การกลับมาครั้งใหม่(return to the world)

    ได้พล๊อตเรื่องนี้มาจากโทรทัศน์ค่ะ  ช่วงนี้มีหลายข่าวดังมาก  เลยได้ไอเดียมาเขียนเรื่องนี้ค่ะ


    การกลับมาครั้งใหม่(Return to the world)

    ผมเกิดที่โลกใบนี้...  แทบไม่รู้ประวัติของตัวเองเลยว่าผมเป็นใคร...มาจากไหน...  พ่อแม่ผมน่ะหรือ...  ไม่มีหรอก...  ไม่มีใครรู้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของผม.. .แม้แต่ตัวผมเอง...

    สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำคือภาพวันเก่าๆ ของโลกเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว  แค่ระยะเวลาเพียงไม่นานที่หลับไป  โลกได้แปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ  
    ผมเลือกที่จะไปอาศัยอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง... เมืองเล็กๆ ในประเทศเล็กๆ ซึ่งเคยได้รับสมญานามว่าสวยที่สุดในภูมิภาคนี้  กรุงเทพมหานคร...ดินแดนแห่งรอยยิ้มและความเป็นมิตร  

    ทว่ากรุงเทพในวันนี้ดูแตกต่างจากวันวานโดยสิ้นเชิง  
    ภาพตึกรามบ้านช่องขนาดใหญ่ผุดขึ้นเรียงรายราวดอกเห็ด  

    นครสีเขียวมรกตแห่งความเขียวขจีสาบสูญไปพร้อมกับการเกิดใหม่ของมหานครสีเทา  มีการวาดลวดลายและสีสันด้วยการเล่นแสง สี และเสียง ทั่วทุกหนแห่ง  เครื่องฉายภาพสามมิติขนาดใหญ่หลายเครื่องติดตั้งอยู่บนตึกสูงแทบทุกตึก  
    ภาพโฆษณาสินค้าแบรนเนมชื่อดังจากต่างประเทศถูกฉายขึ้นบนฟ้า  สร้างความคึกคักให้กับเมืองแห่งนี้ได้เป็นอย่างมาก

    ถนนสีเทาหลายสายตัดเรียงซ้อนกัน  คดเคี้ยว วกไปวนมาจนน่าเวียนหัว  นับตั้งแต่ทางรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งอยู่ลึกลงไปเบื้องล่างหลายสิบเมตร  เลยขึ้นไปจนถึงรถไฟฟ้าและทางด่วนยกระดับเหนือศีรษะผู้คนมากมาย  ผู้คนต่างสัญจรผ่านไปมาด้วยความรีบเร่ง  ไม่มีใครมีเวลาหยุดเหลียวหันมามองผมสักคน

    ผมเดินเตร่ไปเรื่อยตามทางเท้าบนถนนสายหนึ่ง  ร้านรวงหลายแห่งเปิดไฟระยิบระยับ  โฆษณาเชิญชวนให้ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาแวะหยุดมอง  กว่าสามในสี่ของร้านบนถนนสายนี้หนีไม่พ้นร้านอาหารนานาชนิด  ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม  ไม่ว่าจะเป็นอาหารประจำชาติใดล้วนหากินได้จากย่านนี้ทั้งสิ้น

    ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง  มันเป็นเพียงตึกแถวห้องเล็กๆ ตกแต่งด้วยไม้สำเร็จรูป  มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาดตามร้านขายวัสดุก่อสร้างทั่วไป  ตัวร้านดูโดดเด่นสะดุดตาด้วยการนำไม้สำเร็จรูปมาทาสีเรืองแสง  สร้างลูกเล่นให้ร้านดูโดดเด่นดึงดูดใจลูกค้าในยามค่ำคืน  
    มองเลยกระจกแผ่นใสเข้าไปในร้าน  

    ที่นั่งเกือบทุกที่ถูกจับจองด้วยลูกค้าทั้งไทยและเทศ  เสียงกระดิ่งจากประตูหน้าร้านดังขึ้นแทบทุกสองนาที  ผู้คนต่างแวะเวียนเข้ามารับประทานอาหารกันอย่างแน่นขนัด
    สังคมบนโลกใบนี้ช่างไม่ต่างอะไรไปจากวันวาน  

    การบริโภคถือเป็นปัจจัยหลักของทุกชีวิต มนุษย์ทุกคนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอาหาร  เมื่อปราศจากอาหาร...ย่อมถึงจุดสิ้นสุดของมนุษย์ทุกผู้คน

    ยามเมื่อสายตาของผมกวาดไล่อ่านรายการอาหารจากแผ่นป้ายอิเล็กทรอนิกส์หน้าร้าน  ความแปลกใจบางอย่างผุดขึ้น  ผู้คนในปัจจุบันนี้ดูจะมีพัฒนาการด้านการบริโภคที่ก้าวหน้ากว่าเมื่อครึ่งศตวรรษก่อนมาก

    รายการอาหารที่เห็นส่วนใหญ่ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเลย


    ต้มยำ...

    ผัดกะเพราราดข้าว

    แกงจืดลูกชิ้น...

    ....ทอดกระเทียมพริกไทย

    ...ชุบแป้งทอด

    ส้มตำ...

    ยำรวมมิตร...




    แต่สิ่งที่สะดุดใจผมคงจะเป็น  บรรดาสิ่งมีชีวิตที่พวกเขานำมาบริโภคมากกว่า

    รายการอาหารของวันนี้...


    ต้มยำจักจั่น

    ผัดกะเพราราดข้าว

    แกงจืดลูกชิ้นกินูน

    แมลงดานาทอดกระเทียมพริกไทย

    แมลงทับชุบแป้งทอด

    ส้มตำปาทังก้า

    ยำรวมมิตรไข่มดแดงและตัวอ่อนผึ้ง



    ทุกรายการของอาหารในเมนูอิเล็กทรอนิกส์ไม่ปรากฏชื่อของสัตว์ชนิดใดๆ เลย  ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ เป็ด ปลา หรือแม้แต่บรรดาเนื้อสัตว์แปลกๆ ที่เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในสมัยก่อนอย่างเนื้อนกกระจอกเทศ หรือเนื้อกวาง

    การบริโภคสิ่งมีชีวิตของผู้คนดูเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ  

    มันเป็นเพราะเหตุใดกัน??  ผมจำเป็นต้องรู้สาเหตุนี้ให้ได้  เพราะมันสำคัญกับการดำรงอยู่ของผมในโลกใบนี้
    ผมตัดสินใจเริ่มต้นค้นหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ในทันที

    เมื่อเข้ามาในร้านอาหารซึ่งอัดแน่นไปด้วยผู้คน  เสียงพูดคุยดังอื้ออึงปะปนไปกันดนตรีบรรเลงจากบริเวณเวทีหน้าร้าน  ผู้คนส่วนใหญ่ในร้านเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน  พวกเขามักใช้เวลาหลังเลิกงานนั่งพักผ่อน  พบปะสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนร่วมงาน  

    ผมลอบสังเกตสมาชิกคนหนึ่งในร้าน  เขาเป็นชายหนุ่มวัยทำงาน  สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวมีตราของบริษัทผลิตซอฟแวร์ชื่อดังของเมืองไทยปักอยู่บริเวณกระเป๋าเสื้อ  เนคไทสำเร็จรูปถูกยัดไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆ ซิปซ่อนรูปผ่าหน้าถูกติดแทนกระดุมรูดลงมาถึงกลางอก  เผยให้เห็นเสื้อกล้ามบริเวณด้านใน  เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบอาหารและเบียร์  บอกชัดถึงการขาดสติสัมปชัญญะของผู้เป็นเจ้าของ

    ชายผู้นี้นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนอีกสองคน  
    “ผมกำลังจะตกงาน” ชายคนที่ผมแอบมองอยู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเครือๆ แม้จะเมาอยู่แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ไม่ได้พรากความทุกข์ในใจไปได้

    “อะไรว่ะ  ไหนว่าบริษัทนายมั่นคงนักไม่ใช่เหรอ?  ทำงานยังไม่ทันถึงสี่เดือนดีถูกไล่ออกเสียแล้ว” เพื่อนคนหนึ่งในโต๊ะโวยวายขึ้น

    “มั่นคงกะผีอะไรเล่า  บริษัทกำลังเลออฟพนักงานออกเดือนหน้าแล้ว  พวกที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้ซองขาวกันเป็นแถวๆ” เขากล่าวด้วยความแค้นจัด  หยิบแมลงทับชุบแป้งทอดจากจานแก้วตรงหน้าขึ้นเคี้ยว  ตามด้วยน้ำสีอำพันในมืออึกใหญ่

    “ใจเย็นน่า  ออกจากบริษัทนี้ไปก็หาบริษัทอื่นเข้าใหม่ได้” เพื่อนคนหนึ่งพยายามปลอบ
    “คุณมาทำงานกับผมไหมล่ะ?” จู่ๆ ชายหนุ่มผู้นั่งเงียบที่สุดในกลุ่มก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
    สายตาของทุกคนบนโต๊ะ  รวมทั้งผมหันไปมองเขาเป็นจุดเดียวกัน  

    ชายผู้นี้ดูจะแก่ที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งหมด  กิริยาท่าทางและการแต่งกายแม้ไม่อาจบอกฐานะการเงินที่แท้จริงได้  แต่จากลักษณะภายนอกของเขา  เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนทอด้วยไหมไทยอย่างดี  ตัวผ้าเป็นมันวาวตัดอย่างประณีต แขนสี่ส่วน ค่อนข้างรัดรูป บ่งบอกถึงรสนิยมการแต่งกายของนักธุรกิจชั้นแนวหน้า

    ฐานะการเงินของหมอนี่คงดีไม่น้อยเลย...
    “คุณจะช่วยผมงั้นเหรอ?” อาการเมาของชายหนุ่มหายไปเป็นปลิดทิ้ง  ความที่เป็นเพียงแค่เพื่อนของเพื่อนทำให้หนุ่มขี้เมามองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจระคนตื่นเต้น
    มีใครบ้างล่ะจะไม่รีบรับงานใหม่ไว้ในยามที่ถูกไล่ออกเช่นนี้

    “ใช่ ผมช่วยคุณแน่  เพียงแค่คุณยอมรับข้อเสนอของผมได้”
    “ได้แน่นอน  ไม่ว่างานอะไรผมก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น” ชายหนุ่มรีบตะครุบ
    “แม้ว่างานนั้นจะผิดกฎหมายงั้นหรือ?” เขาถามลองเชิง
    “ใช่” ไม่มีอาการลังเลในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย
    “ดี  ผมกับคุณกรคงได้เพื่อนร่วมงานที่ดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง” เขาหันไปพยักพเยิดกับอีกคนหนึ่งผู้นั่งอยู่ข้างๆ
    “ว่าแต่งานที่คุณจะให้ผมทำนี่มันงานอะไร?”
    “เพาะพันธุ์แมลงต้องห้าม!!”


    ผมออกมาจากร้านอาหารแห่งนั้นไล่ๆ กับกลุ่มคนที่กำลังจับตามองอยู่  บทสนทนาเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของผมไม่น้อย  บางทีความอยู่รอดของผมอาจขึ้นอยู่กับบุคคลกลุ่มนี้ก็เป็นได้...

    ผมใช้เวลาช่วงสองวันให้หลังศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนยุคนี้  

    ผมพบการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของผู้คนทั่วโลก  ความนิยมในการนำแมลงมาบริโภคเป็นอาหารสามารถพบเห็นได้ทั่วไปนับตั้งแต่ปี2545  โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย  

    จากที่จับเองตามธรรมชาติเริ่มนำเข้าสู่อุตสาหกรรมการส่งออก  มีการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคแมลงแทนสัตว์อื่นๆ เนื่องจากข้อมูลของกองโภชนาการพบว่า  คุณค่าทางอาหารด้านโปรตีนและไขมัน  ระหว่างแมลงบางชนิดเช่นตั๊กแตน แมลงตับเต่า เปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่นเนื้อไก่ที่น้ำหนักเท่าๆ กัน  แมลงสามารถให้คุณค่าทางอาหารได้ใกล้เคียง  เป็นแหล่งอาหารทดแทนที่สำคัญในพื้นที่ที่ขาดแคลนอาหารจำพวกโปรตีน

    ยิ่งมาในช่วงปลายปี2545 การระบาดครั้งใหญ่ของโรคซาร์สหรือโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง  อันมีต้นเหตุมาจากไวรัสในตัวชะมดได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปหลายพันคน  ตามติดมาด้วยโรคไข้หวัดนกในปี 2547 สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนทั่วโลก

    หลายชาติเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงในการบริโภคเนื้อสัตว์  ประกอบกับการขาดแคลนอาหารจำพวกโปรตีนยิ่งทวีความรุนแรงสูงขึ้น  

    ทางออกหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือบรรดาแมลงชนิดต่างๆ  ฟาร์มหมูและไก่หลายแห่งหันมาเพาะพันธุ์แมลงเสริมเป็นรายได้พิเศษ

    ชนิดแมลงที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมบริโภคมีมากมายหลายสายพันธุ์  อย่างแมลงจำพวก Coleoptera เป็นแมลงในกลุ่มด้วงเช่น ด้วงกว่าง ด้วงมะพร้าว ด้วงหนวดยาว แมลงทับ แมลงเหนี่ยง แมลงกินูน  ได้รับความนิยมสูงสุด  หรือพวกจักจั่น ในจำพวก Homoptera และแมลงดานา แมลงดาสวนในจำพวก Hemiptera ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
    ฟาร์มเพาะพันธุ์แมลงผุดขึ้นเรียงรายราวดอกเห็ด  ในหลายชาติอย่างไทย พม่า กัมพูชา มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์แมลงกันมากขึ้น  

    จนในที่สุดเมื่อปี2550 ประเทศไทยนับได้ว่าเป็นผู้ส่งแมลงออกรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย  

    ความนิยมบริโภคแมลงในแทบเอเชียเริ่มแผ่วงกว้างขึ้น  ครอบคลุมไปจนถึงยุโรปและอเมริกา  ไม่ช้าประชาชนทั่วโรคต่างหันมาให้ความสนใจในการบริโภคโปรตีนจากแมลงแทนเนื้อสัตว์  ฟาร์มสัตว์เลี้ยงถูกแทนที่ด้วยฟาร์มแมลง  การบริโภคเนื้อสัตว์ลดลงเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป  และแล้วอาหารปรุงจากเนื้อสัตว์ก็กลายเป็นสิ่งล้าสมัยของผู้คนในอีกครึ่งศตวรรษต่อมา...

    แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าทุกอย่างจะลงตัวเช่นนี้  ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันแห่งอิสรภาพและชัยชนะที่ยิ่งใหญ่  ไม่ว่าโลกใบนี้จะเจริญก้าวหน้าไปเพียงไร  พวกมนุษย์จะหันหนีหน้าไปทางไหน  สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่มีวันวิ่งหนีพ้นวงจรชีวิตของตัวเองไปได้

    จะไม่มีวันที่พวกมนุษย์จะหนีพ้นอีกแล้ว  ผมรอเวลาในการเกิดใหม่มากว่าครึ่งศตวรรษ  ผ่านร้อนผ่านหนาว...ผ่านคืนวันที่ต้องฝังตัวอยู่เดียวดายมานานแสนนาน  ในที่สุดโลกใบนี้ก็กรุณาให้ผมได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

    และครั้งนี้ผมจะไม่ยอมแพ้พวกมนุษย์อีก...






    แปดนาฬิกาสามสิบนาทีของเช้าวันอังคารที่ 3 มกราคม 2600  ทั่วโลกต่างตื่นตะลึงกับข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่  

    มันเป็นไวรัสที่พัฒนาขึ้นมาจากไวรัสซาร์สซึ่งสูญพันธุ์ไปตั้งแต่เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว  นักวิจัยชี้ชัดว่าเจ้าไวรัสชนิดนี้เกิดจากการผสมผสานข้ามสายพันธุ์ระหว่างไวรัสซาร์สกับไวรัสที่มาจากแมลง  

    จากการตรวจสอบพบแหล่งกำเนิดไวรัสในตัวแมลงสายพันธุ์หนึ่ง  มันเป็นแมลงต้องห้ามที่ทั่วโลกต่างออกกฎหมายห้ามนำเข้าและเพาะพันธุ์  ผู้ติดเชื้อรายแรกคือขบวนการค้าแมลงตัดต่อพันธุกรรม  พวกเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากรับประทานแมลงชนิดนี้เข้าไป  และเสียชีวิตในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา การแพร่ระบาดของไวรัสตัวนี้ยังคงไม่หยุดยั้ง  นักวิจัยพบว่าไวรัสตัวนี้สามารถติดต่อได้ทั้งทางลมหายใจและจากการสัมผัส  

    มันสามารถดำรงชีวิตอยู่ในอากาศได้นานเกือบสิบแปดชั่วโมง  ระยะการฟักตัวนานประมาณหนึ่งถึงสองเดือน  ผู้ป่วยด้วยไวรัสชนิดนี้จะไม่แสดงอาการใดๆ ปรากฏออกมา  หากพวกเขากลับเป็นตัวพาหะในการแพร่กระจายเชื้อโดยไม่รู้ตัว  

    อาการของผู้ป่วยจะปรากฏชัดเมื่อย่างเข้าสู่ระยะสุดท้าย  โดยมีลักษณะคล้ายอาการน้ำท่วมปอด  และจะเสียชีวิตในระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงถัดมา  ความยากลำบากในการตรวจหาผู้ติดเชื้อในระยะเริ่มต้นทำให้ไวรัสชนิดนี้เกิดการแพร่ระบาดอย่างหนัก  

    โดยเริ่มต้นจากภาคกลางของประเทศไทย  ผ่านลาว  พม่า  ไปยังจีน  เข้าสู่ประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ  จนกระทั่งในเวลานี้มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมรณะกว่า 5000 ราย  และพบผู้ติดเชื้ออีกว่า 10000 ราย


    การรักษา: จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่พบว่ามีตัวยาใดสามารถรักษาหรือป้องกันผู้ป่วยติดเชื้อได้  แม้ในระยะเริ่มต้น...

    จากคุณ : firely - [ 25 ม.ค. 47 19:53:56 ]