=[+] ฉิกจับอิด [+]= นิยายจีนร่วมแต่งแนวทดลอง : ตอนที่ 30 เสี่ยวซาสืบคดี

    ศิษย์สำนักหันซานประคองเจ้าสำนักของตนเข้าสู่ที่พักท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าบุรุษ ทั้งนี้ทุกคนต่างเป็นห่วงอาการของเหวินเหม่ยชิงที่หมดสติลงภายหลังการประลอง

    ตุลาการเที่ยงธรรมขึ้นประกาศให้เหวินเหม่ยชิงเป็นฝ่ายชนะในรอบนี้ ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะหมดสติลงทั้งคู่ แต่ตามกติกา ผู้ที่หมดสภาพมิสามารถต่อสู้ได้ก่อนนั้นถือเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

    แพทย์สนามขึ้นมาตรวจสอบอาการของหญิงสาว จากนั้นประกาศกับทุกคนว่าเหวินเหม่ยชิงมิได้เป็นอะไรสาหัส เพียงแค่สิ้นเปลืองพลังลมปราณมากเกินไป พักผ่อนประมาณสามวันก็จะหายเป็นปกติ จากนั้นจึงก็ขอตัวไปดูอาการของเจ้าสำนักหัวซานบ้าง และแจ้งผลตรวจว่าไม่เป็นไรเช่นกัน

    เหล่าผู้ชมเมื่อทราบว่าเจ้าสำนักหันซานปลอดภัยก็พากันหายห่วง ต่างทยอยกลับลงไปพักที่โรงเตี๊ยมฉิกจับอิดเชิงเขา ในบรรดานั้นย่อมรวมถึงบุรุษหน้าคล้ายสตรีผู้มาใหม่นั้นด้วย

    ... ... ...


    จันทราลอยเด่นกลางนภา เมฆลายพลิ้วไหวตามกระแสลม

    หลวงจีนชรากำลังมุ่งหน้ากลับสู่หมู่ตึกพักอาศัยของบรรดาเจ้าสำนัก ในใจหนักอึ้งไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องที่เคยทราบจากเสี่ยวซาถึงคำกล่าวหาที่มีต่อจื่ออิง ทั้งยังอาการของเหวินเหม่ยชิงซึ่งไม่สู้ดีนัก

    แพทย์บอกว่าต้องใช้เวลาพักรักษาตัวสามวัน โดยส่วนตัวแล้วเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินมิเชื่อว่าอาการบาดเจ็บถึงเพียงนั้นจะสามารถทุเลาลงโดยใช้เวลาพักแค่สามวัน อย่าว่าแต่กำหนดการประลองครั้งต่อไปคือวันมะรืน!

    เช่นนี้นางจะสามารถขึ้นทำการประลองกับจื่ออิงได้อย่างไร? เวลานี้ทุกอย่างเริ่มปรากฏชัดขึ้น หลวงจีนหัวหลินคาดเดาได้ว่าการจัดสายการประลองครั้งนี้ลำเอียงเข้าข้างจื่ออิง ...อาจบางทีหลิวหยงเคอยังรับบทบาทเป็นเพียงตัวตัดกำลังก่อนจะไปประลองครั้งสุดท้ายเท่านั้น

    และถ้าเรื่องราวเป็นดังที่เด็กหนุ่มนาม “เสี่ยวซา” กล่าวหา หอห้ากระบี่ไยมิใช่ตกอยู่ในมือคนถ่อยอย่างจื่ออิงหรอกหรือ?

    หลวงจีนชราสับสนใจยิ่ง หากมิใช่เขายินยอมพ่ายแพ้ต่อเหวินเหม่ยชิง เวลานี้อย่างน้อยก็ยังสามารถขัดขวางการขึ้นเป็นผู้นำหอห้ากระบี่ของจื่ออิงได้ เวลานี้กลับต่างกัน ทั้งนี้และทั้งนั้น สืบเนื่องมาจากบุคคลผู้เดียว…นั่นก็คือ … หลิวหยงเคอ

    คนผู้นี้ฝีมือร้ายกาจจนยากคาดเดา หากแม้นตนเองรู้ตัวก่อนคงมิปล่อยให้เจ้าสำนักหันซานต้องไปเสี่ยงชีวิตเช่นนั้น และสถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวงคงมิเลวร้ายเช่นตอนนี้ หลวงจีนเฒ่าถอนหายใจยาวนานหนักหน่วง พลางคิดว่า เอาเถอะนี่อาจเป็นฟ้าลิขิต เวลาที่หอห้ากระบี่จะต้องตกต่ำนั้นซักวันก็ต้องมาถึง เพียงแต่มันมาเร็วกว่าที่เขาคาดคิดไว้เท่านั้นเอง เวลานี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือพยายามประคับประคองมันไว้สุดความสามารถ


    ขณะนี้เขามาถึงห้องพักของเหวินเหม่ยชิงแล้วเห็นแม่ชีสำนักหันซานผู้หนึ่งเฝ้าหน้าประตูอยู่จึงประสานมือคารวะกล่าวว่า “ข้าขอพบแม่นางเหวินได้หรือไม่?”

    “เรียนไต้ซือ เจ้าสำนักบาดเจ็บอยู่ สั่งห้ามใครเข้าเยี่ยมต้องขออภัย” แม่ชีกล่าว

    “อย่างนั้นขอให้เจ้าช่วยฝากเข้าไปบอกด้วยว่าเราไต้ซือหัวหลินมีธุระเร่งด่วน ขอพบโดยตรง”

    แม่ชีลังเลเล็กน้อยจึงเข้าห้องไป สักครู่ก็ออกมาพร้อมกับคำอนุญาต

    หลวงจีนชราเดินเข้าไปในห้องโถง ภายในพบเหวินเหม่ยชิงหน้าซีดสั่นเทา นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง มีศิษย์ผู้ใหญ่ของสำนักหันซานสี่คนกำลังถ่ายทอดลมปราณช่วยเหลือ

    เหวิยเหม่ยชิงเห็นไต้ซือหัวหลินมาก็กระพริบตาเป็นสัญญาให้หยุดการรักษาชั่วคราว นางแข็งใจยกมือขึ้นคารวะฝ่ายตรงข้ามอย่างยากเย็นแต่แรงกระทั่งเจรจายังไม่มี

    “ไม่ต้องเกรงใจรักษาต่อไปเถิด” หลวงจีนหัวหลินกล่าวด้วยความสงสาร “หากลำบากที่จะพูดข้าเองจะเป็นฝ่ายกล่าวฝ่ายเดียว” เหวินเหม่ยชิงฟังดังนั้นจึงผงกศีรษะ

    หลวงจีนเริ่มต้นกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าเท่าที่ดูแล้วต้องใช้เวลาพักสิบวันถึงจะเรียกว่าหาย และหลังจากนั้นต้องพักฟื้นอีกเดือนหนึ่งค่อยกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากการประลองจะจัดขึ้นวันมะรืนแล้ว นี่ไม่ยุติธรรมกับเจ้าเลย”

    เหวินเหม่ยชิงแค่นยิ้มเศร้าๆ

    “เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะสู้อีกหรือ?” หลวงจีนชราถาม เหวินเหม่ยชิงก็พยักหน้า แม้บาดเจ็บแววตานางยังคงมีความทรนง

    “เด็กโง่ หากเจ้าตายจะได้อะไรขึ้นมา ตำแหน่งเจ้ายุทธภพก็มิได้ชิงกันหนเดียวสักหน่อย”

    ศิษย์สำนักหันซานที่ยืนอยู่ตรงนั้นกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสไม่เข้าใจ ตั้งแต่เริ่มต้นหอห้ากระบี่สำนักหันซานแม้เป็นสำนักใหญ่แต่ไม่เคยมีโอกาสเป็นเจ้ายุทธจักรอย่างสำนักอื่นๆเลย เวลานี้โอกาสมาถึงแล้ว หากถอยจะต้องเสียใจตลอดกาล ดังนั้นประมุขแม้ต้องเสี่ยงชีวิตก็ยินดีทำเพื่อเกียรติของหันซาน!” กล่าวจบบรรดาแม่ชีและศิษย์ฆราวาสทั้งหลายต่างพากันร่ำไห้ออกมา

    “แต่เราอาจขอต่อรองเลื่อนการประลองไปอีกได้ ข้าว่าตุลาการเที่ยงธรรมคง...” ไต้ซือหัวหลินยังพูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงดังแทรกมาว่า “มีสารจากสำนักบู๊ตึ้งส่งมาถึง”

    แม่ชีหันซานรับสารนั้นมาคลี่ออกดูเห็นเป็นข้อความว่า

    “จื่ออิงเจ้าสำนักบู๊ตึ้งเห็นเหวินเหม่ยชิงเจ้าสำนักหันซานมีอาการบาดเจ็บ แพทย์สนามให้รักษาสามวัน แต่การประลองมีวันมะรืน เห็นว่าจะทำให้พักฟื้นไม่เพียงพอ จึงขอเลื่อนการประลองไปอีกสามวันเป็นวันที่ห้านับจากนี้เพื่อให้เหวินเหม่ยชิงสามารถพักรักษาตัวเต็มที่

    ลงชื่อ จื่ออิง ขอให้แม่นางเหวินรับความปรารถนาดีจากใจของเจ้าสำนักบู๊ตึ้งด้วย”

    หลวงจีนชราเห็นสารสับปลับทั้งยังแฝงแววเจ้าชู้เกี้ยวพาราสีก็กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าเล่ห์จริงๆ มันคงคบคิดกับแพทย์สนามแจ้งว่าอาการบาดเจ็บที่ใช้เวลารักษาสิบวันเป็นสามวัน จากนั้นทำเป็นใจดีมาเพิ่มให้เป็นห้าวันเพื่อให้ฝ่ายเราไม่อาจเรียกร้องได้อีก...” เขาหันไปทางเหวินเหม่ยชิง “เจ้าสำนักเหวิน ศึกคราวนี้เป็นอุบายชัดๆ เจ้าอย่าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเลย”

    อย่างไรก็ตามเหวินเหม่ยชิงยังคงมีแววตาเด็ดเดี่ยว แสดงถึงความพร้อมยอมเสี่ยงชีวิตแล้ว

    หลวงจีนชราเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจจึงว่า “เอาเถิด เมื่อเจ้าแน่วแน่เช่นนั้น ข้าก็จะมอบโอกาสให้ เพราะข้าก็ไม่อยากให้คนมีประวัติคลุมเครือ และเล่นโกงสายการประลองอย่างจื่ออิงมาเป็นเจ้ายุทธภพเช่นกัน” เขาล้วงมือหยิบอะไรบางอย่างจากจีวรมายื่นให้เหวินเหม่ยชิง “นี่คือยาเม็ดฟื้นพลังของเส้าหลิน เป็นของวิเศษที่จะทำให้มีกำลังภายในเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ ...เท่าที่ข้าคำนวน หากเจ้าใช้มันในวันประลองจะมีแรงใช้พลังอย่างเต็มที่ได้ห้ากระบวนท่า”

    ไต้ซือหัวหลินมอบยาให้ศิษย์หันซาน เหวินเหม่ยชิงมีท่าทีดีใจและขอบคุณอย่างเห็นได้ชัด

    “อย่าเพิ่งดีใจไป ข้าเพียงมอบโอกาสหนึ่งในร้อยจากที่เคยมีอยู่ศูนย์ให้เท่านั้น เพราะแม้ตัวข้าเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะจื่ออิงที่สำเร็จกระบี่สามสัณฐานได้ภายในห้ากระบวนท่าหรือไม่” หลวงจีนชรากล่าว “ห้ากระบวนท่าในวันประลอง เจ้าจงใช้สี่กระบวนท่าแรกเป็นกระบวนหลอกล่อ เพื่อเปิดช่องให้กระบวนท่าสุดท้ายคือฝ่ามือธรรมเดียวที่พึ่งคิดขึ้นสามารถจู่โจมเข้าเป้า และนั่นคือความหวังเดียวของสำนักหันซานแล้ว...”

    เหวินเหม่ยชิงผงกศีรษะรับ ศิษย์สำนักหันซานทุกคนต่างดีใจ พากันประสานมือคารวะไต้ซือหัวหลิน กล่าวขอบคุณคนละหลายครั้ง

    อย่างไรก็ตามคนที่รู้ดีที่สุดว่าการกระทำนี้เหมือนการหลอกให้รื่นเริงชั่วคราวก่อนที่จะพบความจริงอันโหดร้ายคือเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่เป็นไปได้กับเป็นไปไม่ได้ ก็คือตัวไต้ซือหัวหลินเอง

    หลวงจีนชราถอนหายใจแรงๆ แม่นางเหวินจะข้ามเส้นแบ่งนั้นได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาและความมุ่งมั่นของนางแล้ว...

    ... ... ...


    สาขาใหญ่ พรรค ฉิกจับอิด


    “ท่านประมุข หลี่ฮูหยินขอเข้าพบขอรับ”

    หลี่เฉินเชียงโบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้ทำตามประสงค์ได้

    หลี่ฮูหยินผู้นี้มิใช่ ภริยาของมัน แต่เป็นแม่ของหลี่ซังซัง มันที่รักและเอ็นดูซังเอ๋อเป็นพิเศษ ก็ล้วนเป็นเพราะญาติคนนี้


    หญิงนางหนึ่งเดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่าทางสง่างาม หากอยู่ต่อหน้าหลี่เฉินเฉียงแล้ว นางกลับมีท่าทีเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด “ผู้น้อยคารวะ ท่านประมุข ” นางคล้ายจงใจ คล้ายไร้เจตนา กลับเน้นย้ำคำว่า “ท่านประมุข” โดยชัดเจน

    หลี่เฉินเชียงจับจ้องมองหญิงงามเบื้องหน้า นางแม้นล่วงเลยวัยสาวมานาน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความงามล้ำ ดวงเนตรทั้งสองทั้งกลมโตและสดใส ประกายของดวงตาคล้ายบรรจุหมู่ดาวน้อยใหญ่ลงไป ทว่ากลับแฝงความเศร้าโศกอย่างประหลาด นางที่แท้มีความทุกข์อันใด?

    “อาเจิ้ง เจ้าที่เรียกเราว่าประมุข แสดงว่ายังมิอภัยให้เรา” หลี่เฉินเชียงกล่าว น้ำเสียงกลับอ่อนโยนนุ่มนวลนัก

    หลี่ฮูหยิน หรือที่เรียกว่า อาเจิ้ง อันเป็นชื่อจริงของนางปิดปากเงียบหาได้ตอบคำไม่ ระหว่างทั้งสองที่แท้มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น? เหตุใดหลี่เฉินเชียงจึงกล่าวกับนางว่าป่านนี้ยังมิยอมอภัยให้แก่มัน? ความเป็นมาของทั้งสองก็เป็นความลับประการหนึ่ง!!??

    หลี่เฉินเชียง มากด้วยอำนาจวาสนา ตลอดเวลาไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของเขา แต่เวลานี้ หลี่ฮูหยินหาได้ตอบคำของมันไม่ และหลี่เฉินเชียงก็ไม่มีปัญญาที่จะจัดการกับท่าทีเช่นนี้ของนาง!!!


    หลี่เฉินเชียงถอนหายใจยาวนาน

    “เอาเถอะ เจ้ามาหาเราด้วยเหตุใด?”

    “ซังเอ๋อหนีออกจากบ้านอีกแล้ว ครานี้นางลอบติดตามผู้พิทักษ์กฎคนใหม่ของท่านไป”

    “ซังเอ๋อมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้าหนุ่มนั่นเกินประมาณจริงๆ แต่ข้าเห็นมันหน่วยก้านดี ความสามารถหรือก็เพียงพอจะฝากผีฝากไข้ได้ จึงแกล้งปล่อยปละละเลยไปบ้าง ฮาฮา บอกต่อเจ้า หากซังเอ๋อได้ฮั่นตงเป็นสามีจริงก็นับเป็นวาสนาของนาง”

    “ท่าน!!” หลี่ฮูหยินอุทานออกมา ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจเดิม “ท่านประมุขที่พูดเช่นนี้ ราวกับมิใส่ใจ คงเป็นเพราะเห็นว่าซังซังมิใช่ลูกตัวเลยปล่อยปละละเลยได้สินะ”

    หางคิ้วขวาของหลี่เฉินเชียงกระตุกขึ้นนิดหนึ่ง คนระดับประมุขพรรคเช่นเขา โดยปกติไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าคำพูดของหลี่ฮูหยินกลับสร้างความกังวลแก่มัน ดังนั้นกล่าวว่า “อาเจิ้ง อย่าเพิ่งวิตกไปเลย ฮั่นตงคนนี้เป็นถึงยอดฝีมือแห่งยุค ความเก่งกาจนั้นมิได้ด้อยกว่าเกี่ยมฮุ้น หากเจ้าเห็นมันเจ้าก็ต้องพอใจเช่นกัน”

    หลี่ฮูหยินแค่นเสียงกล่าวว่า “ถึงอย่างไรซังเอ๋อก็มีศักดิ์เป็นหลานท่าน มีใช่ควรไล่ตามผู้ชายอย่างหญิงไร้ยางอายเช่นนี้ หึ... ท่านชอบเห็นผู้หญิงเราไร้ศักดิ์ศรีจริงนะ ถึงได้เลี้ยงลูกข้าจนเป็นเช่นนี้ได้” คราวนี้วาจามิเพียงเย็นชา ยังขาดความเคารพยำเกรงอย่างยิ่ง ทว่าหลี่เฉินเชียงยังคงทนรับฟังวาจาของนางแต่โดยดี

    ขณะนั้นมีเสียงๆหนึ่งดังสอดขึ้นว่า “ไยหลี่ฮูหยินต้องกังวลด้วย ทางแก้ปัญหาของคุณหนูนั้นง่ายนิดเดียว” ผู้ที่เดินเข้ามาคือเกี่ยมฮุ้น ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพรรคฉิกจับอิดนั่นเอง

    เพียงได้เห็นชายผู้นี้มาหลี่ฮูหยินกลับมีท่าทีสดใสขึ้นมาทันที

    “ทางแก้ใดหรือ?” นางถาม

    “ก็ให้ข้าไปตามนางกลับมา” เกี่ยมฮุ้นว่า

    หลี่ฮูหยินฟังดังนั้นก็ยิ้มได้ “ดี ไม่เสียแรงเจ้าฉลาดหลักแหลม สามารถพึ่งพาได้ จงไปดำเนินการตามที่พูดเถิด” นางหันไปกล่าวกับหลี่เฉินเชียงว่า “เกี่ยมฮุ้นนี้ต่างหากสมควรเป็นยอดฝีมือแห่งยุคอย่างแท้จริง และหากจะมีใครคู่ควรกับซังเอ๋อ ก็ต้องเป็นเขานี่แหละ”

    “………” หลี่เฉินเชียงมิสามารถกล่าวอันใดออกมา ได้แต่นิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น

    ...  ...  ...

    แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 47 23:05:16

    จากคุณ : ทีมแต่งนิยาย - [ 15 ม.ค. 47 23:06:46 ]