วันนี้เป็นวันเริ่มชีวิตในการทำงานวันแรกของฉัน ใช่แล้ว ฉันเพิ่งเรียนจบหมาดๆ ยังไม่ได้รับปริญญาเลยด้วยซ้ำ การหางานทำได้เร็วและเป็นงานในบริษัทที่มั่นคงทำให้ฉันรู้สึกยืดนิดหน่อย ก็ในกลุ่มเพื่อนสนิทประมาณ 8-9 คนของฉัน ฉันเป็นคนแรกที่หางานได้นี่นา
ทันทีที่แต่งตัวเรียบร้อยด้วยชุดที่เพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน (ใช่ มันยังไม่ได้ซักหรอกถ้าคุณอยากรู้) ฉันก็เดินออกจากห้องนอนมาเปิดตู้เย็น จัดการรินนมสดพร่องมันเนยหนึ่งแก้วแล้วดื่มลงไปอย่างรวดเร็ว แค่นี้แหละ อาหารมื้อเช้า
ก็จะเอาอะไรกันนักหนาเล่า กับคนที่เช่าห้องอยู่คนเดียวอย่างฉัน อีกอย่าง เดี๋ยวนี้การจราจรในกรุงเทพฯ ช่วงเช้าน่ะ ติดยังกับอะไรดี ฉันไม่มีเวลามานั่งประดิษฐ์ประดอยอาหารเช้าที่ครบถ้วนด้วยคุณค่าหรอกนะ อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกคุณสิว่าพ่อกับแม่ของฉันทำงานอยู่ต่างจังหวัด (แต่เป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ซักเท่าไหร่หรอก) ส่วนฉันเอ็นทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ก็เลยต้องมาเช่าห้องอยู่คนเดียวอย่างนี้ล่ะ
เมื่อจัดการกับ อาหารเช้า เรียบร้อย ฉันก็คว้ากระเป๋าสะพาย (เพิ่งซื้อเมื่อวานเหมือนกัน โธ่ ก็เสื้อผ้ารวมถึงของใช้ของฉันน่ะ มีแต่แบบวัยรุ่น จะให้ใส่ไปทำงานมันก็ยังไงอยู่นะ) เตรียมตัวออกเดินทาง
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง -ปัง เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะดังขึ้นเมื่อฉันกำลังจะเอื้อมมือไปแตะลูกบิดประตู ฉันรู้ได้ทันทีว่าใคร นี่เป็นรหัสลับที่เราตกลงกันไว้
สุขสันต์วันทำงานวันแรกครับ เสียงห้าวดังขึ้นอย่างแจ่มใสทันทีที่ฉันเปิดประตู
ผู้ชายตัวสูงใหญ่ ผิวขาว หน้าตาเหมือนพวก พระเอกหนังฮ่องกง อย่างที่เพื่อนฉันหลายคนเคยกรี๊ดกร๊าดยืนถือตะกร้าหวายใบโตแถมผูกริบบิ้นสีหวานยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า
อะไรน่ะ ซัน ฉันถามหลังจากหัวเราะคิกคักจนพอแล้ว ก็แหม ภาพผู้ชายตัวสูงในชุดทำงานสุดเนี้ยบแต่ดันถือตะกร้าแบบคิกขุอาโนเนะเนี่ย ถ้าใครเห็นก็คงกลั้นหัวเราะไม่อยู่หรอก
ของขวัญวันเริ่มชีวิตการทำงาน เขาพูดด้วยสีหน้าอมภูมิแต่ไม่ยอมยื่นตะกร้าให้เมื่อเห็นฉันก้มลงมองในนั้นอย่างสนใจ แต่มันมีผ้าผืนใหญ่ลายการ์ตูนวอล์ทดิสนีย์ตัวโปรดของฉันปิดทับอยู่
เอ้า เอาไป ในที่สุดเขาก็ยื่นให้ เมื่อฉันเริ่มทำหน้าบูด
แน่ล่ะ กับผู้ชายคนนี้ฉันรู้ว่าจะทำตัวเอาแต่ใจยังไงก็ได้ จะงี่เง่างอแง ขี้อ้อน หรือแม้แต่อาละวาด ดูเหมือนเขาจะรับมือกับฉันได้ทุกอารมณ์และพร้อมจะยอมฉันในทุกสถานการณ์ บางทีถ้าฉันมีพี่ชายแท้ๆ ก็อาจจะไม่ดีเท่าเขาด้วยซ้ำ
ซัน หรือ อาทิตย์ เป็นลูกชายของ ป้าสุรีย์ เพื่อนสนิทของแม่ฉันเอง อันที่จริงเขาแก่กว่าฉัน 3 ปีนะ แต่ฉันไม่เคยเรียกเขาว่าพี่ซักที เราเป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน แถมเมื่อก่อนบ้านเรายังอยู่ใกล้กันมากชนิดซอยเดียวกันเลยแหละ ฉันกับเขาก็เลยเล่นหัวสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กๆ
จนกระทั่งฉันเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ครอบครัวเราก็เกิดต้องย้ายตามพ่อไปต่างจังหวัด แต่ฉันบอกแล้ว
ใช่มั้ยล่ะ ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ดังนั้นครอบครัวเราสองคนก็เลยยังสนิทกันเหมือนเดิม จนฉันเอ็นทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยรัฐบาลเก่าแก่ในกรุงเทพฯ เลยต้องย้ายมาเช่าห้องพักอยู่คนเดียว
อันที่จริงป้าสุรีย์ก็ชวนฉันยิกๆ ให้ไปอยู่ที่บ้านท่านนะ แต่ฉันยืนกรานปฏิเสธลูกเดียว เกรงใจจะตายไป อีกอย่างสงสารซันด้วยล่ะ ขนาดแยกกันอยู่อย่างนี้เขายังตามเทคแคร์ดูแลฉันจนไม่มีเวลาหาแฟนซะที ขืนอยู่บ้านเดียวกันมีหวังพี่ชายร่วมโลกของฉันได้ขึ้นคานแน่นอน
พูดไปแล้วฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ซันน่ะ ทั้งหน้าตาดี (ถึงแม้จะไม่ใช่สเป็คฉันก็ตาม) รูปร่างก็ดีอย่างกับนักกีฬา ทางบ้านก็ฐานะดีอีกต่างหาก อ้อ ฉันลืมบอกไป ที่บ้านเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน
ไม่ใหญ่โตถึงขั้นมหาเศรษฐีหรอกนะ แต่ก็เบิ้มพอตัวล่ะ จะว่าไปตั้งแต่วัยรุ่นมาแล้วที่ฉันเห็นสาวๆ รุมตอมเขายังกับแมลงวันรุมตอม
เอ่อ
คุณก็น่าจะรู้นะ แต่ทำไมเขาถึงไม่คบใครจริงจังซักคนก็ไม่รู้ จะบอกอะไรให้นะ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ฉันถึงกับสงสัยจริงๆ จังๆ เลยล่ะว่าเขาน่ะเป็นพวก แอบ หรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจลองถามดู
จะบ้าเรอะ คิดออกมาได้ยังไง ปรากฏว่าเขาโมโหยกใหญ่
จะไปรู้เหรอ ฉันทำเสียงแข็งข่ม ซึ่งก็ได้ผลทุกทีล่ะ เขาจะเป็นฝ่ายอ่อนให้เมื่อเห็นฉันเริ่มอารมณ์ไม่ดี แล้วทำไมซันไม่มีแฟนซักทีล่ะ แบบนี้มันผิดปกตินะ
ปลายอยากให้เรามีแฟนมากใช่มั้ย คงรำคาญ อยากให้เราไปไกลๆ ล่ะสิ เขาตอบกลับมาเหมือน
ล้อเล่น แต่คนคุ้นเคยอย่างฉันมีหรือที่จะจับแววน้อยใจในน้ำเสียงนั้นไม่ออก
เปล่านะ ฉันรีบทำเสียงปลอบอกปลอบใจ ปลายแค่เป็นห่วงซันเท่านั้นล่ะ
เอาเถอะ ถ้าซัน
จะมีใคร
จะบอกปลายคนแรก เขาตอบด้วยท่าทางอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นฉันก็เลยเลิกเซ้าซี้เขาเรื่องนี้อีก แต่ก็ไม่วายมีสาวๆ เข้ามาติดต่อเขาผ่านฉัน กรณีนี้รวมไปถึงเพื่อนฉันเองอีกหลายคน แต่ก็ไม่มีใครที่ถูกใจเขาซักที
พี่ชายไอ้ปลาย ใจแข็งยังกะหิน เพื่อนในกลุ่มเคยเบะปากว่า เล่นตัวอย่าบอกใครเลยแกเอ๊ย
พี่ชาย
ฉันแนะนำกับใครๆ อย่างนั้น ก็เขาเป็นเหมือนพี่ชายฉันจริงๆ นี่นา
ช็อคโกแล็ต ฉันอุทานเสียงใส หลังจากรับตะกร้ามาเปิดดู ภายในตะกร้าหวายใบใหญ่นั้นอัดแน่นด้วยช็อคโกแล็ตหลายยี่ห้อ มีแทบจะทุกชนิดเลยล่ะมั้ง
ซื้อมาทำไมเยอะแยะ จะให้ปลายกินทั้งปีจนอ้วนเป็นหมูใช่มั้ย ฉันทำเสียงสะบัด แต่แววตาพราวระยับทีเดียว ก็นี่น่ะ ของโปรดอันดับต้นๆ ของฉันเลยนี่นา
ไม่ถูกใจเหรอ
ว้า
งั้นก็เอาคืนมาแล้วกัน มือใหญ่ทำท่าเหมือนจะดึงตะกร้าคืนในขณะที่ฉันถอยหนี
ไม่ต้องหรอก เอาเถอะ ซื้อมาแล้วจะทำไงได้ ปลายจะทนๆ กินไปแล้วกัน
เราสองคนมองตากันก่อนจะหลุดหัวเราะทั้งคู่
ฉันรู้ว่าเขาจับอารมณ์ฉันได้ เหมือนที่ฉันจับอารมณ์เขาได้เช่นกัน
วันนั้นซันขับรถยุโรปคันหรูของเขาไปส่งฉัน ที่ทำงานของฉันตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การจราจรจะติดขัด โชคดีนะที่ฉันออกเผื่อเวลาไว้แล้วด้วยการออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่
จะฟังคลื่นไหนก็เลือกเอาซักคลื่นเถอะน่า เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้เวียนหัว
เสียงห้าวๆ นั้นบ่นเหมือนทุกครั้งที่นั่งรถด้วยกัน
ฉันเป็นคนชอบฟังวิทยุแบบเปลี่ยนคลื่นหนีโฆษณาไปเรี่อยๆ และฉันก็ตอบเหมือนทุกครั้งที่เขาบ่นเช่นกัน
ก็ชอบฟังแบบนี้ ขี้เกียจฟังโฆษณา ถ้าไม่พอใจก็จอดสิ เดี๋ยวปลายต่อรถไปเองก็ได้
ท้าเก่งจังนะ เดี๋ยวจอดจริงๆ แล้วจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง เขาว่าพร้อมกับดึงปลายจมูกฉันเบาๆ
จอดไม่กลัว กลัวไม่จอด แน่จริงก็จอดสิ จอดๆๆๆๆ ท้ายประโยคฉันเขย่งตัวขึ้นตะโกนตรงหูเขา
เอาล่ะ พอแล้ว ยอมแพ้ครับผม อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ สุดท้ายเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจในขณะที่ฉันอมยิ้มอย่างผู้ชนะพลางกดรีโมทเปลี่ยนคลื่นวิทยุไปเรี่อยๆ
ในที่สุดก็มาถึงที่ทำงานของฉัน มันเป็นพื้นที่เช่า 3 ชั้นของตึกสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งในย่านธุรกิจ ซันยืนยันจะเลี้ยวรถเข้ามาส่งฉันในที่จอดรถของอาคารถึงแม้ฉันจะบอกให้เขาจอดตรงข้างทางก็พอ
ไปก่อนนะ ฉันหันไปพูดกับซันที่เกาะพวงมาลัยมองมานิ่ง กระเป๋าสะพายสีน้ำตาลอ่อนใบใหม่ถูกกอดไว้กับอกแน่น ฉันสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ความตื่นเต้นที่ทำให้รู้สึกโหวงเหวงในช่องท้องคลายลง
เดี๋ยวก่อน เสียงที่คุ้นเคยหยุดฉันไว้ตอนกำลังจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ มือใหญ่จับมือฉันไปกำไว้หลวมๆ
แปลก
แค่นั้น แต่ฉันกลับรู้สึกมั่นคงและอบอุ่นได้
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย ไม่ได้มองหน้ากันด้วยซ้ำ ต่างคนต่างมองตรงไปข้างหน้านิ่งๆ มีแต่มือของเราที่เกาะเกี่ยวกันไว้
เมื่อก่อนตอนที่น้าปรุงพาปลายกลับมาจากโรงพยาบาลใหม่ๆ อยู่ๆ ซันก็พูดขึ้น น้าปรุง หมายถึง ปรุงจันทร์ แม่ของฉันเอง ตอนนั้นปลายก็ชอบจับมือเราแบบนี้ล่ะ เวลาเราไปดูทีไรก็ต้องจับนิ้วเราไว้ซะแน่น แล้วถ้าดึงออกนะก็จะร้องไห้จ้าเลย
จริงเหรอ ฉันทำตาโตกับข้อมูลจากปากเขา อันที่จริงเรื่องนี้แม่ของฉันเคยเล่าเป็นร้อยรอบได้แล้วมั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังจากปากเจ้าตัว
ฮื่อ เขาพยักหน้า ริมฝีปากได้รูปหยักลึกสีจัดแย้มออกเป็นรอยยิ้มคล้ายนึกถึงอะไรบางอย่างที่แสนสุขจนฉันไม่กล้าที่จะรบกวน ได้แต่ถามเสียงแผ่ว
แล้วไงต่อ เด็กๆ ปลายน่ารักมั้ย
ถ้าตอนแรกๆ นะ ไม่น่ารักเลย ตัวจิ๋วๆ เหี่ยวๆ แถมแดงแจ๋ ดูแล้วน่ากลัวมากกว่า ยังกะตัวเอเลี่ยน เขาว่าแถมทำสีหน้าสยดสยอง แต่เมื่อหันมามองหน้าฉันที่เริ่มบูด คนเล่าก็รีบว่าต่อพร้อมเสียงหัวเราะ
แต่ต่อมาอีกหน่อยก็น่ารัก
ยิ่งพอเริ่มวิ่งคล่องล่ะก็
คนเล่าเงียบไปเฉยๆ จนฉันต้องเงยหน้าขึ้นถามต่อเสียงสะบัด
ทำไม พอวิ่งคล่องแล้วทำไม
ก็น่ารักที่สุดน่ะสิ คนตอบทำสีหน้าเหมือนอยู่ในความฝันอันแสนงดงาม ไม่รู้ทำไมพอเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาแล้ว ใจฉันก็นึกไปถึงเทพนิยายประเภทเจ้าชายเจ้าหญิงที่มีแต่ความสุขตั้งแต่ต้นจนจบ
ตัวกลมอย่างกับลูกบอล เขาว่าต่อ และฉันไม่ใจร้ายพอจะส่งเสียงทำลาย ความฝัน บนใบหน้าของเขา ทั้งที่ถ้าเป็นเวลาปกติ ฉันต้องแว้ดออกไปแล้ว
เรื่องอะไรมาว่าฉันตัวกลมเป็นลูกบอล
แขนขาสั้นๆ ป้อมๆ คอยวิ่งตามเราทั้งวันเลย เวลาเราไปโรงเรียนตอนเช้าๆ ก็ต้องคอยมานั่งร้องไห้ จะตามไปด้วยให้ได้ พอเห็นว่าไปไม่ได้จริงๆ ก็สั่งอยู่นั่นล่ะ
เอาขนมมาฝากปลายด้วยน้า
กลับมาเร็วๆ น้า
แล้วพอตอนเย็นเรากลับจากโรงเรียน ปลายก็จะมานั่งรออยู่หน้าบ้านทุกวันเลย
เหรอ
ฉันส่งเสียงถามออกไป เรื่องนี้แม่ฉันก็เคยเล่าให้ฟังแล้วอีกนั่นล่ะ แต่การได้ฟังจากปากคนข้างๆ กลับให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป
เหมือนกับว่าเราสองคนเป็นเจ้าของความทรงจำนั้น
ฮื่อ เขาทำเสียงตอบรับในลำคอสั้นๆ ก่อนจะพูดปนหัวเราะต่อ ตอนนั้นนะ ปลายชอบทำผมแบบนี้
ผูกเป็นแกละสองข้างสูงๆ เลย คนเล่ากำมือแล้วเอามาวางบริเวณข้างศีรษะตัวเองราวกับจะให้ฉันเห็นภาพ แล้วเราก็ชอบล้อ
ยายแกละๆ
ปลายก็จะวิ่งไปฟ้องป้าสุรีย์ ฉันต่อให้ พอถึงตรงนี้เราสองคนมองตากันแล้วก็หัวเราะ ก็ตอนนั้นน่ะพอฉันวิ่งไปฟ้องหลายหนเข้า ป้าสุรีย์ก็เลยจับลูกชายตัวดีมายืนกอดอกเตรียมลงไม้ แต่แล้วฉันซึ่งเป็น โจทก์ กลับวิ่งไปกอด จำเลย ซะแน่น แถมน้ำหูน้ำตาไหลฟูมฟาย
อย่าตีซันนะคะ
อย่าตี
อย่าตี
พอเราหัวเราะกันจนพอใจแล้ว ซันก็บีบมือฉันเบาๆ มือหายเย็นแล้วนี่ เขาว่า และฉันก็เพิ่งรู้สึกตัว
นั่นสิ ไม่รู้ว่าความตื่นเต้นมันหายไปไหนหมด ที่แท้เขาก็รู้ว่าฉันรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหนกับวันแรกของชีวิตการทำงาน และที่ชวนคุยก็เพื่อให้ฉันผ่อนคลาย ที่สำคัญเขาเองก็รู้ดีพอกับฉันว่าคำพูดประเภท ใจเย็นๆ นะ หรือ สู้เขาล่ะ มีแต่จะทำให้ฉันรู้สึกแย่กว่าเดิม
ฉันบีบมือเขาตอบเพราะต้องการขอบคุณ เพียงแต่กระดากเกินกว่าจะพูดออกมา และเมื่อเขาหันมามองหน้าฉันพร้อมรอยยิ้มกว้าง
รอยยิ้มที่เขามักจะมีให้ฉันเสมอ
ฉันก็รู้ว่าเขาเข้าใจ
จากคุณ :
นู๋ริน
- [
27 ธ.ค. 46 13:26:51
A:203.113.38.10 X:
]