สารตะรำพึงหัวชนฝา -ด่าข้าพเจ้าทำไม? -

    หนทางที่จะเดิน  แน่ใจหรือว่าเลือกถูก?

    คราวที่แล้วข้าพเจ้าเอ่ยถึงสมุดนรกค้างไว้  วันนี้กะว่าจะมารำพึงต่อให้จบ   แต่ไอ้การรำพึงรำพันของข้าพเจ้าเนี่ย  มันก็ว่าไปเรื่อยนะ  ไม่มีจุดหมายปลายทาง  ไม่มีแก่นของเรื่อง  ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร  แค่อยากจะระบายไอ้ที่มันติดค้างอยู่ข้างในออกไปเท่านั้น  ข้างในของส่วนลึกในจิตใจ  เก็บกดมันเอาไว้เสียเป็นสิบๆ ปี  ขุดคุ้ยมันออกมาเท่าที่มันสมองน้อยๆ ของข้าพเจ้า  จะนึกนึกย้อนรอยอดีตไปได้ไกลถึง  ส่วนใครอ่านแล้วเห็นว่า  เอ้อ..มันช่างมีสาระดีจังแฮะ  หรือ  อ่านแล้วได้ประโยชน์ดีนะ  หรือ  อ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างดีนะ  อันนั้นก็สุดแล้วแต่ท่านจะคิดกันไป  เพราะพวกท่านต่างคิดเองได้  โตๆ กันแล้วนี่  สุนัขคงจะเลียบั้นท้ายไม่ถึงกันแล้วมั้ง?!  แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของพวกท่าน  ไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้าเลย

    ข้าพเจ้าขอย้อนกลับไประลึกถึงอดีตอันแสนรันทดของข้าพเจ้าต่อ   ทุกครั้งทุกคราที่ถึงวันประกาศผลสอบและรับสมุดรายงานผลการเรียนในรอบปี   ข้าพเจ้าไม่อยากกลับบ้านเลย  ทุกก้าวที่ย่างไป  เหมือนดั่งมีแรงอะไรบางอย่างฉุดรั้งข้าพเจ้าไว้  ร่ำร้องบอกข้าพเจ้าไว้  แค่จินตนาการถึงภาพที่มารดาของข้าพเจ้าเปิดสมุดพกออกดู  และเห็นตัวเลขที่น่ารังเกียจอยู่ในนั้นแล้วละก็…  นรกแตกแน่ๆ  

    ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าอายุอานามได้สิบขวบ    ข้าพเจ้าได้ถูกมารดาลงโทษ  โทษฐานที่ได้ผลการเรียนห่วย:-)!!  ด้วยการผูกข้าพเจ้าไว้ที่เสาไฟฟ้าหน้าบ้าน  และใช้กิ่งมะยมหนึ่งกำมือ  เฆี่ยนข้าพเจ้าเสียหลายที  และด้วยความที่มารดาของข้าพเจ้าเกรงว่าผู้อื่นจะไม่รู้ถึงพฤติกรรมอันเลวทราม  ชั่วระ:-) ต่ำช้าของข้าพเจ้าที่ได้เกรดอัน[^_^]       มารดาท่านจึงป่าวประกาศให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงออกมาดูตัวปีศาจร้ายน้อยๆ ที่ถูกผูกอยู่หน้าบ้าน     ให้ข้าพเจ้าได้อับอายแสนสาหัส   ใครไม่เคยโดนก้านมะยม   ย่อมไม่รู้ถึงพิษสงของมันหรอก   ว่าไอ้เจ้ากิ่งเล็กๆ ยาวๆ แบบบาง  ที่ดูจุ๋มจิ๋มไม่น่ากลัวอะไร  มันจะสามารถสร้างความเจ็บปวดทางร่างกายได้ถึงเพียงนั้น     แต่เจ็บกายไหนหรือจะเทียบเท่ากับทำให้ใจถูกย่ำยีกระทำชำราวได้     อับอายเหลือเกิน  ข้าพเจ้าอับอายผู้คนจนไม่อาจสรรหาถ้อยสำนวนใดมาบรรยายได้    

    เป็นไงล่ะ  นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ถึงพระเดชของมารดาข้าพเจ้า  แสบไปถึงรูทวารหนักเลยไหม   เข้าใจข้าพเจ้าแล้วหรือยัง  ว่าทำไมข้าพเจ้าถึงให้คำจำกัดความถึงไอ้สมุดนั่นว่า  สมุดนรก!!

    ครานั้นก็เหมือนกัน   ข้าพเจ้ากลับมาถึงบ้านและพบว่ามารดายังไม่กลับ   ข้าพเจ้านั่งรอมารดาที่จะมาเปิดอ่านสมุดนรกด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ  นี่ถ้ามันมีขานะ  หัวใจข้าพเจ้าคงจะกระโดดออกมานอกร่างแล้ว  ข้าพเจ้ามองไปที่นาฬิกาเป็นพักๆ   ใกล้ได้เวลาที่มารดาจะกลับถึงบ้านแล้ว   สมองของข้าพเจ้าทำงานอย่างเร็วจี๋  คิดหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้  …ทำยังไงล่ะที่จะไม่โดนแม่ด่า  ทำยังไงล่ะที่จะไม่โดนแม่ตี  ใช่แล้ว  เราต้องหนี  หนีออกจากบ้านไปซะ  ไปในที่ที่แม่จะหาเราไม่พบ  ไปในที่ที่ใครๆ ก็ตามเรากลับไปไม่ได้…  

    ในที่สุด  ด้วยสมองอันชาญฉลาด  แต่ก็เป็นมันสมองของเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็คิดหนทางออก  ข้าพเจ้ารีบเก็บเสื้อผ้า  และอาหารอีกเล็กน้อยในตู้เย็นใส่กระเป๋า   ในขณะที่เก็บของอยู่นั่นเอง  ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงแม่ที่ชั้นล่าง   …ทำไงดี  แม่กลับมาแล้ว  จะลงบันไดก็ไม่ได้…  ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเขียนจดหมายลาถึงมารดา  บอกสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องหนีออกจากบ้านไป  และอย่าได้ลำบากออกตามหาเลย

    ข้าพเจ้าวางจดหมายไว้ที่หน้าประตูห้อง  พร้อมกับสมุดนรกไว้เคียงข้าง  แล้วเดินออกไปที่เฉลียง  ลัดเลาะไต่ไปตามต้นมะม่วง  ปีนลงไปที่หลังคาโรงรถ    อีกนิดเดียวข้าพเจ้าก็จะเป็นอิสระแล้ว!!  อิสระจากโรงเรียน  อิสระจากมารดาใจร้าย  อิสระจากการแกล้งท่องหนังสือทั้งๆ ที่ไม่อยากท่อง  อิสระจากการบ้าน  อิสระจากคุณครู  อิสระจาก….  

    แต่เราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?   แล้วจะหาอะไรกินในภายภาคหน้าล่ะ?  เมื่ออาหารที่เตรียมไว้ในกระเป๋าหมดลง   หรือว่าจะหางานทำดี?   แต่ว่าจะมีใครให้เด็กตัวเล็กๆ ทำงานกัน?  หรือว่าเราจะไปเป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนอย่างในทีวี???  คำถาม  และก็คำถามอีกมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจึงนั่งแหมะลงตรงหลังคา  คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง    สองจิตสองใจระหว่างหนีกับอยู่    อยู่ดี?  หรือว่า  หนีดี?  

    ด้วยบุญมีหรือกรรมบังอันใดก็ไม่อาจรู้ได้  ในขณะที่ข้าพเจ้ายังลังเลใจอยู่เป็นนานสองนานนั่นเอง  มารดาก็สังเกตเห็นข้าพเจ้าจนได้ ใบหน้าท่านแดงกล่ำ  ท่านร้องเรียกข้าพเจ้าให้ลงไปเดี๋ยวนี้    ในมือถือกระดาษยับยู่แผ่นหนึ่ง  ซึ่งข้าพเจ้าเดาว่าเป็นจดหมายที่ข้าพเจ้าเขียนนั่นเอง   ส่วนข้างที่เหลือถือสมุดนรกเล่มสีชมพูไว้  ข้าพเจ้าแทบร้องไห้ออกมา  ในใจพลางคิดว่า  ไม่น่าเลย  มัวแต่ชักช้าร่ำไรอยู่ได้  ดูซิแม่มาเห็นเข้าจนได้  รู้งี้หนีไปซะตั้งแต่ที่แรกให้ไกลๆ เลยก็ดี     ข้าพเจ้าค่อยๆ ไต่ลงไปช้าๆ  …จบกันคราวนี้  ได้เห็นนรกแตกแน่ๆ!!

    แต่ก็เปล่า  สิ่งที่คิดไว้กลับตาละปัดไปสิ้น   มารดาข้าพเจ้าระเบิดเสียงร้องน้ำตานองหน้า  โผตรงเข้ามากอดข้าพเจ้าไว้แนบอก  สะอื้นฮักจนตัวโยน   มารดาได้แต่พร่ำพรรณาบอกว่า  แม่ไม่โกรธ  ไม่ว่า  ไม่ตีลูกแล้ว  ขอแค่ให้ได้ลูกกลับมา  ไม่หนีแม่ไปไหน   ถึงจะเรียนแย่ขี้เกียจยังไง  แม่ก็รักลูกเสมอ  ไม่มีแม่คนไหนจะตัดขาดลูกได้หรอก  ที่แม่ด่าแม่ตีไป  เคี่ยวเข็ญลูกไปก็เพราะแม่รัก  และอยากให้ลูกได้ดีในภายหน้า   แต่ถ้าลูกไม่ชอบ   แม่ก็จะยอมเลิกดุด่าลูกก็ได้  ลูกอย่าจากแม่ไปเลยนะ  แม่ใจจะขาดอยู่แล้วที่รู้ว่าลูกหนีออกจากบ้านไป   นะแม่ขอร้อง….

    ข้าพเจ้าเงยหน้ามองมารดาที่ปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตา  หัวใจของข้าพเจ้าดั่งเหมือนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ  ความสำนึกผิดหลั่งไหลเข้ามาปานเขื่อนทลาย     บาปกรรมถึงเพียงใดกันที่ทำให้บุพการีที่เลี้ยงข้าพเจ้ามาต้องเสียน้ำตาได้ขนาดนี้   กว่าที่ท่านจะเลี้ยงดูข้าพเจ้าให้เติบใหญ่ได้  ท่านต้องเสียเลือดกลั่นมาเป็นน้ำนมได้ขนาดไหน  ท่านต้องเสียทรัพย์เลี้ยงดูข้าพเจ้าขนาดไหน   บางครั้งท่านก็ตามใจซื้อขอเล่นราคาแพงๆ ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ให้ข้าพเจ้าไปเท่าไร   สละเวลานอนหลับพักผ่อน  คอยอุ้มเห่กล่อมยามข้าพเจ้าเป็นทารก  คอยเฝ้าไข้เช็ดเนื้อเช็ดตัวยามข้าพเจ้าป่วยไข้  และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้   ข้าพเจ้า…  ข้าพเจ้าไม่น่าทำอะไรสิ้นคิดอย่างนั้นเลย    

    “แม่ฮะ  ผมขอโทษ…  ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก  ผมจะตั้งใจเรียน  แม่ดุด่าผมอย่างเดิมก็ดีแล้วฮะ  ผมจะเริ่มต้นใหม่   แม่อย่าร้องไห้อีกเลยนะฮะ”

    นั่นคือคำพูดที่ข้าพเจ้าบอกมารดาในวันนั้น   และข้าพเจ้ายังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับท่านเสมอ  ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นมารดาหลั่งน้ำตาอีกเลย    แล้วท่านล่ะ?  ยังคงทำให้บิดามารดาเสียน้ำตาอยู่เป็นนิจไหม?  ถ้าใช่…ท่านก็ชั่วยิ่งกว่าหมาแล้วล่ะ!!!    
     

    แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 47 22:42:01

    แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 47 20:52:43

    แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 47 20:50:50

    แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 47 20:27:55

    แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 47 20:22:58

    แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 47 20:20:55

    จากคุณ : ณัฐกร - [ 28 ม.ค. 47 19:57:55 ]