ตัน( เรื่องสั้นที่ยาวนิดๆ )

    ตัน
    บทความของผมอยู่บรรทัดบนสุด   มันเป็นบทความที่ดีละเอียดถี่ถ้วน แฝงไปด้วยข้อคิดที่คมคาย ถ้าใครได้อ่านจะต้องอึ้งและตะลึงกับความคิดที่ผมได้ถ่ายทอดออกไปในแต่ละบรรทัด  ผมโพสต์บทความในเวปบอร์ดแห่งหนึ่งไม่ขอเอ่ยนาม  ผมใช้เวลานานในการกลั่นกรองเรื่องราวทั้งหมด แต่ละตัวอักษรอักคระทุกตัวมันประณีตละเอียดอ่อน ละมุนละไม  เยี่ยมจริงๆ  ผมเฮในใจดังๆสามครั้ง  ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนหลงตัวเอง แต่ความคาดหวังความมั่นใจทุกคนก็ต้องมีกันบ้าง ถ้าไม่มีความมั่นใจเลย ความสำเร็จก็จะไม่เกิดขึ้น จะมีแต่ความกลัวที่เกาะกินความสำเร็จอยู่ร่ำไป ไม่มีวันจบ  กลัวแฮะ... กลัวที่จะไม่สำเร็จ  สำเร็จไปเพื่ออะไรผมตั้งแง่กับตัวเอง สำเร็จไปเพื่อ เพื่ออะไรตอนนี้ก็ยังไม่รู้  คิดเพียงแต่ว่าต้องทำ ต้องทำ ทำวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้ พอถึงวันพรุ่งนี้ ก็ย้อนมาดูวันนี้  แล้ววันนี้จะทำให้เรามีแรงต่อสู้ มีความพยายามในวันต่อๆไป วันต่อๆไปก็จะรอวันพรุ่งนี้ที่จะรอกลับมาดูวันนี้ วันที่พยายามทำวันพรุ่งนี้ ผมในวันพรุ่งนี้ก็จะกลับมาขอบคุณตัวผมในวันนี้ ที่มีจุดเริ่มให้กับวันพรุ่งนี้  คืนนั้นผมเดินเรื่อยเปื่อยที่ถนนแห่งหนึ่ง ถนนแห่งแสงสียามค่ำคืน ราตรีนี้ไม่มีวันดับใช้ได้ดีกับที่นี่  ผมไปทำไมเหรอ ความจริงคนอย่างผมนิสัยแบบผมไม่น่าจะเดินเตร็ดเตร่ในที่นี่ตอนนี้ได้เลย  นิสัยพื้นเพผมเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ดังนั้นผมจึงเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน(สรุปเอาดื้อๆ) ถ้าว่างผมจะใช้เวลาเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือสวนสาธารณะมากกว่า และส่วนใหญ่เวลาทั้งหมดของผมจะหมดไปกับการอ่านและเขียนบทความ  ความฝันจินตนาการถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรครั้งแล้วครั้งเล่า บางเรื่องผมประทับใจ และหลายเรื่องที่ต้องการการปรับปรุงทางความคิดอีกเยอะ (ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้นซะมากกว่า) แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย เพราะผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรกับสิ่งที่ผมทำมากนัก  แค่ชอบ รัก และคิดจะสร้างก็เท่านั้น  ...เข้าเรื่องซักที   ที่ผมมาเดินเตร็ดเตร่บนถนนสายนี้ก็เพราะว่าผมจะมาเก็บข้อมูล เพราะพักนี้ความตีบตันทางความคิดเริ่มแวะเวียนเข้ามาในหัวเป็นระยะ   งานเขียนช่วงหลังๆของผมมักจะวนเวียนอยู่ในเรื่องเดิมๆ แนวทางเดิมๆ แนวคิดเดิมๆ  เมื่อผมอ่านผมยังเซ็งกับเรื่องราวงานเขียนของผมเลย  และมีหรือว่าผู้ที่อ่านจะไม่รู้สึกเบื่อ และคาดเดาเรื่องราวได้  มีคนหนึ่งที่อ่านบทความของผมและแสดงความคิดเห็นมาว่า  ผมจำเจอยู่กับแนวทางเดิมๆ มุขเดิมๆ  และเริ่มน่าเบื่อแล้ว  แต่ผมไม่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจ หรือว่าเสียใจกับความคิดเห็นนั้นเลย  ผมกลับดีใจด้วยซ้ำที่มีคนติดตามอ่านเรื่องราวของผมจริงๆจังๆ  ผมต้องขอบคุณเขาด้วยสิ  ความคิดเห็นนั้นเป็นยาล้างตาชั้นดีที่มีอำนาจทะลุทะลวงดวงตา พุ่งตรงสู่สมองสั่งการไปถึงหัวใจของผมเลยทีเดียว  ผมเริ่มคิดวิธีการจัดการกับความคิด กระบวนการล้างสมองตัวเองก่อตัวขึ้น  ทำอย่างไรดี วิธีไหนจะช่วยเราได้บ้าง ต้องทำอย่างไร เริ่มคิดก็เริ่มปวดหัว ตอนนั้นสมองของผมคิดอะไรไม่ออก และแวบหนึ่งของปลายตา มองเหลือบไปเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์    การฆ่าข่มขืน  การประท้วงของกลุ่มคนกลางคืนที่เรียกร้องให้ยืดเวลาปิดสถานบริการออกไปอีก  เข้าท่าแฮะ  แสงสว่างสีทองลอดช่องผ่านเข้ามาทางหัวสมอง  สถานบริการกลางคืน  การฆ่าขมขืน มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย  ถามตัวเองอีกครา   เกี่ยวกันสิ กำปั้นทุบดังดินแปะๆ  ถ้าสถานบริการปิดช้า มันก็ดึก คนก็เมาสุรามากขึ้น สติการยับยั้งชั่งใจก็จะน้อยลง  ผมรู้ได้อย่างไร บอกให้ก็ได้ว่าอ่านเจอในหนังสือ  แต่ก็แค่อ่านเจอจากคำบอกเล่าของประสบการณ์คนอื่น มันไม่ใช่ประสบการณ์ตรงของผมเลย  จะรู้ลึกซึ้งได้อย่างไรเล่า   เรื่องที่ผมรู้ซึ้งบทความส่วนใหญ่ที่ผมเขียนก็จะเป็นเรื่องราวรักๆใคร่ๆซะมากกว่า  มันเป็นเรื่องราวที่ผมถนัดปลายนิ้วทั้งสิบของผมพร้อมเสมอที่จะละเลงสีสันเหล่านี้  แต่มันเริ่มวน  คุณรักผม ผมรักคุณ  มันเริ่มใช้ไม่ได้สำหรับผมและคนอ่านบทความของผม  เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ผมเลยแทรกตัวอยู่กลางถนนแห่งนี้   แสงสีส้ม สีเขียว ป้ายร้านมากมายตั้งตระหง่านท้าท้ายตาของผมอยู่ตลอดทุกก้าวเดิน  ประสบการณ์จริงมันช่างน่าตื่นตายิ่งนัก ผมอุทานในใจ  จุดเริ่มต้นคืนนี้ของผมเริ่มจากการสำรวจ เดินดูไปก่อนจะโฉบเข้าไปร้านไหนค่อยตกลงกับตัวเองอีกที  ผมเดินไปจนสุดเส้นถนน ที่สุดถนนมีแต่ความมืดมิดของร้านค้าที่ปิดตัวเองลง ไม่มีแสงสีเขียวสีแดงเหมือนถนนที่ผมก้าวผ่านมา  มีก็แปลกเพราะร้านพวกนี้เปิดตอนกลางวันกลางคืนเขาก็พักผ่อนกันนะสิ    ไม่เหมือนร้านด้านหลังที่ตอนกลางวันพักผ่อนตอนกลางคืนเปิดบริการ ผมหยุดคิดตรงแสงไฟนิออนสีขาวหน้าร้านที่ปิดบริการ  เอายังไงดี จะเดินกลับไปบนถนนที่ผมผ่านมาหรือว่าจะกลับบ้านดี ถ้ากลับบ้านก็จะไม่ได้เรื่องราวที่ตั้งใจจะมาค้นหาเลย แต่ถ้ากลับไปจะเลือกร้านไหนดีละ  ผมก็ไม่เคยมาซะด้วย ไม่รู้ว่าร้านไหนดี ร้านไหนเหมาะสมกับพล๊อตเรื่องที่ผมต้องการ  ผมเริ่มทะเลากับตัวเองอีกครั้ง  ในหัวเหมือนมีสองตัวตนในความว่างเปล่าของผมทะเลาะกัน   ความว่างเปล่าที่เป็นตัวผมคนแรกบอกว่ากลับเหอะได้เห็นแค่นี้ก็พอแล้วที่เหลือกลับไปมั่วเอาที่บ้าน เปิดหนังสือโน่นเล่มนี้เล่มเดี๋ยวก็ได้เรื่องที่ผมตั้งใจจะเขียนแล้ว  แต่ความว่างเปล่าที่สองนะสิรบเร้าจะเข้าไปให้ใด้ ด้วยเหตุผลที่ว่า มาทั้งทีอย่าให้เสียเที่ยว  ไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น ไม่ทำไม่เป็น ผิดเป็นครู  ดูเหมือนว่าอันหลังจะไม่คล้องจองแฮะ    แต่ไม่เป็นไร เหตุผลทั้งสองความคิดก็เข้าท่าทั้งคู่  อยู่ที่กรรมการห้ามมวย คือผม    ว่าจะชูมือฝ่ายไหน  ฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ  ผมเดินไปหยิบคะแนนจากกรรมการทั้งสี่ด้านของเวที หัวใจทั้งสี่ห้องของผมเองแหละ และผลก็อยู่ในมือผมแล้ว  ผมดูผลคะแนนจากกรรมการ ไม่มีความแปลกใจเลยสักนิดเดียวที่กรรมการทั้งสี่ให้มติเป็นเอกฉันท์  ผมชูมือให้กับความว่างเปล่าที่สอง ผมเดินกลับเข้าไปในถนนเส้นนั้นอีกครั้ง (แต่ผลประกาศในมือความว่างเปล่าแรกเป็นฝ่ายชนะ ผมขยำผลคะแนนทิ้งในกล่องความคิดที่เขียนข้างกล่องว่า ไม่มีเหตุผล)  และแล้วการตัดสินใจก็เกิดขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง   ปัญหามีไว้แก้   คำๆนี้ยังใช้ได้เสมอ   แต่ปัญหาที่มีไว้แก้สำหรับผมในตอนนี้ก็คือว่าผมจะเลือกเข้าร้านไหนดี   ผมเป็นคนที่ไม่เคยเที่ยวกลางคืนนี่จะรู้ได้อย่างไรว่าภายในร้านที่ด้านนอกดูสวยหรู ด้านในจะดูสวยหรูเหมือนด้านนอกหรือเปล่า  เหมือนกับผู้หญิงที่ภายนอกดูสวยสดงดงาม แต่จิตใจนี่นะสิ ดูไม่ได้เลย แต่...ที่ดูไม่ได้เพราะว่าผมมองไม่เห็นนะสิ  ผมเขกหัวตัวเองหนึ่งครั้งไม่มีเสียง เพราะมันเบา เขกแรงก็เจ็บสิครับ ผมหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านร้านหนึ่ง  ร้านนี้ตกแต่งแปลกตาไปจากร้านอื่นมาก หน้าร้านประดับด้วยไปสีส้ม ความมืดสลัวๆ แต่ที่แปลกที่สุดก็คือร้านนี้ไม่มีการลงทุนตกแต่งหน้าร้านเลยแม้แต่น้อย  ป้ายบอกชื่อร้านก็เก่า ไฟติดๆดับๆ  หน้าร้านมีผู้หญิงแต่งชุดยั่วยวนใจนั่งอยู่สี่ห้าคน  ด้านในร้านเป็นไงผมไม่สามารถมองทุลุเข้าไปได้  ความคิดตัดสินใจผมหยุดตัวที่ร้านๆนี้   อยากรู้จังข้างในจะเป็นอย่างไรบ้าง  จะได้ข้อมูลเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า  ความคาดหวังต่างๆมากมายประทุเข้ามา  หัวใจก็เริ่มเต้นแรงทุกฝีก้าวที่ผมเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ร้าน  เข้าไปใกล้  ใกล้ขึ้นทุกที  เกือบจะถึงประตูหน้าร้านแล้ว

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 23 ม.ค. 47 15:19:10 A:203.146.112.110 X: ]