เวนิส - เวเนเซีย



    สายลมโชยอ่อนจากลำน้ำพัดสะบัดผมยาวประบ่าสีน้ำตาลให้พ้นวงหน้าสวยคมที่ใครเห็นเป็นต้องเมินผ่าน ...
    อ้าว ! ... ไม่ได้เหรอ ... เป็นนางเอกนี่นะ
    งั้นก็ ...
    ต้องมองซ้ำ

    เรือลำน้อยสีขาววิ่งตัดผ่านกระแสน้ำ ละฝั่งที่จากมาไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่เวนิส เกาะเล็กเกาะน้อยร้อยยี่สิบเกาะที่เชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานมากถึงสี่ร้อยแห่ง เมืองที่หญิงสาวฝันนักฝันหนาว่าอยากมาเยือน เหลียวมองรอบตัวก็เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่น กำลังตื่นเต้นกับทัศนียภาพสองฟากฝั่งที่งดงามแปลกตา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ไม่รู้จักกันก็สามารถยิ้มให้กันได้อย่างเป็นมิตร ทุกอย่างดูน่ารื่นรมย์ สบายตาสบายใจ ยกเว้นชายหนุ่มผิวขาว ตาเขียว ...
    เอ่อ ... ไม่ใช่  ต้องอธิบายว่า  ตาสีเขียว ...
    เขียวเดียวกับสีน้ำของเวนิสนั่นแหละ

    หล่อนก็ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เข้าทำนองสอดรู้สอดเห็นเสียด้วย เห็นคนนั่งหน้าบอกบุญไม่รับท่ามกลางธรรมชาติแสนสวย ดูแล้วมันขัดตาชอบกล หญิงสาวผู้ชอบปวารณาตัวเองว่าเป็นนักบุญมาโปรดสัตว์ผู้ยากก็ยอมสละเวลาชมวิวตรงไปนั่งข้าง ๆ

    “บองจัวโนะ”

    ไม่ตอบแฮะ ...

    “สวัสดียามเช้าค่ะ”   ทักภาษาอิตาลีไม่ยอมตอบ ทักภาษาไทยก็ได้  (สมมติว่ารู้เนอะ)

    “ครับ”   ชายหนุ่มทำหน้างง ๆ แต่ก็ยอมยื่นมือมาทักทายหญิงสาวแปลกหน้าตามมารยาท

    “คุณไม่สบายปวดท้องหลังอาหารเช้าหรือเปล่าค่ะ”  

    “เปล่านี่ครับ ทำไมหรือ”  สีหน้าแปลกใจของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์

    “ฉันเห็นหน้าตาคุณเหมือนอยากเข้าห้องน้ำนะคะ ในเรือนี่ก็มีนะ อยู่ทางท้ายเรือแหนะ”
    ได้ยินคำตอบชายหนุ่มถึงกับทำหน้าพิลึก คงคิดว่าเจอคนสติสตังค์ไม่ค่อยมีเข้าให้แล้ว

    “ขอบคุณ แต่ผมสบายดี และก็จะดีกว่านี้ถ้าได้อยู่ตามลำพังเงียบ ๆ”  คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน พลางส่งสายตาดุแกมตำหนิมาให้คนข้างตัว

    “ไม่ได้หรอกค่ะ เขาว่าคนชอบอยู่คนเดียว มักเป็นโรคซึมเศร้า เหงา และ หงอย อาจพาลคิดฆ่าตัวตายได้ง่าย ๆ ฉันยังไม่อยากเห็นใครกระโดดน้ำตายแถวนี้ เดี๋ยวน้ำเขาจะบูด และเน่าตามอารมณ์คุณไปด้วย”

    ไม่รู้จักหล่อนซะแล้ว ใคร ๆ ก็เรียกว่า เวเนเซียจอมจุ้น  แต่หญิงสาวคิดว่าตัวเองเป็นแม่พระมากกว่า เพียงแต่ยังไม่มีเวลาแก้ความเข้าใจผิดของทุกคน

    “แล้วคุณจะเอายังไงกับผม”

    “ไม่ยังไงหรอกค่ะ เห็นคุณอารมณ์ไม่ดี เลยมาชวนคุยเล่นฆ่าเวลานะ”

    “ผมไม่ใช่ของเล่นของใคร”

    อึ๋ย ... เจอประโยคแบบนี้ อกหักมาแหง ๆ  เชื่อขนมกินได้เลย แบบนี้แม่พระของคนยากอย่างหล่อนมีงานทำอีกแล้วสิ

    “บังเอิญฉันเป็นคนขี้เล่นแก้ไม่หายซะด้วย  แต่เห็นคุณโกรธง่าย ๆ แบบนี้ เอาเป็นว่า เรามาเล่นแบบมีสาระก็คงพอไหวนะ”  คนช่างแหย่ขยิบตาข้างหนึ่งแกล้ง นี่ถ้าใครมาเห็นเข้าคงหาว่าหล่อนเล่นหูเล่นตา ให้ท่าผู้ชายหน้าตาดี  แต่ให้ตายเถอะ ไม่ได้คิดอกุศลยังนั้นเลยนะ ไอ้การยักคิ้ว ยักเอว ยักไหล่นี่ก็เป็นนิสัยห่าม ๆ ที่หญิงสาวแก้ไม่ได้สักที

    อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ คงหมดความสนใจในคนบ๊อง ๆ กวนประสาท เลยหันกลับไปคว้าคู่มือท่องเที่ยวออกมาอ่านแทน

    “คุณชื่ออะไรนะ”

    “เจนีฟ”

    “แปลว่าอะไรเหรอ”

    “เจนีวา”   ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้

    “อ๋ออออ ... เหมือนฉันเลย”

    “เหมือนตรงไหน”   คราวนี้ชายหนุ่มกลับสนใจบทสนทนาขึ้นมาบ้าง

    “ฉันเดาว่าแม่คุณตั้งชื่อให้ตามเมืองที่คุณเกิดใช่ไหมละ”

    “อือ”

    “แม่ก็ตั้งชื่อให้ฉันตามชื่อเมืองเกิดเหมือนกัน”

    “อือ”  

    “นี่คุณ  อือ ๆ ออ ๆ อยู่ได้  ไม่ถามหน่อยเหรอว่าชื่อฉันเพราะขนาดไหน”

    “ไม่ได้อยากรู้”

    “คุณนี่ไม่น่าคบเอาเสียเลย นี่รู้มั้ย มิตรภาพนะไม่ได้หากันง่าย ๆ นะ  คุณคงไม่คิดจะอยู่คนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบในโลกกลมบ้าง เบี้ยวบ้างใบนี้หรอกใช่มั้ย”

    “เรื่องของผม”  ตาสีเขียวคราวนี้เขียวปั๊ดน่ากลัว ไม่สวยเสียแล้ว ท่าทางเขาจะเห็นหล่อนเป็นคนบาปมากกว่านักบุญ ผิดวัตถุประสงค์ของหญิงสาวไปกันใหญ่

    “ไม่ต้องจ้องกันขนาดนั้นก็ได้ ฉันพอรู้ตัวว่าสวยอยู่หรอก”  พูดเองก็ขำเอง ไม่รู้ไปได้เชื้อบ้า ๆ บวม ๆ แบบนี้มาจากไหน

    “ฉันชื่อ เวเนเซีย เพราะเกิดที่เวนิสนี่แหละ  แต่คุณคงหวังให้ฉันนำเที่ยวไม่ได้หรอก เพราะย้ายไปอยู่ที่โรมตั้งแต่เด็กแล้ว”   หญิงสาวคว้าหนังสือในมือของเขาไปพลิกดูอย่างถือวิสาสะ พลางพูดยิ้ม ๆ

    “คุณคงรู้เรื่องที่นี่ละเอียดกว่าฉันละมั้ง  เอาเป็นว่าคุณช่วยพาฉันเที่ยวหน่อยแล้วกัน ถึงฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ยังรู้สึกผูกพันและโหยหาถิ่นฐานเดิม เลยอยากกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้ง ไม่แน่นะ ฉันอาจจะกลับมาตายที่นี่ก็ได้ ใครจะรู้”

    “ยังเด็ก ยังเล็ก ทำไมคิดไปไกลขนาดนั้นละคุณ”  เหมือนชายหนุ่มจะมีรอยยิ้มเอ็นดูประดับใบหน้าขรึม แต่เพียงชั่วครู่ก็กลับเฉยชาราวน้ำแข็งดังเดิม ช่างสมเป็นคนเมืองหนาวที่อยู่กับหิมะตาปีตาชาติ ถึงหล่อนไม่เคยไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ แต่เห็นจากตานี่แล้วก็พอรู้ว่าที่นั่นคงหนาวจนขี้เกียจขยับปากยิ้มเป็นแน่

    “ใครจะไปรู้อนาคตละ ไม่ประมาทไว้เป็นดี ฉันชอบเดินทาง เห็นที่ไหนสวยก็อดคิดไม่ได้ว่าฉันจะมานอนเฝ้าที่นั่นที่นี่ตอนตายดีไหมเนี่ย”

    “พิลึก”

    อย่างน้อยก็ทำให้เขาด่าได้  หน้าตาไม่บึ้งแบกโลกเหมือนเมื่อแรก หญิงสาวเลยค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

    ไม่ทันที่เวเนเซียจะอยากให้เขาด่ามากกว่านั้น เรือก็เข้าเทียบท่าส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่ง เจนีฟรีบคว้าข้าวของส่วนตัวผละไปทันทีราวกับกลัวว่าแม่ปลิงสาวช่างพูดจะตามเกาะ กินเลือดกินเนื้อเขา

    “เชอะ !... ราวกับอยากตามไปงั้นแหละ”  เวเนเซียสะบัดหน้าไปมา แลบลิ้นหลอกลับหลัง แต่พอเห็นว่าเหลือหล่อนอยู่คนเดียวบนเรือ ก็จำต้องคว้าเป้ตัวเองวิ่งตามหลังเขาไป



    จากคุณ : ธราธร - [ 23 ม.ค. 47 10:22:02 ]