เมื่ออารมณ์.......มาเยือน

    12.00 น. กริ๊งๆๆๆ  เสียงออดดังขึ้นเป็นเสียงยาว บ่งบอกถึงเวลาพัก ผมรีบเดินไปนั่งใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ ซึ่งเป็นที่ ที่ผมชอบมานั่งเป็นประจำเวลาพักตลอดสี่วันที่ผ่านมา


    ตั้งแต่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ที่ๆเป็นบ้านแห่งใหม่ของผม แต่วันนี้ออกจะดูพิเศษหน่อย เพราะผมตั้งใจจะเขียนเรื่องราวความรักครั้งแรกของผม เก็บเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง

    .........................................................................


    ผมชื่อ เอก เป็นคนต่างจังหวัด ตอนนี้ผมอายุยี่สิบเอ็ดปี ผมย้ายมาอยู่กรุงเทพเมื่ออายุสิบแปด หลังจากเอ็นติดคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง


    เมื่อผมมาเรียนที่นี่ได้ปีที่สอง ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแอบไปหลงรักสาวรุ่นน้องคนหนึ่ง ผมใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะได้หัวใจเธอมาครอง


    นี่คือรักครั้งแรกของผมครับ ผมบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้นเพราะก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน จนมาเจอเธอ ผมจึงได้รู้ว่าความรักมันงดงามอย่างนี้นี่เอง ความรักมันหวานชื่นอย่างนี้นี่เอง และในที่สุด ผมก็สามารถจีบเธอสำเร็จจนได้หลังใช้ความพยายามอยู่ระยะหนึ่ง


    เราจึงตัดสินใจ เช่าห้องอยู่ด้วยกัน เรารักกันมากตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่คบกัน ทุก ๆ เรื่องเราไม่เคยมีความลับต่อกัน แม้กระทั่งเรื่องที่เธอเคยผ่านผู้ชายมาแล้วถึงสองคนก่อนที่จะมาคบกับผม เธอก็ไม่ปิดบัง และส่วนตัวผมเอง ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนี้ แต่ผมขอสัญญาจากเธอว่าขณะที่คบกับผมอยู่ อย่าไปมีอะไรกับใครอีก และเธอก็รับปากเป็นอย่างดี


    เราทั้งสองคนมีความสุขกันมากตลอดเวลาที่เราคบกัน จนเพื่อนๆของผมต่างก็พากันอิจฉากันใหญ่ ความรักของเราทำท่าว่าจะไปได้สวย แต่แล้วก็ต้องสะดุดลงจนได้ เมื่อหนุ่มนักธุรกิจหน้าตาดี เข้ามาเป็นมือที่สามในชีวิตรักของเรา


    ปกติเมื่อเสร็จสิ้นการเรียน เธอจะกลับห้องตรงเวลาเพื่อมาทำกับข้าว แต่ระยะหลังมาเธอเริ่มกลับดึกๆ พร้อมกับพกพากลิ่นแอลกอร์ฮอมาด้วย  ผมถามเธอ เธอก็ตอบว่าไปงานวันเกิดเพื่อนบ้าง ไปเที่ยวกับเพื่อนมาบ้าง


    และแล้ววันแห่งความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตผมก็มาถึง วันนั้นเป็นวันที่ผมสอบไล่ปลายภาควันสุดท้าย ของภาคสองปีที่สามเสร็จสิ้น เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันต่างชวนผมไปฉลองสอบเสร็จ หลังจากเครียดกับการอ่านหนังสือกันมานาน และแล้วเราก็ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท

    เมื่อผมและพวกเดินเข้าไปในผับได้สักพักหนึ่งผมก็กวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนสวรรค์แกล้ง หรือโลกนี้มันแคบเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ เจ้าประคุณเอ๊ย ภาพที่ผมเห็นมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เมื่อเห็นแฟนของผม คนรักของผม เมียของผม ผู้หญิงที่นอนร่วมห้องกับผมทุกคืนทุกวัน กำลังเคล้าเคลียคลอกันอย่างมีความสุขอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มนักธุรกิจรูปหล่อคนนั้น  


    ไฟแห่งความแค้นในดวงตาของผมแทบจะเผาหญิงชายคู่นั้นให้มอดไหม้เป็นจุนได้ในพริบตา


    “เพื่อนยังไงวันนี้ต้องขอตัวก่อนนะ” ผมบอกกับเพื่อนซึ่งไปด้วยกัน เมื่อเห็นหญิงชั่วชายเลวเดินออกมาหน้าผับก่อนจะขึ้นรถเก๋งคันโก้ขับออกไปอย่างช้าๆ ผมรีบวิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ แล้วขับตามไปห่างๆ


    เก๋งคันโก้ขับได้มาครู่ใหญ่ก็เลี้ยวซ้ายเข้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง ใจผมตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจของผม ให้แตกสลายลงไปในบัดดล หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้น โสตประสาทของผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงใดเลย สมองของผมมึนงงไปชั่วครู่ ความเจ็บปวดครั้งนี้สุดที่จะพรรณนาเป็นคำพูดได้ คงไม่มีความเจ็บปวดใดๆ มากไปกว่านี้อีกแล้ว คงไม่มีคำจำกัดความใดๆมาบรรยายความเจ็บปวดตอนนี้ได้


    เมื่อได้สติอีกครั้ง ผมก็ขับรถตามเข้าไปอย่างช้าๆ ด้วยหัวใจที่เต้นแรงและถี่รัว ก่อนจะไปจอดห้องตรงกันข้ามกับรถเก๋งคันเมื่อครู่ที่เพิ่งเข้ามาจอด

    “น้องๆ พี่เช่าห้องนี้นะ” ผมบอกกับเด็กรูดม่าน

    “ค้างคืนหรือชั่วคราวครับ” เด็กหนุ่มถามกลับมาทันควัน

    “ค้างคืน” ผมตอบออกไปห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

    “ค้างคืน ห้าร้อยแปดสิบบาทครับพี่”
    ผมส่งแบงก์พันให้ไป ก่อนจะบอกกับเด็กรูดม่านว่า ขอผลไม้สดที่ยังไม่ปอกหนึ่งจานพร้อมมีดปอกผลไม้ด้วยนะ ส่วนเงินที่เหลือไม่ต้องทอน


    เด็กรูดม่านประจำโรงแรมรับเงินไปด้วยท่าทางดีใจเมื่อบอกว่าไม่ต้องทอน ผมรออยู่ในห้องโดยแง้มประตูไว้เพื่อดูความเคลื่อนไหวของห้องตรงกันข้าม ครู่หนึ่งเด็กรูดม่านก็นำผลไม้กับมีดมาให้ ก่อนจะบอกกับผมว่า


    “ความจริงมีดเขาไม่ให้มาหรอกครับ แต่ผมแอบไปขโมยมาในห้องครัวจึงทำให้พี่รอนานหน่อย”

    “ขอบใจมากนะ” ผมตอบกลับไป

    สองชั่วโมงผ่านไปผมนั่งเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของห้องตรงกันข้าม ภายในใจก็ร้อนรุ่มดังไฟลน ผมคิดไปต่างๆนาๆ ว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยสมัยก่อนนั้น ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรี ต้องรักนวลสงวนตัว ต้องซื่อสัตย์ต่อสามี แต่บัดนี้ทำไมผู้หญิงถึงได้มั่วผู้ชายได้ขนาดนี้  ยิ่งอารยธรรมตะวันตกเข้ามามีบทบาทต่อบ้านเราเมืองเรามากขึ้น เด็กผู้หญิงสมัยนี้ ก็ยิ่งเละเทะมากขึ้น ก่อนจะแต่งงานมีครอบครัว ก็ผ่านมือชายคนแล้วคนเล่าไม่รู้กี่คน ยิ่งหนักกว่านั้น บางคนแต่งงานแล้วก็ไม่วายที่จะคบชู้สู่ชายโดยไม่กลัวเวรกรรม หรือคำติฉินนินทา บางรายก็ไปทำแท้งบ้าง ทิ้งลูกไว้ข้างถนนบ้าง ยิ่งคิดใจผมก็ยิ่งหดหู่


    เอี๊ยด..เสียงประตูห้องตรงกันข้ามถูกเปิดออกมีแสงไฟลอดออกมานอกห้อง ผมรีบคว้ามีดปอกผลไม้เหน็บกระเป๋าหลังทันที ก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินไป

    “พรุ่งนี้เจอกันอีกนะที่รัก” เสียงชายหนุ่มพูดออกมาขณะกำลังกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม ก่อนจะอำลาจากกัน ภายนอกห้อง

    “พวกมืงได้ไปเจอกันแน่” ผมตวาดก้อง

    ผมไม่รู้ว่าผมมีความรู้สึกเช่นไร ผมบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์หึง หรืออารมณ์หวง ผมมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อเห็นหญิงซึ่งผมเคยนอนกอดทุกเมื่อเชื่อวัน หญิงซึ่งผมรักมาก หญิงซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียของผม กับชายหนุ่มนักธุรกิจรูปหล่อ ชายหนุ่มซึ่งเข้ามามีเอี่ยวในความรักของผมกับเธอ ชายหนุ่มซึ่งผมมาทราบภายหลังว่า เขามีเมียแล้ว และมีลูกซึ่งยังแบเบาะอยู่หนึ่งคน ล้มลงจมกองเลือด ขาดใจตายอยู่ข้างๆรถเก๋งคันโก้คันนั้นทั้งสองคน


    ตอนนี้สติสัมปชัญญะผมกลับคืนมาอีกครั้ง ผมรู้แล้วว่าอนาคตผมดับวูบลงทันที ความสำนึกต่อบาปเข้ามาเกาะกินจิตใจโดยปริยาย แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าผมทำไปได้ยังไง ไม่รู้ว่าทำไปด้วยอารมณ์โกรธ อารมณ์หึง หรืออารมณ์หวง แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าอารมณ์ใดๆก็ตาม ผมไม่น่าทำลงไปเลย

    .........................................................................


    กริ๊งๆๆๆๆ เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง
    “หมดเวลาพักแล้ว ไปทำงานต่อ” เสียงชายวัยสามสิบเศษดังขึ้น

    ผมเงยหน้าขึ้นไปมองช้าๆ ก่อนจะตอบออกไปว่า
    “ครับผู้คุม”  ผมตอบออกไปทันควัน แต่ก็ไม่ลืมเขียนบันทัดสุดท้าย เพื่อให้เรื่องจบสมบูรณ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปเพื่อทำงานตามหน้าที่

    ผมถูกพิพากษา จำคุก 15  ปีฐานฆ่าคนตาย โดยเจตนา


    จากคุณ : อัครสุวรรณ - [ 15 ม.ค. 47 22:40:32 ]