๛๛ โย ๛๛

    เรา ในฐานะผู้วิ่งอยู่บนเส้นของปัจจุบัน ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนรูปแบบอดีตที่ผ่านมา
    แม้สักเศษเสี้ยวนาที ทว่า แม้จะเปลี่ยนแปลงแปรรูปไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเจ้าของ
    ของเจ้าเวลานั้น ๆ ได้ ซึ่งเราเรียกมันว่า ภาพแห่งความทรงจำ

    ภาพความทรงจำในอดีต บางครั้ง บางเรื่องที่เราลืมไปเนิ่นนาน
    พลันกลับหวนมาระลึกได้โดยไม่รู้ตัว ทว่าบางความทรงจำที่เราอยากให้มันเลือนหาย
    กลับหวนคืนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดั่งซี่ฟันเฟืองหักที่หมุนวน
    ทั้งนี้ไม่มีใครปฏิเสธถึงการจดจำภาพแห่งความทรงจำที่ดี  
    ซึ่งหวนกลับมากี่ที ๆ ก็เป็นสุข

    แต่... เรื่องที่ผมจะเล่านี้ เป็นภาพในอดีต
    ที่ผสานกับจินตนาการจนเป็นเรื่องราว  ซึ่งจินตนาการนี้
    หาใช่เรื่องสมมติ  แต่เป็นภาพในอดีตที่บางภาพ ผมไม่อาจมองเห็นได้  
    เพราะมันถูกเรียบเรียงโดยมโนสำนึกของแม่


    ...

    แม่เคยเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟังว่า  สมัยที่ท่านยังเป็นสาว ๆ  
    ได้มีชายหนุ่มผิวคล้ำผมยาวสวมรองเท้าแตะใส่กางเกงยีนส์ถือกีตาร์มาจีบและคบหาด้วย
    สมัยนั้นเขาเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า "พวกฮิปปี้" นั่นเอง  
    ใช่แล้ว  เขาคือพ่อของผมเอง

    ท่านทั้ง 2 ดูใจกันอยู่นานพอควร พ่อก็ตกลงปลงใจไปขอแม่ ด้วยพิธีแบบชาวบ้าน ๆ
    ไม่มีการจัดงาน ไม่มีเพื่อนมากมาย มีเพียงขบวนขันหมากเล็ก ๆ  โดยญาติสนิท 7-8
    คนเท่านั้นเป็นสักขีพยานรัก

    หลังจากนั้น แม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพ่อ  ครอบครัวของพ่อเป็นครอบครัวใหญ่  
    ซึ่งใหญ่มาก ๆ เพราะปู่กับย่าท่านมีลูกถึง 8 คนและทั้ง 8 คนนั้นอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้
    โดยมีพ่อของผมเป็นลูกชายคนที่ 3

    ครอบครัวของพ่อ เป็นครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ออกจะค่อนข้างยากจนเสียด้วยซ้ำ  
    อาชีพหลักคือการทำนา  หมดฤดูทำนาก็มารับจ้างถางหญ้า
    ดูแลฮวงซุ้ย  จับปลา หาหน่อไม้ ฯลฯ

    แม่ของผมก็เป็นหญิงสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่พลัดถิ่นจากบ้านเกิดที่สระบุรี
    มาเป็นสาวโรงงานน้ำตาลที่จังหวัดชลบุรี
    นั่นถือเป็นอาชีพที่ดีหากเทียบกับหญิงสาวผู้มีความรู้เพียง ป.3

    หลายท่านอาจคิดว่าครอบครัวใหญ่ครอบครัวนี้คงมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญเป็นแน่
    ทว่า... หาได้เป็นเช่นนั้นแม้จะขัดสน ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าใช้
    แต่ทุก ๆ คนในบ้านต่างพึงพอใจในสิ่งที่มี การรู้จักทำมาหากิน ความรู้จักพอ
    ความเอื้ออาทร และความรักที่แบ่งปันให้กันและกัน
    เป็นตัวเหนี่ยวนำความอบอุ่นให้แผ่ไปยังทุก ๆ คน

    จนเวลาล่วงเลยผ่านมา แม่ก็ได้ให้กำเนิด "ผม" และน้องสาว ซึ่งมีอายุห่างกัน 3 ปี
    ครอบครัวนี้จึงโตขึ้นจนมีความรู้สึกว่าโตเกินไป  
    และนั่น ทำให้พ่อตระหนักว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ "เรา" ต้องโบยบินออกจากรังใหญ่นี้
    เพื่อไปสร้างรังน้อยของตนสักที พ่อจึงตัดสินใจแยกออกมา

    หลังจากแยกออกมา พ่อได้เข้ามาหางานเป็นช่างต่อเรื่อในเขตจังหวัดสมุทรปราการ
    ปล่อยให้แม่กับผมและน้องสาวอยู่เฝ้าเล้าไก่
    ซึ่งเป็นของนายทุนมาปลูกไว้และจ้างให้เลี้ยงแบบอยู่กินเบ็ดเสร็จ


    ผมและน้องเติบโตที่เล้าไก่แห่งนี้  ด้วยความขัดสน สมัยนั้นบ้านของเราจึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไร
    หรูหรานัก  บ้านของเราไม่มีโทรทัศน์ เจ้าสิ่งนี้หากใครจะมีได้ ต้องเป็นคนมีฐานะพอสมควร
    ซึ่งแค่วิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเดียว ก็ถือเป็นของล้ำค่ามากพอแล้วสำหรับครอบครัวเรา

    เล้าไก่นี้อยู่ติดกับสุสานแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากร้านขายของชำมาก จะซื้ออะไรที
    แม่ต้องปั่นจักรยานออกมาถนนใหญ่หลายกิโลเมตร

    น้อยครั้งนักที่เรา หรือใครคนหนึ่งจะได้นั่งซ้อนท้ายออกไปร้านขายของชำหน้าปากถนนกับแม่
    เพราะไม่มีใครอยู่เฝ้าไก่หรืออยู่เป็นเพื่อนน้อง พ่อหรือก็นาน ๆ กลับที

    เวลาที่แม่ขี่จักรยานออกมาซื้อของ ผมกับน้องจะมานั่งตรงโคกไร่มันสำปะหลังตรงทางเข้าเล้าไก่
    เพื่อชะเง้อคอคอยแม่ คอยว่าแม่จะซื้ออะไรมา วันนี้ขนมจะเป็นอะไรนะ
    ขนมกาก้าจะแถมอะไรข้างใน ผมกับน้องคุยกันไม่หยุด

    หากบางครั้งแม่หายไปนานจนถึงค่ำ น้องผมก็จะร้องไห้แหกปากเห็นฟันหลอดูน่าขัน  
    สำหรับผมไม่ต้องห่วง ร้องไปก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว

    แต่เมื่อเห็นแสงไฟลิบ ๆ จากวงล้อปั่นของจักรยาน พร้อมกับเสียงคนคุยกันเบา ๆ ใกล้เข้ามา
    ผมกับน้องจะวิ่งออกไปรับและร้องตะโกนด้วยความดีใจ  รู้ได้เลยว่าที่แม่หายไปนาน
    เพราะไปรอรับพ่อนั่นเอง

    จนถึงทุกวันนี้ผมไม่เคยถามแม่เลยว่า รู้ได้อย่างไรว่าพ่อจะกลับเมื่อไหร่???

    วันที่พ่อกลับมา จะเป็นวันที่วิเศษกว่าทุกวัน อาหารจะมีมากและอร่อยเป็นพิเศษ  
    เพราะจะไม่ใช่เนื้อไก่เหมือนทุกวัน
    หลังจากกินข้าวเสร็จ พ่อจะมานั่งดีดกีตาร์ให้ฟัง แล้วผมกับน้องจะกระโดดโลดเต้นบนฟูก
    กระโดดลง กระโดดขึ้น

    "บัวน้อยลอยชูช่อ รออรุณ เหมือนรอไออุ่น จากดวงสุริยา"

    ยังจำได้ดี

    แต่ความดีใจที่แสดงออกมาทั้งหมดนี้  ไม่ใช่เพราะคิดถึงพ่อทั้ง 100%

    ทุก ๆ ครั้งที่พ่อกลับมา จะถือขนมห่อใหญ่ ๆ ติดมาด้วยเสมอ ๆ (พ่อจะเสียใจหรือเปล่านี่)

    ขนมที่ผมชอบกินก็จะเป็นเวเฟ่อร์สีชมพู แต่น้องผมชอบกินกาก้า ซึ่งผมเกลียดมาก
    เพราะมันจะเค็ม ๆ แต่ข้อดีของกาก้าคือมันจะแถมของเล่นมาด้วย
    ซึ่งฝืนความรู้สึกของผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมจะไม่ได้ของเล่นที่แถมมาในซอง
    ต้องคอยแย่งกับน้องเล่น

    สมัยเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยมีเพื่อน ก็มีแต่น้องเท่านั้น เล่นอะไรก็ได้
    กะลามะพร้าว ก้อนหิน กองทราย ฯลฯ แค่นี้ก็ใช้ชีวิตหมดไปได้วันหนึ่ง ๆ แล้ว

    เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อก็ปั่นจักรยานโดยมีแม่ซ้อนท้ายออกไปยังปากถนน แม่ไปส่งพ่อนั่นเอง

    ผมกับน้อง มานั่งอยู่ตรงไร่มันสำปะหลังชะเง้อคอมองท่านทั้งสองจนลับตาด้วยความเศร้า
    คงอีกเป็นเดือน ๆ กว่าพ่อจะกลับมา

    ขากลับแม่ต้องปั่นจักรยานกลับมาคนเดียว เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว
    แม่จึงซื้อกับข้าวติดมาด้วยและแน่นอนว่าต้องมีขนมด้วยแน่ ๆ

    ไม่นาน เสียงกริ่งก็ดังมาแต่ไกล เราสองคนวิ่งเข้าไปหาแม่ด้วยความดีใจ
    หลังจากได้ขนมไปคนละอย่าง แม่ก็ทำท่าเหมือนมีเรื่องอยากเล่าให้ฟังด้วย

    แม่ถามว่า รู้จักโดเรม่อน (โดราเอม่อน) กันหรือเปล่า

    ผมกับน้องส่ายหน้า ขนมยังคาปากอยู่

    แม่เล่าว่าโดเรม่อนเป็นแมวไม่มีหู มีกระเป๋าวิเศษอยู่ที่หน้าท้อง สามารถเอาสิ่งของใหญ่ ๆ
    เก็บไว้ในกระเป๋าได้ นอกจากนี้ยังมีของวิเศษอีกมากมาย
    เช่นคอปเตอร์ไม้ไผ่ที่เอาติดหัวแล้วจะสามารถบินไปไหนก็ได้

    ผมกับน้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ และสนุกในจินตนาการแบบเด็ก ๆ

    ผมจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ว่าแมวอ้วน ๆ ไม่มีหู ยืน 2 ขา มีกระเป๋าแบบจิงโจ้
    มันจะหน้าตาเป็นอย่างไร
    และด้วยความไม่เคยเห็น คำถามจึงเกิดขึ้น

    "ทำไมมันไม่มีหู"

    "เพราะมันมาจากอนาคต แมวในอนาคตจะไม่มีหู"

    แม่ตอบอย่างมั่นใจ ผมไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่า ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่าอนาคตคืออะไร
    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะถาม เพราะสิ่งที่ต้องการคือลักษณะของเจ้าแมวตัวนี้มากกว่า

    "แล้วโดเรม่อนมันสีอะไรครับ"

    "..."

    เป็นคำถามที่ทำให้แม่อึ้งได้เลยเชียว

    ดูไม่น่าจะยากใช่ไหม...แต่แม่ไม่มีทางรู้ได้เลย

    ก่อนที่แม่จะกลับมาขณะกำลังซื้อกับข้าว ทางร้านขายของชำได้เปิดการ์ตูนเรื่องนี้
    แม่จึงจดจำมาเล่าให้ลูกฟัง

    ทว่าโทรทัศน์ที่ร้านขายของชำเป็นโทรทัศน์ขาว-ดำ นั่นเอง

    แม่จึงให้สัญญาว่าจะไปถามมาให้

    เพื่อลูก!!!

    นั่นแหละครับ กว่าผมจะรู้ความจริงว่าโดเรม่อนสีอะไร และหน้าตาเป็นอย่างไร
    ก็เมื่อตอนที่ขนมกาก้ามันแถมสติ๊กเกอร์สีรูปโดเรม่อนติดมาด้วยนั่นแหละ จึงกระจ่าง
    ...

    นี่แหละ คือรูปแบบของชีวิตของผมในอดีต   รูปแบบแห่งความไร้เดียงสา
    ความอบอุ่น ความคิดถึงและความรัก  ที่คนในครอบครัวมีให้กัน

    เราไม่มีสิ่งเป็นรูปธรรมมากมาย  ทว่าหาใช่ว่าเราจะไร้ซึ่งความสุข
    เรามีความสุขในรูปแบบของเรานั่นเอง

    และนี่... ก็คือบทหนึ่งแห่งความทรงจำ ที่เรียบง่าย แต่งดงามนัก...

    จากคุณ : น้องเจ สมจ๊อด ({``-_-}{-``-}{-_-``}) - [ 13 ม.ค. 47 00:03:14 ]