจากต้นใหญ่ๆนั่นแหละที่เอาไปไม่ได้ ก็เลยปลูกเองนี่มันก็โตมากแล้ว”
          ยายสิมาหันไปมองบ้านที่เธอเพิ่งเดินจากมาหัวเราะชอบใจ หลานสาวเลยได้แต่นั่งยิ้ม มองผู้สูงวัยที่แจ่มใสกับการมาของเธอ
    ..........................................................................โปรดตอตามตอนต่อไป

    ขอโทษค่ะเรื่องเก่าไม่จบ แต่งเรื่องใหม่ซะแล้ว เอาเรื่องนี้มาให้อ่านไปก่อนน่ะค่ะ เรื่องเก่าตอนนี้พระเอกที่เป็นแรงบันดาลใจไม่อยู่เลยแต่งไม่ออก ฝากด้วยน่ะค่ะ
    แก้วใส

    จากคุณ : แก้วใส - [ 27 ธ.ค. 46 12:14:09 A:210.86.131.241 X: ]