มนต์เหมันต์ ตอนที่6

    ก่อนอื่นเลยคงต้องขอโทษ ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านก่อนนะคะ

    ที่ไม่ได้โพสซะนาน พอดีดาต้องอ่านหนังสือสอบค่ะ นี่ก็ยังสอบ

    ไม่เสร็จเลย เฮ่อแย่จัง แต่ยังไงก็ต้องมาส่งค่ะ ยังไงตอนนี้ขอกำลังใจ

    เป็นคำติชมเล็กๆน้อยไม่ต้องมาต้องมายหรอกค่ะ อิอิ แต่มากก็ไม่ว่า

    เอาล่ะค่ะ ไปแล้ว
    ..................................................................................................


    ตอนที่ 6

    “ยังไม่ทันได้พัก จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอคะ” ป้าสายถามเมื่อเห็นชายหนุ่ม
    กำลังจะเดินไปที่รถด้วยชุดเสื้อผ้าชุดเดิม ทั้งๆที่เพิ่งกลับมาบ้านมาแท้ๆ น้ำท่าอะไรก็ยังไม่ได้แตะ

    “ครับป้า พอดีนัดกับไอ้ภูไว้” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เปิดประตูรถออกเบาๆ

    “คุณจะไม่บอกคุณฝนก่อนเหรอคะ เดี๋ยวเธอจะเป็นห่วง” ป้าสายถาม ก่อนที่จะรู้สึกอยากจะตีปากตัวเองสักเผียะ
    ที่ไม่รู้จักคิดก่อนพูด ดูซิคุณกรทูลหัวของนางสายหน้าเสียไปเลย

    “คงไม่ต้องหรอกครับ เค้าคงไม่สนใจ” ตอบก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปดูที่หน้าต่างห้องตรงหน้า แว๊บหนึ่งที่
    รู้สึกว่าหัวใจแกว่งนิดๆเมื่อได้ทันเห็นเหมือนกับว่าผ้าม่านสีแหลืองอ่อนข้างบน
    เพิ่งถูกรวบปิดเร็วๆไปก่อนที่เขาจะมองได้เต็มโฟกัส

    “งั้นผมไปเลยก็แล้วกัน นะครับ” พูดจบกำลังที่จะปิดประตูรถ
    ชายหนุ่มชะดงกหน้าออกมากึ่งๆจากตัวรถก่อนที่จะตะโกนบอกป้าสายเร็วๆ เมื่อเห็นแกกำลังจะเดินเข้าบ้าน

    “เอ่อ เดี๋ยวครับป้า ถ้ายังไงฝนเค้าถามก็บอกว่าผมออกไปธุระในเมืองก็แล้วกัน”
    พูดจบก็มองไปที่ห้องนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะสตาร์ทมรถขับออกไป ทั้งๆที่ป้าสายยังไม่ทันได้ขานรับ

    “โธ่ คุณกรขา อยากจะบอกให้คุณฝนได้ยิน ก็ได้ยอมไปบอกเค้าเอาเอง แต่แค่นี้เธอก็ได้ยินแล้วล่ะค่ะ “
    ป้าสายบ่นกับตัวเอง พลางมองไปที่ห้องที่ชายหนุ่มมองเมื่อกี๊ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ
    เมื่อเห็นผ้าม่านผืนนั้นถูกเปิดออกเต็มอัตรา

    “คู่นี้นี่หน้าตีนักเชียว” พูดจบก็ส่ายหัว แล้วหันหลังกลับเดินเข้าบ้านไป
    ไม่ทันมองเด็กรับใช้ที่กำลังเช็ดแจกันอยู่ข้างๆโซฟารับแขก
    ซึ่งกำลังแอบหัวเราะคุณแม่บ้านที่พูดอยู่คนเดียว แต่มันก็เรื่องจริงทั้งนั้นนี่นะ
    ………………………………………………………………………..

    ส่วนหญิงสาวอีกคนผู้ซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องนอน
    นารินทร์กำลังเหม่อมองไปทางเส้นขอบฟ้าซึ้งบัดนี้มันแปรเปลี่ยนจากสีส้มแสด
    ไปเป็นสีฟ้าและสีน้ำเงินตามลำดับ และอีกไม่นานมันก็คงมืดสนิทเหมือนกับจิตใจของเธอเอง
    ที่ตอนนี้มันกำลังเหมือนมีเมฆหมอก สีดำทะมึนกำลังแผ่ปกคลุมอยู่โดยรอบ ถอนหายใจออกมาอย่างยากลำบาก
    ก่อนจะมมองไปทางเบื้องหน้า เหล่าต้นไม้สูงใหญ่ที่เจ้าของบ้านปลูกไว้และคงจะดูแลอย่างดี
    มันกำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าต้นเล็กๆก็ไม่เว้น
    วันนี้ดูบรรยากาศชั่งดูน่าเศร้าเสียนี่กระไร หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าไปในอกแรงๆ
    เพื่อหวังว่ามันอาจจะช่วยให้เธอผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่ก็ไร้ผล มันก็ยังช่วยอะไรเธอไม่ได้อยู่ดี ทำไมนะ
    ทำไม ทำไมเธอต้องทุกข์ใจด้วย ความจริงเรื่องนี้มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอเลยสักนิด
    ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

    เวลาผ่านไปอีกไม่นาน ต้นไม้ใบหญ้าข้างล่างที่เธอติงว่ามันนิ่งเกินไปนั้น บัดนี้มันกำลังลู่ไหวเอน
    อย่างแรง ท้องฟ้าที่เธอเห็นว่ามันชั่งนิ่งสงบเกินไป บัดนี้กลับกลายเป็นว่ามันกำลังส่งเสียงร้องดัง ครืด
    คลาด แสงสีบนท้องฟ้าเริ่มหน้ากลัว
    ในความรู้สึกเธอมันชั่งเหมือนกับท้องทะเลยามที่กำลังปั่นป่วนด้วยแรงพายุ
    ดูแล้วน่ากลัวว่ามันคงจะสามารถพัดพาทุกสรรพสิ่งในโลก ให้ออกไปสู่อวกาศได้

    นารินทร์ลุกขึ้นกำลังจะเดินไปปิดหน้าต่างบานที่กำลังเปิดอยู่บานหนึ่ง ส่วนอีกบานถูกลมตีเข้ามาเมื่อครู่
    แล้วในบัดนั้นเอง เสียงฟ้าฝ่า พร้อมด้วยเส้นสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างแรงจนเธอรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
    ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มทั้งยืน และขณะที่เธอกำลังจะหมดสตินั้นเอง
    เธอก็ได้เห็นภาพบ้างอย่าง ที่กำลังก่อเป็นรูปเป็นร่างในหัวของเธอ ภาพการขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
    ต่อมาด้วยภาพของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากที่แห่งนั้น วิ่ง วิ่ง
    ออกมาเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง

    แล้วท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาแบบที่เค้าเรียกกันว่า ตกแบบกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา เธอมองเห้นถนน
    ถนนอันว่างร้างเปล่าเปลี่ยว เธอรู้สึกหนาวจนขึ้นมาจับใจ
    นารินทร์รู้สึกได้ในบัดนั้นเองว่าผู้หญิงคนที่กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนนั้นไม่ใช่ใคร ก็เธอ เธอนั้นเอง
    และทันใดนั้นเอง หญิงสาวรู้สึกเหมือนว่าดวงตาเธอเริ่ม
    พร่าเลือน แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ามีแสงบางอย่างส่องผ่านทะลุเปลือกตาเข้ามา
    พร้อมกับที่หูเธอได้หินเสียงเหมือนแตรรถ ถูกบีบถี่ๆ เะอพยายามลืมตาขึ้น
    ทันได้เห็นว่ามีแสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งกำลังพุ่งตรงมา เสียงหวีดหวิวน่ากลัว และรถที่กำลังพุ่งมาที่เธอ
    ตุ๊บ!

    หญิงสาวมองไม่เห็นอะไรอีกเลย มีเพียงแสงไฟเท่านั้นที่เธอเห็นตอนนี้
    นารินทร์พยายามเปิดเปลือกตาที่ดูจะหนักอึ้ง
    เหลือเกินเพราะเธอต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติที่จะลืมมันขึ้น
    เะออยากจะดูว่าอะไรที่กำลังทับอยู่ที่แขนของเธอ แขนเธอชาจนไม่กล้าที่จะขยับ
    เมื่อลืมตาขึ้นมาได้แสงจ้าของไฟก็ทำให้เธอต้องกระพริบตาอีกหลายครั้ง
    ก่อนที่จะได้เห็นหน้าของคนที่เป็นต้นเหตุให้แขนเธอเป็นเหน็บอยู่แบบนี้ และเมื่อเธอเริ่มที่จะขยับ
    นั้นแหละคนตรงหน้าถึงจะรู้สึกตัว แล้วก็รีบหงายหน้าขึ้นจากมือเธอย่างเร็ว

    “ฝน” ภากรเรียกชื่อคนตรงหน้า เหมือนคนที่กำลังละเมออยู่ ภาพที่เห็นทำให้นารินทร์อดยิ้มออกมาไม่ได้
    แม้ยิ้มที่เห็นออกจะดูแหยๆเพราะเป็นเหน็บก็ตาม

    “คุณกร ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้หละคะ “ พูดจบคนที่ถูกถามก็หน้าแดงขึ้นทันที

    อืม..เวลาเขาเขินก็น่ารักดีนะ ดูซิคิดว่าก้มหน้าแล้วเขาจะไม่เห็น
    เหรอ

    ภากรละล่ำละลักพูดกับคนตรงหร้า

    “เอ่อ..พอดีเมื่อเช้าป้าสายมาตามฝน ลงไปทานข้าวแต่พอดีเข้ามาเห็นฝนนอนอยู่หน้าเก้าอี้โน้น
    ก็เลยตกใจไปกันใหญ่ แล้วก็เรียกให้ผมมาดูวิ ว่าฝนเป็นอะไรมากรึป่าว” เมื่อฟังเขาพูด
    ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวานก็วิ่งเข้ามาในสมองเธอทันที อืม
    ใช่สิเมื่อวานเธอรู้สึกมึนๆก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะวูบไป

    “เหรอคะ รินทร์ เอ้อฝนขอโทษค่ะ ที่ทำให้เป็นห่วง” นารินทร์พูดแบบติดๆขัดๆ
    รู้สึกแปลกที่อยู่ดีๆความคิดสองขั้วก็วิ่งเข้ามาในสมองเธอ หญิงสาวพยายามคิดทบทวนความทรงจำในอดีต
    ก่อนที่จะลืม แต่ก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะยิ่งทำให้อาการปวดตุ้บๆที่บริเวณศรีษะจะเพิ่มมากขึ้น

    (ต่อค่ะ)

    จากคุณ : อารดา - [ 5 ม.ค. 47 18:16:44 A:203.144.143.250 X:203.118.84.224 ]