ขุมทรัพย์โปโป้ปิ๊วสุดขอบฟ้า..ในที่สุดก็จบแร้ว...เย้..

    ทุกคนปล่อยลมหายใจที่กลั้นอยู่ออกมาคนละเฮือก..ต่างทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ภณชัยนั้นนอนแผ่หายใจดังฟืดฟาด ๆ อยู่ใกล้ ๆ ราเมษฐ์ ผมเองก็เหงื่อแตกทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง หมดเรี่ยวหมดแรงเอาดื้อ ๆ เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าความรู้งูปลาที่ผมได้จากการดูคุณพ่อของผมออกแบบเครื่องจักรสำหรับอบใบไม้และการวิจัยทางเคมีต่าง ๆ จะช่วยผมและเพื่อน ๆ ขนาดนี้ คุณคุณอย่าเพิ่งแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้เก่งถึงขนาดนั้น ในทันทีที่ผมเทียบแปลนวงจรของจริงกับที่วาดเอาไว้ในสมุดแล้ว ผมรู้ได้อย่างไรว่าต้องดึงสายไฟเส้นสีเขียวออก ก็ได้ในเมื่อสายไฟเส้นสีเขียวนั้นไม่มีอยู่ในสมุด แล้วมันมีอยู่ในของจริง ไม่ยากเลยที่ผมจะรู้ว่าผมควรจะดึงหรือตัดเส้นไหนออกไป เพื่อให้มันเหมือนกันซะ

    เพื่อน ๆ ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว สายตาของพวกเขามองเหมือนผมเป็นซุปเปอร์แมน หรือฮี่โร่ที่หาดูได้จากในหนัง พลนิดาซึ่งฟื้นคืนสติมาได้นั้นสายตาของเธอที่มองผมทำให้ผมขนลุกขึ้นมานิด ๆ หน้าของเธอยังคงซีดแต่มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง เสื้อของผมที่เธอใส่อยู่ไม่ได้ช่วยให้เธอหายโป๊ไปได้สักเท่าไรแต่เธอดูเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร

    “นายรู้ได้อย่างไงว่าต้องดึงสายไฟเส้นสีเขียว..นายมีความรู้ขนาดนี้เลยรึ?” ราเมษฐ์ถาม สีหน้าของเขาอยากรู้จริง ๆ
    ผมส่ายหน้า..”อย่าไปหาคำตอบเลยเพื่อน..เรื่องนี้ฟลุ๊คมหาฟลุ๊ค หรือไม่พวกเราก็ยังไม่ถึงที่ตาย..”
    “แต่นายก็ช่วยชีวิตของพวกเราไว้ได้ ด้วยไหวพริบของนายนั่นเอง..” อรรถพรกล่าวเสียงขรึมมา ผมหลบตาเธอ รู้สึกแปลก ๆ ยิ่งกว่าสายตาของพลนิดา ทำไมพวกผู้หญิงถึงมองผมด้วยสายตาอย่างนี้หนอ??

    พวกเราวิพากษ์วิจารณ์กันในเรื่องระเบิดและความเก่งกาจสามารถของผมอยู่อีกพักหนึ่ง คนที่เฉลียวคิดได้ก่อนใครก็คืออรรถพร เธอสังเกตว่าแสงสีเขียวจากวัตถุแก้วผลึกสีเขียวนั้นเหตุใดจึงยังไม่หยุดส่องแสง แม้ว่าตัวนาฬิกาจะหยุดเดินและเสียงตี๊ดจะหายไปแล้ว..

    แสงรอบตัวของเราเริ่มลดน้อยลงไปทุกขณะ ทำให้แสงสีเขียวนั้นทวีความสว่างขึ้นทุกที ตอนแรกพวกเรากลัวกันว่าวงจรของระเบิดจะกลับมาทำงานอีกครั้ง แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่มีสิ่งบ่งบอกว่ามันจะทำงานขึ้นมาใหม่ พวกเราเลยเลิกใส่ใจกับมัน

    “ฉันว่ามันแปลก ๆ ฉันรู้สึกสังหรณ์อย่างไรไม่รู้..” อรรถพรยังไม่หยุดกังวลใจ
    “ถึงอย่างไรเราก็ทำอะไรไม่ได้ สมมุติว่าอยู่ ๆ มันตูมขึ้นมาพวกเราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ามันจะตูมเมื่อไร เราอาจจะตายไปแล้วโดยไม่เจ็บเลยสักนิดก็ได้..เพราะฉะนั้นช่างมันเหอะ ตอนนี้ฉันว่าเรามาคิดกันดีกว่าว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไง..ในเมื่อเจ้าฝูงแมงมุมนั่นยังอยู่ข้างนอก และข้างในนี้ก็ไม่มีอาหารแม้น้ำจะกินก็ยังไม่มี ฉันว่าพวกเราคงไม่รอดไปถึงเช้าแน่ ๆ..”

    เป็นครั้งแรกที่ราเมษฐ์พูดเป็นงานเป็นการได้ถึงขนาดนี้ ในทันทีที่พูดถึงเรื่องความหิวภณชัยก็แสดงอาการออกมาจะเป็นจะตายเสียให้ได้ เขาไม่ได้กินอะไรมาเกือบจะยี่สิบแปดชั่วโมงเท่าพวกเราทุกคน แต่ร่างกายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ของเขาทำให้เขาย่ำแย่ต่อสภาพการอดอาหารเยี่ยงนี้กว่าพวกเรา ด้านพลนิดานั้นจากการอิดโรยและผลข้างเคียงจากฤทธิยาทำให้เธอดูย่ำแย่เป็นคนที่สอง ริมฝีปากที่แหกจนแตกนั้นทำให้ผมรู้ดีว่าอีกไม่นานเธอก็คงจะล้มลงอีกครั้ง พวกเราต้องมองดูกันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น

    และแล้วสิ่งที่พวกเราไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!!

    มันเริ่มจากการสะเทือนเลื่อนลั่นของแผ่นดินและแผ่นฟ้า มีเสียงแตกยับร่วงกราวของหินงอกหินย้อยและกำแพงต่าง ๆ ที่ถูกอะไรอย่างหนึ่งที่ตัวใหญ่มากถล่มทะลายระมาราวกับพายุสลาตัน มีเสียงร้องของอะไรอีกอย่างหนึ่งดังแกร๊กกร๊ากและเสียงขบเคี้ยวดังระงมอยู่ตลอดเวลา ผมกับเพื่อน ๆ ถลากันไปที่ริมหน้าต่างโบกี้รถไฟเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เราเห็นทำให้เราแทบล้มทั้งยืน!!!

    แมงมุม!! โคตรแมงมุมยักษ์ ตัวดำสนิทดูน่าเกลียดน่ากลัวและใหญ่กว่าตัวที่ผมฆ่ามันตายไปแล้วหลายเท่า ขณะนี้มันกำลังอาลาวาดฟาดขาของมันไปมาเพื่อเข่นฆ่าฝูงเจ้าแมงมุมตัวเล็ก ๆ ที่เมื่อเทียบกับมันแล้วก็เหมือนฝูงมดที่กำลังตะลีตาเหลือกหลบหนี บางตัวที่หนีไม่ทันก็ถูกฟาดตายฆ่าที่แล้วถูกหยิบใส่ปาก บางตัวที่หนีทันก็ส่งเสียงร้องกร๊ากกกยาวเหยียดดังเหมือนฝูงหนูหนีไฟที่ผมได้พบในความฝัน  การเข่นฆ่าผ่านไปไม่นานทุกอย่างก็สงบลง พวกเราเห็นเจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นทำตาประหลับประเหลือกมองมายังโบกี้รถไฟที่มันอยู่ ท่ามกลางความสลัวนั้นแสงสีเขียวของวัตถุแก้วผลึกนั้นส่องสว่างจ้าจนเล็ดลอดออกไปทางหน้าต่างให้มันเห็น

    เหมือนต้องมนต์ที่มองไม่เห็น เหมือนถูกแม่เหล็กขนาดใหญ่ดึงดูดให้มันเคลื่อนที่เข้าหา แมงมุมยักษ์ลำตัวเป็นลอนคลื่นคล้ายลำตัวแมลงสาบค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าหาพวกเราช้า ๆ มันไม่ได้มีลำคอยาวและมีหน้าเหมือนแมวอย่างที่ผมเห็นในฝัน มันมีดวงตากลมใหญ่สีแดงสดปะอยู่บนหัวทรงกลมที่ใหญ่ขนาดโอ่งขังน้ำฝน ขนปกปุยยื่นยาวรุงรังราวกับช้างแมมมอส หากเขี้ยวทั้งบนล่างทั้งสี่เขี้ยวนั้นกลับน่ากลัวกว่า มันเหมือนมีดดาบสีเงินที่วาววับพร้อมจะกรีดแทงอะไรก็ได้ที่มันต้องการ

    ตู้โบกี้ของพวกเราถูกโยกอย่างแรง มันใช้แค่ขาคู่หน้าของมันเท่านั้นในการทำอย่างนั้น เขี้ยวของมันเจาะทะลุหลังคาเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราเหมือนลูกหนูที่วิ่งหลบไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษามนุษย์  น่าสงสารก็แต่พลนิดาที่บัดนี้เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัวแล้วคลานต้วมเตี้ยมหลบหนีคมเขี้ยวเจ้ามุมยักษ์ในขณะที่พวกเราใช้สองเท้าวิ่งปรู๊ดไปมา อรรถพรเองนั้นแม้จะดูเข้มแข็งกว่าทุกคนแต่ในเวลานี้เมื่อต้องเผชิญกับสไปเดอร์ซอรัส (ก็แมงมุมไดโนเสาร์ไง) เข้าเธอก็กลับกลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่วิ่งไปแหกปากร้องไป ส่วนภณชัยและราเมษฐ์นั้นเขายังพอช่วยเหลือตัวเองได้

    ขณะที่ผมตัดสินใจที่จะวิ่งเข้าไปช่วยพลนิดาให้ออกห่างจากหลังคาเพื่อมาหลบซ่อนอยู่ใกล้ ๆ ฝาอีกด้านหนึ่งนั้น หลังคาโบกี้หลังนั้นก็หลุดเว่อร์ออกไปด้วยแรงเหนี่ยวรั้งจากเรี่ยวแรงมหาศาลของมัน แล้วหลังคาเหล็กทั้งแผงก็ถูกสลัดวูบเดียวจนลอยคว้างขึ้นไปในอากาศก่อนจะหล่นลงมาดังสะเทือนแผ่นดิน  วูบเดียวเท่านั้นที่มันฉกแขนของมันลงมาร่างของพลนิดาก็ติดแขนข้างนั้นของมันขึ้นไปซะแล้ว

    เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้นจากเธอ ผมใจหายวาบยืนตะลึงแน่นิ่งมองร่างอันไม่ได้สติของพลนิดาถูกเหวี่ยงไปมาด้วยขาอันใหญ่โตนั้น ในสมองของผมตอนนั้นเหมือนถูกฟ้าผ่าหรือไฟดูดจนขยับไม่ได้..มองด้วยตาถลนเมื่อมันกำลังเหวี่ยงร่างของพลนิดาเข้าปากของมัน

    …….

    สิ่งมหัศจรรย์ไม่มีในโลก..แต่สิ่งที่เหนือกว่าความมหัศจรรย์นั้นพอมีอยู่และได้เกิดขึ้นแล้ว นพวุฒิถลาวูบเดียวก็ถึงระเบิดลูกนั้น เขาล้วงเอาแก้วผลึกสีเขียวเม็ดนั้นออกมาจากรูที่เขาใส่ลงไป แล้วขว้างไปยังหัวอันใหญ่โตของเจ้าแมงมุมยักษ์ทันที

    เสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง ขาหรือมืออีกข้างหนึ่งของมันก็คว้าอัญมณีก้อนนั้นไว้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกสาบให้นิ่งสนิทอยู่อย่างนั้น มีแต่ฝุ่นควันที่ลอยคว้างท่ามกลางลำแสงที่ริบหรี่ของปล่องถ้ำ ดวงตาแดงฉานของมันทั้งคู่จ้องมองเม็ดสีเขียวนั้นแน่นิ่ง ปลายขาข้างที่เหลือของมันกระดิกไหวไปมาหากเป็นไปอย่างเชื่องช้าราวกับจะแสดงความปรีดาเมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการ แล้วร่างของพลนิดาก็ถูกปล่อยลงจากกลางอากาศ กระดอนครั้งหนึ่งกับลำตัวที่น่าจะนุ่มนิ่มของมันก่อนจะกลิ้งลงตามความลาดของลำตัวลงสู่พื้น..มันค่อย ๆ เอาเม็ดแก้วผลึกสีเขียวนั้นป้อนเข้าปาก…

    เสียงตี๊ดของระเบิดลูกนั้นดังขึ้นอีกแล้ว..มันดึงขึ้นในทันทีที่นพวุฒิดึงเอาส่วนที่สำคัญยิ่งของมันออกมา..มันเป็นจังหวะเดียวที่เขาจะฉวยได้ในตอนนี้ก็คือต้องรีบหนี!!!

    เร็วเท่าความคิด เท้าของเขาวิ่งจี๋ไปยังประตูทางออกของโบกี้ ยันโครมเดียวมันก็เปิดออกทันที เขาตะโกนให้เพื่อน ๆ หนีอย่างสุดเสียงแล้วตัวเองก็โก่ยแน่บโดยไม่เหลียวหลัง  ก้มลงคว้าร่างของพลนิดาขึ้นมาได้แค่มือทั้งสองเขาก็ออกแรงลากเต็มที่ ไม่รู้ใครคนหนึ่งที่วิ่งตามเขามาตรงเข้าช่วยคว้าของพลนิดายกขึ้นมาในลักษณะหาม แล้วทั้งสองก็วิ่งตัวปลิวออกไปยังปากถ้ำที่เห็นอยู่ข้างหน้า ส่วนอีกสองคนนั้นจะเป็นอย่างไรไม่มีใครได้ทันสนใจใครกันอีกแล้ว

    เจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากสิ่งที่มันกำลังกลืนลงคอ เสียงตี๊ดจากระเบิดดังถี่ขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นเสียงเดียวลากยาวอยู่ไม่เกินห้าวินาที แล้วก็…

    บึ้มมมมมมมมมมมมม

    …………….

    ริมกองไฟที่รายล้อมไปด้วยเด็ก ๆ อายุประมาณ 12-13 ปีทั้งหญิงและชายนั้นเงียบกริบ..เรื่องเล่าจากปากของเด็กชายอายุไร่เรี่ยกันนั้นทำให้แทบทุกคนต้องอ้าปากหวอ..แม้แต่ครูสองสามคนที่ยืนอยู่ด้วยบริเวณนั้นยังอดลุ้นไปกับเรื่องนั้นไม่ได้..และแล้วเสียงนั้นก็เล่าต่อ..

    “ทุกคนรอดตายมาได้อย่างเหลือเชื่อ..ผมและเพื่อน ๆ มาได้สติอีกทีเมื่อเช้าของอีกวันหนึ่ง พวกเรานอนไม่ได้สติกันอยู่บนซากปรักหักพังของภูเขาทั้งลูก ทั้งแมงมุมยักษ์และทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ถูกทำลายไปพร้อม ๆ กัน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเราลอดมาได้อย่างไร รู้แต่เพียงว่าหากผมไม่ได้ฝันไปก่อนหน้านั้นว่าแมงมุมยักษ์ต้องการกินอัญมณีสีเขียวนั่น..ผมคงจะช่วยชีวิตของพลนิดาไม่ได้ และพวกเราก็คงตายกันไปหมดเพราะมันคงจะจับพวกเรากินทีละคน ๆ ”

    เมื่อยังเห็นทุกคนเงียบ..นพวุฒิจึงต้องย้ำ
    “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และเพื่อนกันย่อมไม่ทิ้งกัน จบแล้วครับ..”

    เสียงปรบมือดังกราวใหญ่..ครูสาวคนหนึ่งเดินก้าวออกมากลางวงนั้น กล่าวเรียกร้องให้บุคคลที่นพวุฒิกล่าวถึงให้เป็นผู้แสดงในเรื่องเล่านั้นก้าวออกมา..แต่ละคนเป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกันที่ช่วยกันขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ แล้วมอบหมายในนพวุฒิเป็นคนเล่า อันเป็นเกมที่ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ที่ครูสาวคนนี้คิดขึ้น

    ทุกคนได้รับเสียงปรบมือกันเกรียวกราว..แต่แล้วก็ต้องเงียบไปอย่างกระทันหันเมื่อชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากนอกวง

    “พวกเธอควรจะปรบมือให้ครูด้วย ครูชื่อวรเวช เป็นครูฝ่ายปกครอง เป็นคนเดียวกับที่พวกเขาเล่าว่าเป็นครูวิปริตคนนั้น..ไม่น่าเชื่อว่าภาพพจน์ของครูจะเลวร้ายถึงขนาดนั้นเลย..” พูดจบเขาก็หัวเราะ  

    เสียงหัวเราะและเสียบปรบมือดังขึ้นอีกคราว คราวนี้มันยาวนานจนนพวุฒิและเพื่อน ๆ ทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่นพวุฒิโค้งรับการชื่นชมอยู่นั้น ภณชัยซึ่งยืนใกล้เขาที่สุดก็กระซิบพอให้เขาได้ยินว่า

    “นพ..ระวังแบงก์ดอลล่าที่กระเป๋ากางเกงของนายหน่อย..มันแพลมออกมาแล้ว เดี๋ยวคนอื่นเห็นก็ยุ่งกันใหญ่ละทีนี้..”

    นพวุฒิใจหายวาบอีกครั้ง!!
    …..
    …..
    …………….


    จบจ้า….(ขาดตกบกพร่องประการใด ขอยกให้เป็นความรับผิดชอบของ "ผม" คนที่เล่านะครับ ปิ๊วมะเกี่ยว..อิอิ)

    จากคุณ : ปิ๊วปิ๊ว - [ 21 ม.ค. 47 15:56:54 A:203.118.65.4 X: ]