บทความจากฟอร์เวิร์ดเมล์ << ประสบการณ์อันล้ำค่าของชีวิต >>

    วันนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์จากเพื่อน ชื่อหวงฮุ่ยหลิง เป็นบทความที่หลังจากอ่านจบแล้วรู้สึกชอบมาก จึงแปลมาให้อ่านกันค่ะ



    From :  wega <wega@ms21.hinet.net>
    Sent :  Tuesday, January 13, 2004 7:52 AM
    To :  <Undisclosed-Recipient:@msr83.hinet.net, >
    Subject :  Fw: &#19968;&#29983;&#21463;&#29992;&#19981;&#30433;&#30340;&#32147;&#39511; (ประสบการณ์ที่ให้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต)




    ประสบการณ์ที่ให้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต



    เขียนโดย...หงหลาน (หัวหน้าศูนย์วิจัยสาขาประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยจงยาง)




    ลูกของเพื่อนคนหนึ่ง เรียนจบมหาวิทยาลัยมาได้ครึ่งปีแล้วยังไม่ยอมไปหางานทำ เอาแต่หมกตัวอยู่กับบ้าน กลางวันนอน กลางคืนเล่นอินเตอร์เน็ต

    ไม่นานก่อนหน้านี้ลูกของเพื่อนคนนี้ได้ขอเงินพ่อแม่ไปทัศนศึกษาที่อเมริกา เพื่อนจึงมาถามผมว่าควรจะให้เขาไปดีไหม ผมมองผมสีขาวโพลนของเพื่อน แล้วพูดว่า “หากนายหวังดีต่อลูกจริง ก็ให้ลูกนายไป แต่อย่าให้เงินเขา” แล้วผมก็คิดถึงเรื่องของน้องเขยของผม

    น้องเขยผมเป็นชาวอเมริกัน เขาอยากเป็นกลาสีเรือมาแต่เด็ก อยากจะเผชิญโลกกว้าง อยากจะลองเที่ยวรอบโลกแล้วค่อยกลับมาเรียนหนังสือ

    แม้พ่อของเขาจะเป็นหมอ ฐานะครอบครัวก็ดี แต่พ่อแม่กลับไม่ได้ให้เงินเขา และตัวเขาเองก็ไม่ได้ขอเงินจากทางบ้านด้วยเช่นกัน

    พอจบชั้นมัธยมปลาย เขาก็ไปอลาสกาทำงานตัดไม้เพื่อเก็บเงิน เนื่องจากที่อลาสกานั้นกลางวันยาวนานกลางคืนสั้น กว่าพระอาทิตย์จะตกก็เป็นเวลาเที่ยงคืน และตีสาม พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว หากเขาทำงาน 16 ชั่วโมงใน 1 วัน เงินค่าจ้างตัดไม้ของหนึ่งฤดูกาลก็จะทำให้เขาสามารถเที่ยวรอบโลกได้ 3 ฤดูกาล

    เขาเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี จึงค่อยกลับมาเรียนมหาวิทยาลัย เนื่องจากเขาเรียนเลือกคณะที่ตัวเองได้ผ่านการตัดสินใจและครุ่นคิดเลือกสรรอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงเก็บหน่วยกิตของ 4 ปีได้ครบภายในเวลาเพียง 3 ปี แล้วออกมาทำงาน

    การงานของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น กล่าวได้ว่าก้าวหน้าเร็วมาก จนได้เป็นหัวหน้าวิศวกร

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง เขาบอกว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาทั้งชีวิตเลยทีเดียว

    ตอนที่เขาทำงานอยู่ในอลาสกา ขณะที่เขากับเพื่อนคนหนึ่งอยู่บนภูเขา ก็ได้ยินเสียงหมาป่าครางโหยหวน เขาสองคนจึงออกค้นหาไปทั่วบริเวณด้วยความตกใจ สุดท้ายไปเจอแม่หมาป่าตัวหนึ่งถูกกับดักสัตว์หนีบขาและกำลังร้องครวญครางโหยหวนอยู่

    เขาเห็นกับดักสัตว์หน้าตาประหลาดนั้นปุ๊บก็ทราบทันทีว่าเป็นของคนงานเฒ่าคนหนึ่ง คนงานเฒ่าคนนั้นมักดักจับสัตว์เป็นงานอดิเรกเพื่อจะนำหนังสัตว์ไปขายเสริมรายได้ในครอบครัว แต่คนงานเฒ่าคนนี้เพิ่งจะถูกเฮลิคอปเตอร์พาไปส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วนด้วยอาการโรคหัวใจ ดังนั้นแม่หมาป่าตัวนี้จึงมีโอกาสอดตายเพราะไม่มีใครมาช่วยจัดการ

    เขาคิดจะปล่อยแม่หมาป่า แต่แม่หมาป่าดุมากจนไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้เลย เขายังเห็นด้วยว่าแม่หมาป่ามีน้ำนมหยดจากเต้านม แสดงว่ามีลูกอ่อนรออยู่ในรัง ดังนั้นเขากับเพื่อนจึงพยายามค้นหารังหมาป่าอย่างสุดความสามารถ และหาพบในที่สุด จากนั้นจึงอุ้มลูกหมาป่าทั้งสี่ตัวมาที่แม่หมาป่าเพื่อให้มันป้อนนมลูก ลูกมันจะได้ไม่อดตาย

    พวกเขาแบ่งเสบียงให้แม่หมาป่า มันจะได้รอดชีวิตต่อไป กลางคืนยังต้องตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้ช่วยคุ้มครองพวกมันได้ เพราะแม่หมาป่าโดนกับดักหนีบไว้ จึงป้องกันตัวเองไม่ได้

    จนถึงวันที่ 5 ตอนที่เขาไปป้อนอาหาร พบว่าหางของแม่หมาป่ากระดิกเบาๆ จึงทราบว่าเริ่มได้รับความไว้วางใจจากแม่หมาป่าแล้ว ผ่านไปอีก 3 วัน แม่หมาป่าถึงได้ยอมให้เขาเข้าใกล้เพื่อจะได้ปลดกับดักสัตว์ออกให้

    หลังจากแม่หมาป่าเป็นอิสระ ก็เลียมือของเขา ยอมให้เขาใส่ยารักษาแผลที่ขาให้ แล้วค่อยพาลูกๆ จากไป ระหว่างเดินจากไปยังหันกลับมามองพวกเขาอยู่หลายครั้ง

    เขานั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่แล้วคิดว่า หากมนุษย์สามารถทำให้สัตว์ป่าที่ดุร้ายเลียมือตัวเองและกลายเป็นเพื่อนกันได้ แล้วจะไม่สามารถทำให้มนุษย์ด้วยกันวางอาวุธลงและยอมเป็นเพื่อนด้วยได้เชียวหรือ?

    เขาตัดสินใจว่านับจากนี้ไปจะแสดงความเป็นมิตรแก่คนอื่นก่อน เพราะเขาได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้แล้วว่า ต้องแสดงความจริงใจของเราเองก่อน อีกฝ่ายจึงจะยอมแสดงความจริงใจตอบ (เขายังพูดล้อเล่นว่า หากไม่เป็นเช่นนี้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงเทียบไม่ได้กระทั่งเดรัจฉานแล้ว)

    ดังนั้น เวลาทำงานในบริษัท เขาจึงมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ เขาจะสมมติก่อนว่าคนอื่นนั้นมีเจตนาดี แล้วค่อยไปคิดหาเหตุผลในพฤติกรรมของคนคนนั้น เขามักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือสาหาความเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งทุกปี และก้าวหน้าเร็วมาก ที่สำคัญที่สุดคือ เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมักมีความสุขกว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือมาก แม้เขาจะไม่ทราบว่าคนจีนมีคำกล่าวว่า “เป็นผู้ให้มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ” แต่ชีวิตของเขาได้ยืนยันความจริงของประโยคนี้แล้ว

    เขาบอกผมว่า เขารู้สึกขอบคุณประสบการณ์ในอลาสกาอย่างมาก เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อเขาไปชั่วชีวิต

    ซึ่งก็จริง มีเพียงสิ่งที่ตัวเราปรารถนาเท่านั้นที่เราจะทะนุถนอม มีเพียงลูกพลับที่เคยผ่านน้ำค้างแข็งมาแล้วเท่านั้นที่จะมีรสหวาน คนก็เช่นกัน ต้องผ่านการฝึกฝนขัดเกลาจึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์

    หากคนคนหนึ่งเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้วยังไม่รู้อีกว่าตัวเองอยากจะทำอะไร ก็สมควรจะส่งเขาไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเองในโลกภายนอกเสียบ้างแล้ว

    อย่าให้เงินเขา ให้เขาหาเงินเลี้ยงปากท้องเอง ให้โอกาสเขาไปแสวงหาตัวตนของตัวเอง และสัมผัสกับชีวิต

    เชื่อว่าเขาย่อมได้พบกับประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขาไปจนวันตายอย่างแน่นอน




    ........................



    แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 47 20:15:01

    แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 47 19:19:52

    จากคุณ : Linmou - [ 14 ม.ค. 47 19:18:38 ]