คนคนนั้นคือใคร...

    คนคนนั้นคือใคร...

    เป็นอีกครั้งที่ผมเริ่มต้นบรรทัดแรกด้วยความรู้สึกว่างเปล่า  มันไม่มีอะไรเลยในหัว ไม่มีข้อมูลไม่มีพล็อตเรื่อง ไม่มีประกายในการดำเนินเรื่องเลยสักนิด แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมร่างกายของผม นิ้วของผมมันกระแทกแป้นพิมพ์อย่างไม่หยุดยั้ง  มันเป็นเหมือนสัญชาติญาณ  เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ได้  มันออกมาจากข้างใน แม้สมองจะไม่สั่งการ แต่บางอย่างในตัวผมมันเร่งเร้าให้ผมทำ ผมต้องทำ   พิมพ์ไปได้สามบรรทัดก็ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่  

    ตอนนี้จุดที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้  ตรงหน้าคอมพ์  ตรงจุดหนึ่งบนโลกใบนี้  ผมกำลังทำอะไร  ทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร  มันมีความหมายความต้องการอะไรแฝงไว้หรือเปล่า  ตอบตัวเองไม่ได้เลย    ในช่วงเวลานี้ของชีวิตมันเหมือนกับพิสูจน์   ค้นหา  แสวงหาตัวตนที่แท้ของตัวเอง...

    หลายครั้งจ้องมองภาพตัวเองในเงากระจก  นั่งจ้องอยู่เป็นชั่วโมง  คนในกระจกคือตัวผมเอง เป็นเงาสะท้อนของผม  แต่แปลกที่ผมรู้จักเขาน้อยมาก  บางครั้งมองเขาเป็นคนแปลกหน้า
     
    ทุกวันผมจะแบ่งเวลาส่วนตัวจ้องมองเงาสะท้อนตัวเองบนกระจกเงา  พยายามสร้างความคุ้นเคยกับชายแปลกหน้าคนนี้   คนที่หน้าเหมือนผมอย่างกะแกะ  แต่ผมกลับไม่รู้จักเขาเลย

    และเช้าวันหนึ่งผมก็สามารถเข้าถึงตัวตนของเขาได้   การได้พูดคุยกับเขามันทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป  

    “คุณชื่ออะไร...” ผมเริ่มคำถามด้วยเสียงเรียบปากแทบไม่ขยับ

    “....................”

    ไม่มีคำตอบจากเขา  หรือว่ามีแต่ผมไม่ได้ยิน  ผมนั่งนิ่งเงียบสักพัก เพ่งพินิจดูภาพฉายบนกระจกเงา
    “คุณชื่ออะไร...”ถามเป็นครั้งที่สอง

    “.....ทำไม:-)ถามโง่ๆอย่างนี้วะ  ตูชื่ออะไรทำไมต้องถามกูด้วย  :-)ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าชื่อตูกับชื่อ:-)เป็นชื่อเดียวกัน เรียกเหมือนกัน อ่านเหมือนกัน  ชื่อที่พ่อกับแม่:-)ช่วยกันตั้ง...”

    ผมนิ่งอึ้งกับคำตอบ  เขามีชื่อเดียวกันกับผม  ชำนาญ  บุญร่ำ    เขาชื่อนายชำนาญ  นามสกุลบุญร่ำ  ชื่อที่พ่อกับแม่ของเขาช่วยกันตั้ง   พ่อแม่ของเขาจะเหมือนพ่อแม่ของผมหรือเปล่านะ

    “ทุกวันคุณมาทำอะไรที่ตรงนี้  รู้สึกว่าผมจะเจอกับคุณเป็นประจำเลยนะ”  ผมซักต่อ

    “...ตูต้องถาม:-)มากกว่า ว่าทุกวัน:-)มานั่งทำเอี้ยอะไรตรงนี้  แทนที่:-)จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น :-)รู้ไหมว่าช่วงนี้:-)ทิ้งเวลาไปกับการจ้องหน้าตูทีละหลายๆชั่วโมง  :-)ต้องการอะไรจากตู :-)มามองหน้าตูหาเอี้ยอะไร...”
    สะอึกกับคำตอบที่เขาตอกกลับมา  จริงของเขาผมต้องการอะไรกันแน่ทุกวันผมจะเฝ้ามองเขาในกระจก วันละหลายๆชั่วโมง   สิ่งที่ผมต้องการคืออะไรกันแน่

    “แล้วผมต้องทำอย่างไรต่อไป    ...กับชีวิต”

    “...:-)ไม่ต้องทำอะไรกับชีวิต:-)หรอก เพราะชีวิต:-)ไม่มีอะไรเลย  พ่อ:-)เขาก็ไปมีเมียใหม่ตั้งแต่:-)อายุได้สิบขวบ  ส่วนแม่:-)ก็ตายไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนี้:-)อยู่คนเดียว แฟน:-)ก็ไม่มี ใครเขาจะไปสน:-)วะ งานการก็ไม่รู้จักหาทำ  วันๆเอาแต่แต่งเรื่องเอี้ยอะไรก็ไม่รู้  ไม่มีประโยชน์ :-)คิดเหรอว่างานเขียนของ:-)จะมีคนชอบ จะมีคนอ่าน :-)เลิกเพ้อฝันลมๆแล้งๆแล้วออกไปหางานทำเหอะ:-)  ตูเตือนด้วยความหวังดี…”

    นั้นสินะ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลย  ไม่มีค่าอะไรเลย  งานก็ไม่ทำ เงินก็ไม่มี ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ   แต่งนิยายบ้าง เรื่องสั้นบาง  หลายเรื่องแต่งไปได้สองหน้าก็ต้องพับเก็บไปเพราะความขี้เกียจ  นิยายที่ผมแต่งจนจบมีสองเรื่อง เรื่องแรกผมตั้งชื่อเรื่องว่า “ความรักในสายหมอก”  เรื่องราวเกิดจากจินตนาการรักๆใคร่ๆของชายหนุ่มหญิงสาว เป็นเรื่องราวดาดๆที่ใครๆก็นิยมเขียนกัน  มีตอนบทพูดประโยคหนึ่งที่ผมประทับใจมากมันคล้ายกับชีวิตจริงของผม  นางเอกเอ่ยบอกเลิกกับพระเอกในสายหมอกยามเช้า

    “พัศพงษ์....คุณรู้หรือเปล่าว่าเราไปด้วยกันไม่ได้   เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดขอให้คุณลืม
    มันไปซะฉันอยากให้คุณเก็บความทรงจำดีๆของเราสองคนไว้  แม้เราจะเลิกกันแล้วแต่เรา
    ยังเป็นเพื่อนกันได้...”จรัศดาวเอ่ยคำพูดที่กรีดหัวใจของพัศพงษ์ด้วยสีหน้าราบเรียบ
    แววตาของเธอไม่มีความอาลัยอาวรณ์แย้มออกมาเลย

    พัศพงษ์นิ่งอึ้งกับคำพูดของจรัศดาว  เขาไม่เคยคิดเลยว่าหูของเขาจะได้ยินประโยคนี้จาก
    จรัศดาว  แล้วเวลาที่ผ่านมา  ทุกอย่างที่เราร่วมกันสร้าง  ความรักที่เขาทุ่มเทให้มันไม่มี
    ความหมายอะไรหรือไง  หรือว่าเธอมีคนอื่น ยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร  แต่เขา
    ก็รักจรัศดาวคนเดียวไม่เคยคิดนอกใจเธอเลย  เขาพร้อมที่จะยอมตายแทนเธอได้  
    เขายืนนิ่งปล่อยให้สายหมอกละเลียดผ่านร่างกายอย่างช้าๆ  สายหมอกยามเช้า  ความเย็น
    ชื้นของหยดน้ำ  บรรยากาศมันช่างสดชื่นเหลือเกิน
     
    พัศพงษ์เงยหน้ามองฟ้า  สูดอากาศสายหมอกเข้าเต็มปอด  ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง  เขาพยายาม
    เก็บกลั้นความเสียใจไว้  แต่ใจมันก็เป็นก้อนเนื้อที่อ่อนแอเสมอยามเจอเรื่องเลวร้ายอย่างนี้
    “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า...” จรัสดาวถาม

    จะเป็นอะไรไปได้ละ  คนรักพึ่งมาบอกเลิก  บอกให้เลิก  บอกให้ลืม  บอกให้จำ  นี้คุณเห็น
    ผมเป็นอะไร   ผมก็คนนะ  มีร่างกาย มีจิตใจ  เวลาโดนตีผมก็เจ็บ แต่ประโยคที่คุณเอ่ยออก
    มามันทำให้ร่างกายและจิตใจผมเจ็บยิ่งกว่า  บทลงโทษใดๆที่เคยเกิดขึ้นมาบนโลกนี้
    พัศพงษ์ลดหน้าจากท้องฟ้า จ้องมองใบหน้าจรัศดาว  ไม่มีความผูกพันหรือเยื่อใยอยู่ในแววตา
    คู่นั้นเลย

    “ผมไม่ได้เป็นอะไร   แค่....คุณกลับไปซะเถอะ ผมยอมรับได้  มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะอยู่
    หรือจะไป  ผมไม่ใช่คนตัดสินใจ...”  พัศพงษ์เปล่งเสียงคลอนๆ

    “...ผมอยากอยู่คนเดียว”

    ความเงียบแทรกตัวเข้ามาระหว่างเขากับเธอ ช่วงอึดใจ ใช่แล้วมันเป็นจุดจบที่แสนปวดร้าว
    ของคนๆหนึ่ง  แต่มันเสมือนจุดเริ่มต้นของคนอีกคน

    “งั้น...ฉันกลับก่อนนะ    ถ้าเจอกันอีกก็ทักทายกันบ้างนะ” จรัศดาวกล่าวแล้วหันหลับเดินลับ
    ไปกับสายหมอก

    พัศพงษ์ชายตามองคนอดีตคนรักกลืนหายไปกับสายหมอกสีขาว  น้ำใสๆเริ่มซึมออกมาจาก
    สองตา  อกหักมันเป็นอย่างนี้เอง  น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินโดยไม่รู้สึกว่าอายท่ามกลางสายหมอก
    ที่กำลังจางหายไป  

    นี่เป็นบทสนทนาส่วนหนึ่งของนิยายที่ผมเขียนสำเร็จเรื่องแรก  มันเป็นเรื่องราวความรักที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงผมมาก  ผมใช้เวลาอึดเขียนเรื่องนี้อยู่เป็นเดือน  กะว่าเขียนเสร็จจะนำไปส่งสำนักพิมพ์ให้พิจารณา  แต่ก็ได้แค่คิด ผมไม่กล้าพอที่จะส่งผลงานนของผมไปให้ใครอ่านได้  ได้แต่เก็บเอาไว้อ่านคนเดียว  ส่วนนิยายที่ผมเขียนเสร็จเรื่องที่สองชื่อว่า  “มองคนให้เป็นคน”  มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชายหนุ่มที่สิ้นหวังคนหนึ่ง ชีวิตเขาไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลยสักครั้ง  คนรอบๆข้างต่างดูถูกเหยียดหยาม  เขาได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตและโชคชะตา  บางครั้งเขาเคยคิดฆ่าตัวตาย  แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำอย่างที่ใจคิด  

    ทำไม ทำไม ทำไมพระเจ้าต้องในผมเกิดมาบนโลกนี้ด้วยนะ  รู้บ้างไหมว่ามันทรมานมาก
    กับการใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆ  ทุกคนต่างดูถูกผม  ใช่สิผมมันไม่เก่งอะไรสักอย่าง เงินทอง
    ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่มี  ญาติพี่น้องก็ต่างพากันเบือนหน้าหนีทุกครั้งที่ผมไปขอเงินใช้
    ชีวิตผมคงจะไม่เป็นอย่างนี้ถ้าพ่อกับแม่ไม่จากผมไป  ทำไมคนข้างบนต้องพรากพวกท่าน
    ไปจากผมด้วยนะ  อุบัติเหตุครั้งนั้นทำไมท่านเอาแต่ดวงวิญญาณของพ่อกับคุณแม่เลย
    ทำไม  ทำไมไม่ยอมเอาดวงวิญญาณของผมไปด้วย  ไม่มีท่านทั้งสองชีวิตผมก็ไร้ความหมาย
    ทำไมต้องปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่ด้วย  โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับผม   ผมอยากตาย
    แต่ไม่กล้าฆ่าตัวตาย  ผิดด้วยหรือที่ผมได้แต่คิด   ผมคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะประสบความสำเร็จ
    ในชีวิต  แต่ก็ได้แค่คิด  ผมไม่แรงใจมากพอที่จะทำสร้างสรรค์อะไรทั้งนั้น  ไม่รู้ว่าผมจะทำไปทำไม
    ในเมื่อตอนที่ผมประสบความสำเร็จคงมีแต่ผมผู้เดียวที่เฝ้ามองชื่นชมความสำเร็จของตัวเอง  
    ไม่มีใครเลย     ที่จะภาคภูมิใจกับความสำเร็จของผม  หรือว่าผมไม่เคยประสบความสำเร็จ
    อะไรเลยในชีวิต    ก้าวต่อไปผมจะเดินไปทางไหน  วันพรุ่งนี้ผมต้องทำอะไร  ไม่มีคำตอบให้กับ
    ตัวเอง   การพิสูจน์ตัวเองมันยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจความหมายของมัน

    บทความส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องที่สองแวบเข้ามาในหัวสมอง   หลังจากที่ผมเขียนเสร็จผมอ่านทบทวนอยู่หลายรอบ  ถ้อยคำบางคำ ประโยคบางประโยค  บางแง่มุมของความรู้สึก  มันช่างคล้ายตัวตนของผมยิ่งนั้น  นิยายเรื่องนี้ราวกับว่าสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง   บางทีการได้ถ่ายทอดตัวอักษรก็คล้ายกระจกเงา  ทุกๆถ้อยคำที่ได้บรรยายออกมามันช่างเหมือนกับผมเฝ้ามองภาพตัวเองในกระจกเงา   ตัวตนที่แท้แสดงออกมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว  เหมือนกับที่ผมเฝ้ามองเขาในกระจกเงา  โดยที่ผมไม่รู้ตัวก็เป็นได้ว่า   เขาคือใคร

    “...:-)คิดอะไรอยู่วะ  ทำตาลอยเชียว...” เขากลับเป็นฝ่ายถามผมบ้าง

    “เปล่านิ  ไม่ได้คิดอะไร” ผมเสคำถาม  ไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร  บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรู้ดีเรื่องผมไปซะทุกเรื่อง

    “...:-)ไม่ต้องมาฟอร์ม  :-)อาลัยอาวรณ์โชคชะตาชีวิตอยู่ละสิ  ไอ้เอี้ย...:-)จะไปโทษใครเขาได้วะ ทุกอย่าง:-)เลือกทางเดินของ:-)เอง  ไม่เคยมีใครเขาบังคับให้:-)ทำโน่นทำนี้  ไม่เคยมีใครบังคับให้:-):-)  บังคับให้:-)นอน  ทุกอย่าง:-)เลือกทางเดินของ:-)เอง   :-)เลือกที่จะเป็นอย่างนี้เอง    แล้ว:-)จะมัวมานั่งทำหน้าเบื่อโลกอย่างนี้ทำเอี้ยอะไรวะ...”

    ผมนี่นะทำหน้าเบื่อโลก   รู้ได้อย่างไร  ผมก็ชักสีหน้าธรรมดาตลอดเวลาที่คุยกับเขา  เขาจะมารู้ดีกว่าผมได้อย่างไรว่าตอนนี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่  พูดไปพูดมาผมก็ชักเบื่อๆกับคำพูดเพ้อเจ้อของเขา   ไร้สาระที่สุด ทำมาเป็นรู้ดีไปทุกเรื่อง สอนผมเป็นทุกเรื่อง ขนาดพ่อแม่ผมยังไม่เคยสอนไม่เคยพูดจาแรงๆกับผมอย่างนี้เลย  แล้วเขาเป็นใครทำไมผมต้องเชื่อเขาด้วย   ไม่เห็นผมจะต้องฟังเขาเลย

    “...:-)ไม่ต้องคิดหาเหตุผลเอี้ยๆอะไรเข้าข้างตัวเองเลย  ที่ตูพูดไปทั้งหมดมันคือความจริง  มันคือตัวตนที่แท้จริงของ:-)   :-)เองนั้นแหละที่ไม่กล้ายอมรับความจริง  ความจริงที่มีแต่ความปวดร้าว  ความปวดร้าวที่:-)สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของ:-)เอง   วันๆตูไม่เห็น:-)จะทำห่าอะไรเลย   :-)เคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันผ่านไปทุกขณะ :-)จะแก่ลงทุกวินาที   :-)เคยสร้างอะไรให้กับตัวเองไหม   :-)เคยจริงจังกับอะไรสักอย่างไหม   ดีแต่ขอผลัดไปที   :-)เป็นคนขี้เกียจ:-)เคยรู้ตัวบ้างหรือเปล่า   ทำไม:-)ต้องให้ตูมาพร่ำบอก:-)ด้วยวะ   ตูไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่:-)นะโว้ย   ไอ้เอี้ย  :-)น่าจะรู้ตัว:-)เองว่า:-)เป็นคนอย่าไร  หรือ:-)รู้ตัว:-)แล้วแต่:-)ชอบที่จะเป็นอย่างนี้   เป็นชีวิตที่ไม่มีเอี้ยอะไรเลย...”

    ผมง้างมือไปตบหัวกบาลเขาหนึ่งทีอย่างคนขาดสติ   เขาหนีหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงรอยกระจกเงาแตกร้าวเบื้องหน้า  ไปซะได้ก็ดี     ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นเป็นระยะ

    ...เริ่มพิมพ์บรรทัดที่สี่ ไม่มีสมาธิเลยไม่รู้ว่าทำไม  ทั้งที่อยากจะเขียนใจแทบขาด     เห็นทีจะไม่ไหวขืนฝืนไปก็ไม่รู้จะสานต่อยังไร   ไม่เอาดีกว่าผลัดเอาไว้ก่อนจัดแจงปิดคอมพ์  เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาเผื่อจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง  
    ผ่านโต๊ะกระจกตัวเก่า  รอยแตกร้าวยังไม่จางหายไป  กระจกร้าวทำให้ผมไม่สามารถเจอเขาได้อีกแล้ว  นี่ผมควรจะดีใจหรือเสียใจกันดีนี่  

    เข้าห้องน้ำกระหวัดน้ำชะโลมหน้าสองสามครั้งมองตัวเองในกระจกเงา นี่ตัวผมเองใช่ไหม   ผู้ชายชื่อชำนาญ  บุญร่ำ  
    คนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลยในชีวิต...

    “:-)ปิดคอมพ์ทำเอี้ยอะไร  ทำไม:-)ไม่พิมพ์ต่อ...”

    ...เขากลับมาอีกแล้ว!!!

    จากคุณ : เรือ่ยเปื่อยไปวันๆ - [ 27 ม.ค. 47 14:18:25 A:203.146.112.110 X: ]