จินตนาการที่ร้ายกาจ...(ในที่สุดก็สำเร็จ)

    จินตนาการที่ร้ายกาจ
    เช้านี้ความสงสัยเกาะก้อนอยู่ที่ปลายตา  เกิดความอยากรู้ส่วนตัว  เพราะเมื่อวานอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง   มีประโยคหนึ่งที่นักเขียนเปรยเอาไว้  

     พระอาทิตย์สาดลำแสงผ่านช่องหน้าต่าง  เช้าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วนะ
     ยังมึนงงกับความสับสนของความคิด   ความไม่เข้าใจชีวิตมันทำให้ผม
     ต้องจมทนอยู่กับความปวดร้าวนี้อีกกี่วันปี   ผมได้แต่ทอดสายตาว่างเปล่า
     จดจ้องอยู่บนเพดานห้อง   ผมมองเพดานอยู่นาน   นาน  แต่ไม่มีความเบื่อ
     หน่ายเจือบนอยู่เลย  กลับกันผมกลับสนุกกับการมองเพดานสีขาวซีดตรง
     ปลายตาด้วยซ้ำ  อาจเป็นไปได้ว่าผมไม่ต้องการทำอะไรเลยในวันนี้ก็เป็นได้
     ไม่อยากลุกขึ้นจากเตียง  ไม่อยากกินข้าว  ล้างหน้า  แปรงฟัน  ไม่อยากพบ
     ไม่อยากพูดคุยกับใครๆทั้งสิ้น..........

    บทความท่อนหนึ่งของหนังสือที่ผมอ่านเมื่อวานกลับย้อนเข้ามาในหัว  ทำไมมันช่างเหมือนกับชีวิตผมตอนนี้มาก  คนเขียนหนังสือช่างบรรยายภาพความรู้สึกได้ชัดเจนสิ้นดี    แต่มีบางเรื่องที่ยังคาใจอยู่  ผมเฝ้ามองเพดานห้อง  ทอดสายตาจดจ้องอยู่กับมันตั่งแต่เช้า   ผมไม่อยากทำอะไรเลยวันนี้  แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกสนุกไปกับการจดจ้องมองเพดาน   เพดานสีขาวขมุกขมัว  มีหยากไย่สีขุ่นอยู่ตรงมุมเหลี่ยมของเพดาน  สายตาจับจ้องทุกตารางนิ้วของเพดาน  ใช่ผมไม่สนุกกับการจ้องมองมัน  แต่ทำไมผมกลับปล่อยสายตาจ้องมองมานาน   และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมองมัน  

    ทุกๆเช้าผมมักจะตื่นขึ้นมาพร้อมความสับสน  ลืมตาโพรงขึ้นมา   แต่ผมไม่สามารถขยับร่างกายให้หลุดพ้นไปจากเตียงนอน   ผมได้แต่ทอดตามองที่เพดาน  มองมันอยู่นานจนความสับสนค่อยๆลดหายไป    

    เดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่มุมห้อง  บางครั้งการอ่านหนังสือทำให้ผมลดความรู้สึกสับสนได้  

     เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก  ที่จริงผมเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย   ผมได้แต่
     หลอกคนอื่นไปวันๆว่าผมรวย  แต่ที่จริงชีวิตผมไม่ได้สวยหรูดั้งภาพเขียนที่
     ผมวาดเอาไว้   ทุกวันผมจะไปดักรอเหยื่อตามสถานที่ต่างๆ  ตึกใหญ่ย่านธุรกิจ
     โรงแรมหรูห้าดาว  งานแสดงเครื่องเพชร  งานเลี้ยงไฮโซ   ผมมักแต่งตัวภูมิฐาน
     น่าเชื่อถือ  ชุดสูทของผมเช่ามากจากร้านตัดสูท  ผมไม่มีปัญญาซื้อมันหรอก
     ทุกวันนี้ทุกคนยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก  สิ่งนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ  แต่มันเป็น
     เรื่องที่แก้ไขไม่ได้   คนมากมายที่ผมพูดคุยด้วยมักจะเชื่อถือในคำพูดสวยหรู
     หลงในภาพมายาที่ผมวาดเอาไว้  พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังเป็นเหยื่อ
     อันโอชะของผม   ทำไมพวกคุณช่างโง่กันเช่นนี้  แค่คนที่หน้าตาดี แต่งตัวภูมิฐาน
     พูดจาน่าเชื่อถือ  เพียงแค่นี้พวกคุณก็เคลิ้มไปกับผมแล้ว........  
     
    ผมปิดหนังสือดังปัง  ต่อว่าตัวเองในใจว่าซื้อมาได้ยังไงวะ  ทำไมอ่านแล้วรู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิม  ทำไมใจมันว้าวุ้นอย่างนี้  ที่คนเขียนว่าไว้เป็นจริงหรือนี่  หรือว่าเขาเขียนมาจากจินตนาการไม่มีส่วนของความจริงเลย   คนเราทุกวันนี้ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นเองหรือ  บ้านหลังใหญ่ๆ  รถยนต์คันหรู   เสื้อผ้าราคาแพง  เพชรเม็ดโต  ทองคำ  เงินปึกใหญ่ๆในกระเป๋า  บัญชีเงินฝากในธนาคารที่มากหลัก  ปัจจัยเหล่านี้เองหรือที่ทุกคนอยากได้อยากมีและยังหลงยึดติดกันอยู่    ทำไม  ผมเริ่มสับสนอีกแล้ว  

    ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง  นอนคว่ำหน้าลง   หลับตาสนิท  ลดหายใจสูดดมฝุ่นพื้นเตียงสักพักก็สำลักออกมา  เศษฝุ่นเล็กๆที่มองไม่เห็นก็สามารถสร้างปัญหาได้เช่นกัน  ละอองเล็กๆที่มองเกือบไม่เห็นมันทำให้ผมสำลักลมหายใจอยู่ชั่วขณะ  ผมต้องกลับไปมองเพดานอีกครั้งหรือนี่  ถ้าไม่มองเพดานแล้วจะทำอะไร  หรือว่าจะเดินหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน  จะมีอะไรดีกว่านี้อีกละ  ในห้องเช่าสี่เหลี่ยมขนาดย่อม  ไม่มีทีวี  ไม่มีวิทยุ  ไม่มีตู้เย็น  ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง     วังวนของความคิดหมกมุ่นติดกับความไม่เข้าใจชีวิต    ชีวิตที่เคยมี  แต่ตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรเลย

    หยิบหนังสือตรงมุมห้องมาอ่านอีกครั้ง  ผมเลือกที่จะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านค้างไว้เนิ่นนาน  ตอนนั้นผมไม่มีเวลามากพอที่จะอ่านมันจนจบได้  แต่ตอนนี้คำว่าเวลาสำหรับผมมันกลับไม่มีค่าอะไรเลย  จากที่เคยไม่มีเวลา  แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไร  เปิดหน้าที่คั้นเอาไว้

     ชาตรีหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง  เหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วร่างกาย  เขาเดิน
     เตะฝุ่นมาตั้งแต่เช้า  ตระเวนสมัครงานไปทั่วแต่ยังไม่มีที่ได้เลยที่จะรับชาตรี
     เข้าทำงาน  ทุกที่บอกเหมือนกันว่า   “เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปคะ........”
    “ทำไมมันร้อนอย่างนี้วะ”  ชาตรีปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก  ใช่สิทำไมมันจะ
    ไม่ร้อนละ  เวลาเที่ยงนิดๆในฤดูร้อน  ดีกรีความระอุของเปลวแดดมันโหดร้าย
    ยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ  

    ชาตรีแหงนหน้ามองป้ายชื่อบริษัท  ที่นี่แหละที่ประกาศรับสมัครงานในหนังสือ
    สมัครงาน  เขาตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองก่อนที่จะก้าวเข้าไปในอาคาร
    เขาอยากได้งาน   และที่นี้ก็เป็นที่ที่สิบสองที่เข้าเหยียบย่ำมาสมัครงานหลังจาก
    ที่ต้องโดนไล่ออกอย่างสายฟ้าฟาดจากที่ทำงานเก่า  ไล่ออกด้วยเหตุผลที่งี่เง่าที่สุด

    “สวัสดีคะ  ต้องการติดต่อเรื่องอะไรค่ะ”  พนักงานประชาสัมพันธ์หน้าตาสะสวย
    สอบถามชาตรี  เธอสวยมาก แต่ตอนนี้ความสวยไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวได้เลย

    “ผมมา สมัครงาน ครับ  ไม่ทราบว่าจะต้องติดต่อส่วนไหน” ความเย็นของแอร์คอนดิชั่น
    ทำให้ความรุ่มร้อนของร่างกายลดลง

    “มาสมัครงานนะคะ  เชิญกรอกไปสมัครด้านนั้นเลยค่ะ” หญิงสาวยื่นใบสมัครงาน
    พร้อมผายมือไปด้านข้าง  ตรงนั้นมีชายหนุ่มอยู่สองคนกำลังนั่งกรอกใบสมัครขมักเขม้น
    ชาตรีรับใบสมัครแล้วเดินตรงไปที่นั้น

    ชาตรีกรอกใบสมัครงานด้วยความชำนาญ  ประวัติการศึกษา เกรด ประสบการณ์
    เขามีอยู่มากมายด้วยเขาได้เป็นหัวหน้างานด้วยวัยเพียงยี่สิบแปดปี แต่ที่ทำงานเก่า
    ก็ไล่เขาออกเพราะเหตุผลงี่เงา...

    และช่องที่กรอกยากที่สุดก่อมาถึง  คำถามข้อนี้เป็นคำถามที่ชาตรีเจ็บปวดที่สุด
    เหตุผลที่ออกจากที่ทำงานเก่า  ชาตรีรู้ว่าสังคมเราสมัยนี้ชอบการสร้างภาพที่สวยหรู
    ชาตรีก็เคยเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการหลอกใครอีกแล้ว  เขาต้องการ
    เดินเข้าไปทำงานอย่างภาคภูมิในที่ทำงานเก่า ไม่มี่เหตุผลที่เขาจะต้องปกปิด
    เรื่องที่เขาโดนขับจากที่ทำงานเก่า  ชาตรีคิดว่าเขียนลงไปในใบสมัครให้รู้กันไปเลย
    ดีกว่ามาปกปิดไว้  ให้คนอื่นรู้ทีหลัง  หรือว่าเหตุผลข้อนี้กระมังที่ทำให้เขาหางานไม่ได้
    เลย หลังจากโดนขับออกจากบริษัทเก่าด้วยเหตุผลงี่เง่า...

    ผมละสายตาจากหนังสือ เอามือนวดคลึงบริเวณตา เรื่องราวที่เคยอ่านก่อนหน้านั้นเขาลืมไปหมดแล้ว และเขาก็ไม่คิดจะย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นด้วย  เวลามีเหลือเฟื่อแต่ความอยากลิ้มลองมันกลับแทบจะไม่มี    

     “เสร็จแล้วครับ  แล้วผมต้องยื่นตรงนี้เลยใช่ไหมครับ” ชาตรีถามเสียงนุ่ม
     “ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ
     “แล้วจะสัมภาษณ์เลยหรือเปล่าครับ  หรือว่าต้องรอให้ติดต่อกลับ”
     “เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปค่ะ”  เธอจ้องมองรายละเอียดในใบสมัครชาตรี
     “ขอบคุณค่ะ”   ชาตรีตอบสั้นๆแล้วกรีดกรายออกมา
     
     หญิงสาวตรวจสอบใบสมัครเสร็จทำหน้างวยงงกับสิ่งที่ชาตรีเขียน แต่คำพูดเมื่อ
     สักครู่ก็ได้ตอกย้ำคำตอบของชาตรีเป็นอย่างดี

     เหตุผลที่ออกจากที่ทำงานเก่า------------เจ้านายว่าที่หนูเป็นกระเทย  

    ปิดหนังสือดังปังอีกครั้ง  ไม่เอาแล้วผมไม่อ่านแล้ว อ่านเล่มนั้นเล่มไหนก็ทำให้ผมสับสนไปหมดแล้ว  ไม่รู้ว่าไอ้คนเขียนมาสรรหาเรื่องราวที่ไหนมาเขียน  ทำไมจินตนาการของพวกเขาช่างร้ายกาจอย่างนี้  ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจากหนังสือเล่มหนึ่งมันจะตรงกับชีวิตจริงของผมเช่นนี้

    ผมเขวี้ยงหนังสือไปตรงมุมห้อง  จัดแจงเข้าห้องน้ำอาบน้ำล้างตัว  อีกไม่นานก็คงจะค่ำ

    คืนนี้จะไปล่าผู้ชาย!!!    ผม(หนู)เริ่มโกนขนหน้าแข้งที่แพลมออกมา

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 26 ม.ค. 47 15:40:18 A:203.146.112.110 X: ]