ดอกรักซ่อนกลิ่น ตอนที่ 11 (ต่อ)

    ฉันค่อนข้างดีใจอยู่เหมือนกันที่ได้งานใหม่ในโรงแรมห้าดาว เพราะมันหมายถึง เงินค่าแรงที่จะได้รับเป็นรายชั่วโมงแทนที่จะรับแบบเหมากะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดหางานแบบมีระบบมั่นคง แต่เพราะว่าโชคไม่อำนวยสำหรับฉันมาตลอด  แล้วอยู่ๆ บทจะได้มันก็ได้มาเองจนฉันก็ตั้งตัวไม่ทัน

    เพราะแค่คิดว่า ได้งานโรงแรมก็ถือว่าโชคดีแล้ว ฉันยังได้งานที่บ่อนคาสิโนอีกต่างหาก และได้ทำในห้องระดับวีไอพีอีกด้วย เล่นเอาฉันตัดสินใจไม่ถูกว่า ควรจะเลือกงานไหนดี เพราะทั้งสองที่ ต้องการคนทำงานอย่างที่เรียกว่า ชั่วคราว คือถ้าพนักงานจริงของเขาขาด เขาก็จะเรียก ถ้าบอกปัดเขาบ่อย ก็คงไม่มีวี่แววว่าจะได้งานอีก

    ฉัน คิด คิด แล้วก็คิด..... สุดท้าย ฉันก็ตัดสินใจเอาวันที่ฉันไปเจอพี่อ้อมอีกครั้งนึง เพราะก่อนจะลาออกจากงานที่ร้านอาหาร ฉันได้ยินแว่วๆมาว่า พี่อ้อมมองๆหาห้องพักอยู่ และกำลังจะตกลงใจขอเช่าอยู่กับเพื่อนอีกคนที่ทำงานที่ร้านอาหารเหมือนกัน  ฉันเลยลองถามไปว่า ได้ที่พักแน่นอนแล้วหรือยัง  พี่อ้อมว่า

    "ยังเลยค่ะ เพราะว่าทีแรกที่ตกลงกันไว้ เค้าบอกว่าพี่อ้อมจะได้ห้องส่วนตัว แต่พอตอนหลังถึงมารู้ว่าเจ้าของห้องเดิมเค้าไม่อยู่ชั่วคราว พอเค้ากลับมาพี่อ้อมจะต้องไปนอนในห้องรับแขก"

    จังหวะที่พี่อ้อมถอนหายใจหลังจากบ่นเสร็จ ฉันก็ถามสวนออกไปว่า "งั้นพี่มาอยู่กับหนูก็แล้วกัน?"

    พี่อ้อมเงยหน้ามามองฉัน ... แล้วหลังจากนั้น เราก็ขนของย้ายมาอยู่ด้วยกันในอพาร์ทเมนต์ที่ดูดีในใจกลางเมือง

    และฉันก็ตัดสินใจเลยว่า ... ฉันจะทำงานทั้งที่ร้านพี่หวาน ที่โรงแรม และที่คาสิโนด้วย เพราะการเช่าห้องในเมืองแบบนี้จำเป็นต้องใช้เงินมาก และฉันขอคิดราคาค่าเช่าจากพี่อ้อมไม่ถึง 50%  เพราะพี่อ้อมไม่มีรายได้มากนัก ฉันจึงคิดจะออกไปหาเงินเพิ่มเอง ส่วนค่าน้ำค่าไฟ เราออกกันคนละครึ่ง

    ฉันจัดการย้ายตัวเองออกมานอนห้องนั่งเล่น แล้วยกห้องนอนให้พี่อ้อมไป เนื่องจากฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่นัก วันๆฉันมักจะออกไปทำงาน ไม่ที่โรงแรม ก็ที่ร้าน แล้วไปต่อที่คาสิโน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ บางวันที่ฉันกลับมาบ้านไวหน่อยแล้วได้เจอพี่อ้อม เราจึงจะได้คุยกันบ้าง แรกๆพี่อ้อมไม่ค่อยยอมสนิทกับฉัน แต่ฉันก็ทำไม่ใส่ใจ ชวนกินนั่นกินนี่ ดูหนัง ฟังเพลง พี่อ้อมเงียบมาก แต่บางครั้งบางคำพูดของพี่อ้อมก็เล่นเอาฉันสะอึก เพราะฉันบอกว่า พี่ไม่ต้องเกรงใจหนูนักก็ได้  แต่พี่อ้อมบอกด้วยเสียงเรียบๆอย่างเกรงใจๆว่า

    "ไม่ได้หรอกค่ะ พี่อ้อมคิดว่าควรจะต้องเกรงใจ ยิ่งกับสิ่งเล็กๆน้อยๆด้วยเนี่ย พี่อ้อมเกรงใจนะ"

    แต่นั่นก็เป็นช่วงแรกๆ เพราะในตอนหลัง พี่อ้อมเจอฤทธิ์เดชฉันไปหลายอย่าง เลยเลิกเกรงใจมากอย่างเมื่อก่อน แต่เปลี่ยนมาเป็นเอ็นดูและยอมใกล้ชิดฉันมากขึ้น บางครั้งบางคราวก็เทศนายาวให้ฟังสักที เพราะฉันเป็นคนหัวดื้อ หลายข้อคิดของพี่อ้อมก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่พอพี่อ้อมถามว่า เข้าใจมั้ย?  ฉันว่า  

    "พี่ช่วยพูดใหม่อีกที ไม่ทันได้ฟังตอนกลางๆน่ะ.."  เท่านั้น พี่อ้อมก็ส่ายหัวแล้วหัวเราะ  

    ถ้าจะนับว่า ในสามงานที่ฉันทำ งานไหนหนักหนาสาหัสที่สุด ก็คงจะต้องบอกว่า งานที่โรงแรม เพราะฉันทำอยู่ในแผนกจัดเลี้ยง ห้องบอลรูมนั้น จุคนได้ประมาณ สามร้อยคน วันแรกที่ฉันไปทำ จำได้ว่า เป็นงานแต่งงานใหญ่มาก และฉันก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยทำมาก่อน

    ส่วนอีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ ... ฉันเจ็บในใจ  เพราะยังแอบคิดว่า ... ถ้าเพียงแต่ว่า งานแต่งงานนี้ จะเป็นของฉัน ... คิดได้แค่นั้น ฉันก็จะพยายามลบภาพต่างๆออกจากหัว แล้วทำงานกลบความฟุ้งซ่านทั้งหมด   ทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่มีวันหวนกลับมาได้ ฉันต้องจดจำไว้

    การทำงานในห้องจัดเลี้ยง ไม่ง่ายอย่างที่มองเห็น จานแต่ละจานที่ต้องถือมาส่งให้แขกแต่ละโต๊ะล้วนหนัก ไวน์และแชมเปญที่ต้องรินให้แขกก็มากมายจนทำแทบไม่ทัน พวกเรามีตารางงานที่เขียนไว้ให้บนบอร์ดด้านในว่า เวลาเท่าใดจะต้องมารวมตัวเพื่อ ยกถาดอาหารออร์เดิร์ฟ, อาหารหนัก, อาหารหวาน, เค้ก ฯลฯ  ยกแล้วก็ต้องไปถือรอให้อีกแผนกหนึ่ง มาเป็นคนยกส่งให้แขกอีกที  

    ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ช่วงนั้น โรงแรมกำลังขาดคนอย่างหนัก สมมติว่า ปกติเขามีคนทำงานในห้องนั้น ราว สิบคน  ช่วงที่ฉันไปทำงานนั้น พวกเรามักจะมีกันราว หกคนได้  ห้าคนที่ต้องดูแลแขกสามสิบโต๊ะ โต๊ะละสิบคน!  ฉันบ่นกับ ผู้จัดการในตอนหลังว่า ...คนไม่พอนี่เอง มิน่า รู้สึกเหมือนกันว่า ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบจังเลย

    หลังจากเสิร์ฟอาหาร พวกเรายังต้องวุ่นวายกับการรินเครื่องดื่มให้แขกอีก และมันมักจะไม่ได้จบแค่ที่ ไวน์ขาวไวน์แดง  แต่มันมักจะมีคนขอ น้ำส้ม น้ำอัดลม เบียร์ ฯลฯ แล้วแต่ว่าเราจะวิ่งได้ทันแค่ไหน  แต่ผู้จัดกรก็เอานิตยาสารมาให้ดูว่า ในช่วงแต่ละเดือนนั้น โรงแรมเราติดชื่อ 1 ใน 5 ที่มีระบบการทำงานแบบจัดเลี้ยงที่ดีที่สุด ใครขออะไร ไม่มีคำว่า "ไม่ได้"

    โดยมาก งานแต่งงานจะเริ่มที่เวลาประมาณ หกโมงเย็น โดยจะมีการดื่มสังสรรค์ในหมู่ญาติๆและเพื่อนฝูงกันก่อน และพวกเราก็จะเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารค๊อกเทลกัน จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่งทุ่ม เราจะเชิญแขกให้เข้าไปในห้องบอลรูม ในระหว่างนั้น คู่บ่าวสาวก็จะลงมาจากห้องสวีท เพื่อเปิดฟลอร์ แล้วจึงเริ่มเสิร์ฟอาหารที่เวลาประมาณ หนึ่งทุ่มครึ่ง  โดยมากงานมักจะเลิกช่วงเที่ยงคืน

    แต่พวกเราจะต้องอยู่กันถึงตีสอง เพราะจะต้องเตรียมจัดห้องไว้สำหรับวันพรุ่งนี้อีกด้วย ถ้าหากว่า เป็นงานแต่งงานอีกครั้งสำหรับคืนพรุ่งนี้ ก็ถือว่าสบายหน่อย

    ที่ไม่สบายสำหรับฉัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นแจ็คพ็อตอยู่บางครั้งบางคราว ก็คือ เสร็จงานแต่งงานแล้ว ฉันจะต้องอยู่จัดห้องไว้สำหรับ บุฟเฟต์อาหารเช้า ถ้าหากว่าฉันเลิกงานตอนตีสอง ฉันอาจจะถูกเรียกมาเข้ากะอีกครั้งตอนสิบโมงเพื่อมาเก็บโต๊ะ (ระหว่างหกโมงเช้าจนถึงเก้าโมง ก็จะมีพนักงานอีกชุดที่มาเข้ากะเพื่อเสิร์ฟช่วงเช้านั้น) แล้วจัดไว้สำหรับ การประชุมย่อย ซึ่งอาจจะเริ่มช่วงเที่ยงจนถึง บ่ายสามโมง พอบ่ายสามโมงแล้ว เราก็อาจจะเก็บและจัดโต๊ะอีกครั้ง คราวนี้ จัดไว้เพื่องานแต่งงานตอนเย็น ฉันอาจจะได้พักกินข้าวตอนประมาณ ห้าโมงเย็น แล้วเริ่มงานอีกครั้งราว หกโมง ติดต่อไปจนถึงเที่ยงคืนตีสองอีกครั้ง

    งานที่จะต้องทำที่โรงแรมนั้น มีมากมายเหลือเกิน ถ้าวันไหนฉันมีพลังมากพอ ฉันก็จะสนุกกับมันได้ไม่ยาก เพราะมีสิ่งต่างๆให้เรียนรู้มากมาย ที่ฉันชอบที่สุด เห็นจะเป็นงานในบาร์ ซึ่งจะเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า มันเป็นยังไง

    ส่วนงานที่คาสิโนนั้น ฉันก็ได้เริ่มพร้อมๆกับงานโรงแรม กะของฉัน คือ แปดชั่วโมงครึ่ง ได้พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง และได้พักกินน้ำ สิบห้านาที ฉันทำอยู่ในห้องวีไอพี วันๆเดินถือถาดเครื่องดื่ม ถ้าเป็นพวกเหล้า เราต้องรอบาร์เทนเดอร์ทำให้ แต่ถ้าเป็นพวกกาแฟ เราต้องทำเอง

    เครื่องกาแฟ มีเครื่องเดียว สำหรับพนักงานไม่รู้กี่สิบคน เราต้องพยายามขอที่ขอทางเขาให้ได้

    ฉันมีเพื่อนเป็นบาร์เทนเดอร์หลายคน เพราะนิสัยคล้ายผู้ชายของฉันทำให้เข้ากับผู้ชายไม่ยาก ที่เข้ายาก ก็เห็นจะเป็นพวกพนักงานเสิร์ฟสาวๆด้วยกัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่า สังคมที่นี่ จะรุนแรงพอสมควร ชนิด ยังไม่ทันเดินไปจากตรงนั้น ก็ถูกนินทาได้ทันที แต่ฉันไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ถือเสียว่า เราเป็นคนมาใหม่ และมาทำงานเพื่อเงิน อีกอย่างหนึ่ง ฉันถือว่า ได้มาฝึกฝีมือทำกาแฟซึ่งฉันชอบมาก

    ทุกวันนี้ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่บ้าทำกาแฟโดยใช้เครื่องเอสเปรสโซ่

    ช่วงที่ฉันเริ่มทำที่คาสิโนและโรงแรม เป็นช่วงใกล้คริสต์มาสพอดี และ นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชีวิตฉันกำลังจะเปลี่ยนไป .... ไม่สิ ต้องบอกว่า ที่คาสิโนนี้

    ฉันพบใครบางคน ที่ทำให้หัวใจฉัน เปลี่ยนไป

    จากคุณ : เด็กที่รอคอย - [ 14 ม.ค. 47 02:41:39 ]