นายขี้เก็กกับยัยปากร้ายตอนที่4/1

    ตอนที่ 3
              ชนกนาเดินออกจากบริษัทก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว เมื่อเดินออกมาก็เห็นรถบีเอ็มสีน้ำเงินที่มาส่งเมื่อเช้าจอดอยู่หน้าบริษัท จึงเดินเข้าไปเห็นคนในรถนอนหลับอยู่ก็คิดแผนออกทันที ชนกนาเดินไปชะโงกดูทางด้านคนขับให้แน่ใจอีกที แล้วจึงค่อยๆปล่อยลมยางรถทั้งสี่ล้อจนแบนติดพื้น และจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อน
             “ฮัลโหล นายประธานเหรอ มารับฉันหน่อยสิ เออ หายโกรธแล้ว มารับหน่อยที่บริษัท”
             ไม่นานนัก ประธานก็ขับรถเบนซ์สีดำสนิทเข้ามา ชนกนาก็หันไปมองที่รถบีเอ็มก็ยังเห็นคนในรถหลับอยู่ก็ยิ้ม และขึ้นรถประธานไป
             เอริคตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นรอบตัวมืดสนิท ก็มองไปที่ประตูทางเข้าออกบริษัทก็เห็นว่ามืดสนิทเช่นกันจึงเปิดประตูลงไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าประตูถูกล็อกด้วยกุญแจเรียบร้อยก็แปลกใจมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองก็เป็นเวลาสองทุ่มตรง และมองกลับไปที่ประตูบริษัทที่ถูกล็อกอีกครั้ง เอริคคิดในใจว่า “ไม่น่าเผลอหลับเลย เพราะเหนื่อยเมื่อวานทำงานดึก และนี่ยังโดนแกล้งให้รอฟรีอีก เฮ้อ !”
              ระหว่างที่เอริคเดินไปที่รถก็พบว่า ล้อรถแบนทั้งสี่ล้อ ก็ได้แต่ร้อง “เฮ้ย” มองดูรอบรถตัวเอง และก็รู้ทันทีว่า โดนทำพิษเข้าให้แล้ว เอริคก็หยิบโทรศัพท์มาโทรหาคมสรรทันทีให้มารับ (พระเอกกับนางเอกเรานี่ชอบใช้เพื่อนจัง)
              ขณะที่นั่งอยู่ในรถเอริคก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้คมสรรฟัง คมสรรก็ได้แต่หัวเราะจนเอริคต้องพูดออกมา
              “จะเลิกหัวเราะได้ยัง คนยิ่งกลุ้มอยู่”
              “ขอโทษ...(หัวเราะ)...แต่อดไม่...ไม่ได้...ไม่ไหวแล้ว 55555”
              “น่าขำตรงไหน ไม่เห็นตลกเลย” เอริคเริ่มหน้าบึ้ง
              “นายคิดดูน่ะ(พยายามกลั้นหัวเราะ) นายหลับแบบไม่รู้เรื่อง คุณเธอก็ค่อยๆปล่อยลมยางทีล่ะข้าง ลองคิดดูภาพสิ ฉันว่าตอนนี้เธอคงนอนหัวเราะนายอยู่ที่บ้านแล้วล่ะ” คมสรรคิดแล้วก็จะหัวเราะอีก(เส้นตื้นรึเปล่าเนี่ยนายนี่) แต่เอริคเอามือปิดปากเอาไว้เสียก่อน
              “เอ้ย อาย อา อิด อาก เอา อำ ไอ” (เฮ้ยนายมาปิดปากเราทำไม)
              “ก็ให้นายเลิกหัวเราะไงเล่า”
              “อ่อย ไอ้แอ้ว อายใอไอ่ออก”(ปล่อยได้แล้วหายใจไม่ออก)
              เอริคจึงปล่อยมือออก คมสรรจึงรีบสูดลมหายใจเข้าทันที
              “เฮ้อ...นึกว่าจะตายซะแล้ว ขับรถอยู่ด้วย” คมสรรทำหน้าแบบโล่งใจ(แบบสุดๆ)
              คมสรรพอหันมาเห็นหน้าเพื่อนของตัวเอง ก็เงียบปากทันที เพราะเพื่อนเขามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตามุ่งมั่นที่จะทำอะไรสักอย่าง และมันก็ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  
              เช้าวันรุ่งขึ้น ซึงเป็นวันที่แจ่มใสของใครบางคนผู้ซึ่งยังไม่รู้ว่าความโชคร้ายได้มาเยือนแล้ว ชนกนาไปทำงานบริษัทด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจนใครต่อใครต้องมองด้วยความมึนงง ก็เมื่อวานยังหน้าบึ้งอยู่เลย วันนี้หน้างี้ยิ้มบานเชียว ขณะที่เธอกำลุงจะก้าวขึ้นลิฟท์
              “คุณนาค่ะ”
              เสียงเรียกนั้นทำให้ชนกนาหันกลับไปมองว่าเป็นเสียงของใคร จึงพบว่าเป็นผู้หญิงร่างบางระหงคนหนึ่ง เดินเข้ามาหา ชนกนาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร
                  “สวัสดีค่ะ” ชนกนาเป็นฝ่ายทักออกไปก่อน
                  “สวัสดีค่ะ ดิฉันจะมาบอกข่าวร้ายกับคุณว่า บริษัทของคุณกำลังจะถูกปิด ที่สำคัญ ต้องถูกปิดไม่เกินอีกสองวันนับจากวันนี้ เป็นต้นไป”
                   ชนกนาได้แต่ยืนตะลึงทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าที่พูดออกมาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ ถามกลับไปว่า
                   “คุณเป็นตัวแทนจากบริษัทอะไร” ชนกนาถามออกไปได้อย่างยากเย็น
                   “ดิฉันว่าคุณควรจะทราบดีว่าบริษัทอะไร แต่ดิฉันจะบอกให้คุณทราบอีกครั้งก็ได้ ดิฉันตัวแทนมาจากบริษัทอาร์มาดากรุ๊ป”
                   ชนกนาได้ยินดังนั้นก็แทบจะทรุดตัวนั่งลงร้องไห้ แต่ตอนนี้เธอยังอยู่ภายในบริษัท และยังอยู่ต่อหน้าพนักงานเป็นร้อยคนที่มองดูการสนทนาของเธออยู่  เธอจึงต้องปั้นหน้าให้เรียบเฉยไว้ทั้งที่ในใจกลับจะร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้น
                    “ขอเลื่อนระยะเวลาออกไปอีกไม่ได้เหรอค่ะ” ชนกนาถามออกไป แม้จะรู้ว่ามีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม
                    “ไม่ได้หรอกค่ะ ทางเราได้ให้เวลาคุณมานานพอสมควรแล้ว เราขอแสดงความเสียใจด้วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอลา” และผู้หญิงร่างบางคนนั้นก็เดินจากไป
                    ชนกนาเดินเข้ามาสู้ห้องทำงานของตัวเองแล้ว ก็ล็อกประตูทันที ไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน ชนกนาเดินเข้าไปนั่งทรุดตัวที่เก้าอี้ ค่อยๆมองรอบๆตัว นึกถึงวันแรกที่เธอเข้ามาทำงานจากพนักบัญชีเล็กๆคนหนึ่งที่ขยันทำงานจนได้เลื่อนขั้นมาเรื่อยจนได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการบริษัท เธอตั้งใจทำงานจนบริษัทเจริญก้าวหน้า แต่กลับถูกเจ้าของบริษัทเอาเงินไปเล่นการพนันจนบริษัทติดหนี้มากมายต้องไปกู้เงินเขามา และแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเมื่อนึกว่าจะต้องสูญเสียบริษัทนี้ไป ชนกนาก็ได้แต่นั่งเงียบอยู่ในห้อง ไม่พูดคุย ไม่ออกไปนอกห้อง ไม่กินข้าว แม้ว่าเลขาจะมาเคาะประตูเรียกอย่างไร เธอก็นั่งเงียบอยู่ในห้องนั้นจนดึก
                     ชนกนาตัดสินใจกลับบ้าน เดินออกจากบริษัทก็ขับรถตรงดิ่งมาที่บ้านทันที ไม่พูดไม่จา วิ่งขึ้นห้องนอนล็อกประตูห้อง ใช้เวลาอยู่กับความคิดตัวเอง และแล้วความคิดแว็บนึงก็เข้ามาในสมองของเธอ
    “ฆ่าตัวตาย” (ตายแล้ว ใครก็ได้ช่วยห้ามที)        
    ..........................................................................
    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ช่วงนี้เปิดเรียนแล้ว แต่จะพยายามเขียนให้ได้มากที่สุดน่ะค่ะ
    แก้วใส

    จากคุณ : แก้วใส - [ 7 ม.ค. 47 18:33:21 A:210.86.130.179 X: ]